ไท่หยางเพียงพยักหน้ารับ มองสหายเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ทิ้งคนที่นั่งตัวเกร็งหน้าแดงจัดไว้เบื้องหน้าเขา เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินมานั่งเคียงข้างนาง“หลินเอ๋อร์”“หากโม่ชิงถงพูดจริง ข้าก็ฟื้นกำลังและปกป้องตนเองได้ ท่านมิต้องกังวลหรอก”ใบหน้าของนางถูกประคองขึ้นด้วยสองมือของเขา ทำให้นางไม่อาจหลบหลีกสายตาที่จ้องมองนางได้“ข้ามิได้ห่วงเรื่องนั้น” ลมหายใจอุ่นคลอเคลียอยู่ที่เนียนแก้มและความอบอุ่นของเขาทำให้นางอยากจะหยุดเวลาไว้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นนี้ให้เต็มปอด“เป็นข้าที่ไม่อาจทนได้”“เรื่องอันใดกัน” “หลินเอ๋อร์เพียงแค่คิดว่ามีผู้อื่นกอดเจ้า ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว”นางกะพริบตาปริบๆ “ข้าเคยพูดใช่หรือไม่ ให้เจ้ามาอยู่กับข้า”นางพยักหน้ารับ“เวลานี้ข้าก็ต้องการเช่นนั้น”เขาพูดว่าอะไรนะ หมายถึงอะไรกัน? “ท่านจะให้ข้าอยู่กับท่านนะหรือ?”“ใช่”“ข้าจะอยู่กับท่านในฐานะอะไรกัน” แม้มือใหญ่ประคองหน้านางไว้ แต่นางก็ส่ายหน้าไปมา“หากท่านช่วยข้าเพียงเพราะรู้สึกติดค้างที่ข้าเคยช่วยท่านละก็ ท่านมิต้องทำสิ่งใดหรอก”“หลินเอ๋อร์”คราวนี้น้ำเสียงเข้มขึ้นเหมือนแววตาที่มีประกายดุดันขึ้นมา แต
“แม้เป็นเพียงบุตรบุญธรรม แต่บิดาของนางก็เป็นแม่ทัพผู้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและมารดาก็ยังเป็นองค์หญิงสิบสามของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนางพอจะได้นั่งตำแหน่งชายาขององค์ไท่หยางได้หรือไม่เพคะฝ่าบาท” “นี่เจ้าก็เป็นแม่สื่อแม่ชักด้วยหรือไร” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลขึ้นมา “มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เห็นว่าองค์ชายไท่หยางทรงช่วยราชกิจมากมายนัก มิขอรับตำแหน่งลาภยศใด ซ้ำยังช่วยสั่งสอนขัดเกลาองค์รัชทายาทให้เพียบพร้อมที่จะสืบราชบัลลังก์ เช่นนี้เห็นควรว่าน่าจะมอบอะไรๆ เล็กๆ น้อยให้ดีหรือไม่ละเพคะ” “เอาล่ะๆ ข้าก็แค่พ่อคนหนึ่ง ย่อมต้องการเห็นลูกๆ มีความสุข ไท่หยางเองก็อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด มารดาก็ตายจากไปมีเจ้าที่ดูแลเขาดั่งลูกในไส้ อย่างไรเจ้าก็ช่วยดูแลเรื่องนี้แทนข้าหน่อยก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยเพคะ” พระมเหสีเพียงยิ้มน้อยๆ นางมิได้ไม่พอใจสนมอวี้เหมยกับเจี้ยนเหิงเยว่ เพียงแต่ก็มิชอบที่บางครั้งสนมอวี้เหมยทำอะไรข้ามหน้าข้ามตานางอยู่บ่อยครั้ง แม้นางจะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เอ็นดูแกมสงสารเด็กชายอมโรคผู้นี้นัก ครั้งก่อนที่มีเหตุลอบทำร้ายองค์รัชทายาทก็ได้ไท่หยางเข้า
“หลินเอ๋อร์ หลายปีมานี่ แม่รู้ว่าเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้ท่านพ่อมามาก แต่สำหรับแม่เจ้าก็คือลูกสาวของแม่ เป็นพี่ของจิ่นสือและเป็นคนในครอบครัว หากในภายภาคหน้าเจ้ามีครอบครัวแต่งงานออกไป เจ้าก็ยังเป็นลูกสาวของแม่เหมือนเดิม”“ท่านแม่ ข้าอยู่กับท่านแม่แบบนี้ไปตลอดมิได้หรือ ข้าไม่แต่งงานได้ไหม”“พูดอย่างกับเจ้ามีคนหลงผิดมาขอแต่งงาน”“ท่านแม่! ข้าน้อยใจเป็นนะ ข้ามิได้ขี้เหร่ขนาดนั้นเสียหน่อย” นางกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา ฮูหยินอี้ซิ่วประคองใบหน้าลูกสาว หันซ้าย หันขวา พิศดูใบหน้ามอมแมมของลูกสาว“นั้นซินะ มิได้ขี้เหร่จริงๆ มิน่าล่ะ องค์ชายไท่หยางถึงได้ต้องเสด็จมาส่งเจ้าถึงมือแม่ด้วยพระองค์เอง”“นี่ท่านเข้าข้างผู้อื่นอยู่นะเจ้าคะ”“แม่ก็เห็นองค์ชายไท่หยางมาแต่เล็กแต่น้อย” ฮูหยินอี้ซิ่วลอบมองใบหน้าของลูกสาว นางผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ว่าทั้งสองมีใจให้กัน เพียงแต่มีบางอย่างที่คล้ายม่านหมอกจางๆ กั้นทั้งสองไว้“เจ้าคิดว่าองค์ชายไท่หยางสุขสบายให้ผู้อื่นปรนนิบัติหรือไร เขาเกิดก่อนกำหนดร่างอ่อนแอนัก ทว่าสติปัญญาเฉลียวฉลาดเกินผู้ใด หากไม่เพราะร่างกายที่อ่อนแอ ตำแหน่งรัชทายาทต้องเป็นขององค์ชายไท่หยางแ
ในเมื่อข่มตาอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ นางจึงดีดตัวเองขึ้นมานั่ง ในห้องดับเทียนแล้วแต่สายตาที่ปรับคุ้นกับความมืดแล้วก็พาร่างเดินไปคลำหาเสื้อคลุมที่มุมห้อง แต่ที่ที่มันเคยอยู่กลับว่างเปล่า คิ้วเรียวขมวดยุ่ง “ชุนเอ๋อร์นะชุนเอ๋อร์ กลัวข้าแอบย่องหนีไปตอนกลางคืนแน่ๆ ถึงเอาเสื้อคลุมของข้าไปซ่อน”เคอหลิ่งหลินพึมพำกับตัวเอง นางรู้ว่าชุนเอ๋อร์หลับเฝ้าประตูห้องนอนของนาง ร่างเพรียวจึงเดินมาที่หน้าต่าง ยกมือขึ้นทาบบานหน้าตางแผ่วเบา ใบหน้าสวยหันมองไปทางประตูเพื่อดูว่าคนด้านนอกจะไม่รู้สึกตัวแล้วค่อยๆ ผลักหน้าต่างออกอย่างเบามือที่สุด“เดี๋ยวข้ามานะชุนเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตอนนี้นะ” เคอหลิ่งหลินหันหน้ากลับมาทางหน้าต่าง ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ นางหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง คนผู้นั้นก็ยังยืนกอดอกนิ่งอยู่นอกหน้าต่าง “ท่าน!”“เป็นข้า”“ท่าน เอ่อ...องค์ชายมาทำอะไรที่นี่เพคะ” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ นางคงไม่ได้คิดถึงเขาจนตาฝาดใช่ไหม เอ๋ ...ทำไมนางต้องคิดถึงเขาด้วยเล่า“คราวก่อนเป็นเจ้าที่เอายาสมานแผลมาให้ข้า คราวนี้ข้าจึงเป็นฝ่ายเอายามาให้เจ้า” ใบหน้าคมคายพยักหน้าไปทางหลังมือขอ
“จะให้ข้าป้อนให้หรือไม่”“ไม่ต้องเพคะ...หม่อมฉันดื่มเองได้” นางพูดเตือนตัวเองให้รู้ฐานะระหว่างนางกับเขา แล้วรีบยื่นมือรับจอกเหล้าขึ้นดื่ม นางขมวดคิ้วเล็กน้อย รสไม่แรงแต่ให้ความหวานติดปลายลิ้น แตกต่างจากเหล้าที่เคยดื่มมา “เหล้าองุ่น” “พระองค์มีของดีขนาดนี้เชียว” นางย่นจมูก เคยได้ยินว่าเหล้าองุ่นนี้นำมาจากต่างประเทศ ราคาสูงและหายากมิใช่ว่าเศรษฐีหรือขุนนางชั้นสูงจะมีโอกาสได้ลิ้มรส“ข้ามีสหายดี” ใบหน้าคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง ใช้จอกใบเดียวกันรินเหล้าให้ตัวเองดื่มไปอึกหนึ่ง แต่สายตานั้นจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาว เคอหลิ่งหลินไม่แน่ใจว่าที่ตนรู้สึกผ่าวร้อนอยู่ภายในเพราะเหล้าเลิศรสหรือเพราะสายตาดุจเปลวเพลิงของเขากันแน่ “อยู่บนที่สูงแบบนี้ มองเห็นวังหลวงได้ถ้วนทั่ว ดูงดงามแปลกตาไปมิน้อย” นางเอ่ยเหมือนชวนคุย เพื่อหลบสายตาคู่นั้น“นี่เป็นที่พิเศษของข้า” พูดแล้วก็รินเหล้าส่งให้นางอีกจอก “ข้าไม่เคยพาผู้ใดมา”“รวมถึงองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยหรือไม่เพคะ” นางรับจอกเหล้ามาดื่ม ยกหลังมือขึ้นเช็ดมุมปากอย่างเคยตัวลืมมารยาทไปเสียสนิท “เขารู้ที่ๆ ข้าอยู่ และรู้ว่าควรอยู่ที่ใดเมื่อข้าไม่ต้องการ” น้
“องค์ชายไท่หยางเพคะ”“หือ” เป็นคราวนี้เขาประหลาดใจในน้ำเสียงที่ฟังดูเกือบๆ จะเป็นออดอ้อน ถ้านางจะออดอ้อนจริงๆ คงต้องฝึกอีกนิดละนะ“หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือเพคะ”“ขอความช่วยเหลือ” หากเป็นเวลาปกติเขาคงดีใจที่หญิงสาวหัวดื้อมาขอให้เขาช่วย แต่เวลานี้เขากลับเห็นว่านางมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่“เพคะ...คือหม่อมฉันอยากให้พระองค์ช่วยวาดรูปรอยสักดอกไม้แดงบนแผ่นหลังของหม่อมฉันเพคะ”“ทำไม?”“ก็สิ่งนั้นอยู่กลางหลังหม่อมฉัน หม่อมฉันมองไม่เห็นนี่ ต่อให้ส่องกระจกมันก็ภาพกลับด้าน พระองค์มีฝีมือวาดลายเส้นก็เมตตาช่วยหม่อมฉันมิได้หรือไรเพคะ”“เจ้าก็รู้ว่าเมื่อดอกไม้ปรากฏเจ้าจะเจ็บปวดมากเพียงใด”“เพคะ หม่อมฉันจึงต้องขอให้องค์ชายช่วย” “ขอร้อง...” เขาเติมให้“เพคะ หม่อมฉันขอร้อง”“แล้วถ้าข้าช่วยเจ้าจะได้สิ่งใดตอบแทน”เคอหลิ่งหลินหันขวับไปมองคนที่ตนนั่งตักอยู่ เขาคือองค์ชายไท่หยาง อย่างนางนะรึจะมีอะไรไปตอนแทนเขาได้“ก็ได้ หม่อมฉันไปขอให้ผู้อื่นช่วยก็ได้” นางทำท่าจะขยับลุกหนีจากตัก ทั้งที่รู้ว่าตนเองคงหนีจากหอสูงเองมิได้ เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ถูกท่อนแขนนั้นรัดไว้ก่อน ใบหน้าหมดจดหันมาจะต่อว่า แต่ใบหน
กลิ่นหอมของขนมและเสียงจอแจด้านนอกรถม้าทำให้หญิงสาวอดมองผ่านช่องหน้าต่างไม่ได้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางสร้างรอยยิ้มที่มุมปากบนใบหน้าคมคาย พอรู้สึกตัวว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ก็รีบหันกลับมาทำหน้านิ่งนั่งหลังตรงแลดูเรียบร้อยดุจกุลสตรี “เก็บแท่งฝนหมึกเถอะ” “งานท่านเสร็จแล้วเหรอ” “เสร็จแล้ว” น้ำเสียงแฝงความอบอุ่นเจืออยู่มากนัก ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้ามุ่งออกนอกเมืองเพื่อไปพื้นที่ที่น้ำท่วมใหญ่ แม้จิตใจของเคอหลิ่งหลินจะล่วงหน้าไปแล้ว แต่นางยังนั่งในรถม้าอยู่กับเขา องค์ชายไท่หยางที่ทรงงานตลอดเวลา สักเดี๋ยวก็ส่งหนังสือออกไป คล้ายมีงานที่ต้องสั่งการตลอดเวลา นางได้แต่ฝนหมึกให้เขาและคอยรินน้ำชาส่งให้ นางไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งได้นานแต่กระนั้นก็ยอมนั่งพับเพียบอยู่ข้างเขา แต่นางจะไปขัดใจชายผู้นี้ได้อย่างไรเล่า ก็เป็นเพราะเขา ทำให้นางได้ออกมานอกวังเช่นนี้ เพียงหลังจากค่ำคืนที่คนผู้นี้ทรมานนางด้วยอารมณ์รัญจวนที่ไม่เคยพานพบแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น นางก็รับพระราชคำสั่งให้เข้าพบองค์ฮ่องเต้พร้อมกับท่านแม่ ดูเป็นการเข้าพบอย่างเป็นทางการ ทว่า
“ข้าแค่ถามดีๆ ท่านจะมาดุข้าทำไมเล่า”“ก็เจ้าชอบพูดเรื่องผู้อื่นยามที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้”“แล้วข้าจะพูดเรื่องใดถึงถูกใจท่านได้เล่า”“ก็เรื่องของ ‘เรา’ อย่างไร”ลมหายใจอุ่นจนร้อนคลอเคลียอยู่ริมแก้มทำให้ใบหน้าของหญิงสาวไม่อาจสะกดกลั้นความเขินอายได้ การหยุดของรถม้าทำให้ทั้งสองรู้สึกตัว องค์ชายไท่หยางขยับตัวถอยห่างออกเพียงเล็กน้อย รอฟังเสียงรายงานจากด้านนอกรถ“รู้แล้ว”เคอหลิ่งหลินอยากจะถามว่ารู้อะไร ไท่หยางก็ก้าวลงจากรถไปก่อน ทำให้นางรู้ว่าตัวเองก็ต้องออกไปด้วยเช่นนั้น มือใหญ่ยื่นมารอให้นางจับเพื่อพยุงตัวลงจากรถ อยากปฏิเสธหรือปัดมือนั้นออก เพราะนางไม่คุ้นเคยกับการเอาใจใส่เช่นนี้ แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทจึงวางมือของตนลงในฝ่ามือใหญ่แล้วลงมายืนด้านนอกรถ เพราะนั่งในรถนานจนรู้สึกปวดเมื่อยไม่น้อย แต่เมื่อสายตาเห็นเรือนพักหลังน้อยอยู่เบื้องหน้า ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยที่เห็นแล้วนึกถึงกระท่อมของท่านพ่อที่ตีนหุบเขาชิงซาน แม้กระท่อมของนางจะเทียบกับเรือนพักหลังนี้มิได้ แต่ความเรียบง่ายและไม่ใหญ่โตนั้นทำให้นางพอใจอย่างมาก“เราจะพักที่นี่ก่อน”“เรา?”เคอหลิ่งหลินเห็นว่ารถม้าของตนนั้นแยกกั
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา