“หลินเอ๋อร์ หลายปีมานี่ แม่รู้ว่าเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้ท่านพ่อมามาก แต่สำหรับแม่เจ้าก็คือลูกสาวของแม่ เป็นพี่ของจิ่นสือและเป็นคนในครอบครัว หากในภายภาคหน้าเจ้ามีครอบครัวแต่งงานออกไป เจ้าก็ยังเป็นลูกสาวของแม่เหมือนเดิม”“ท่านแม่ ข้าอยู่กับท่านแม่แบบนี้ไปตลอดมิได้หรือ ข้าไม่แต่งงานได้ไหม”“พูดอย่างกับเจ้ามีคนหลงผิดมาขอแต่งงาน”“ท่านแม่! ข้าน้อยใจเป็นนะ ข้ามิได้ขี้เหร่ขนาดนั้นเสียหน่อย” นางกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา ฮูหยินอี้ซิ่วประคองใบหน้าลูกสาว หันซ้าย หันขวา พิศดูใบหน้ามอมแมมของลูกสาว“นั้นซินะ มิได้ขี้เหร่จริงๆ มิน่าล่ะ องค์ชายไท่หยางถึงได้ต้องเสด็จมาส่งเจ้าถึงมือแม่ด้วยพระองค์เอง”“นี่ท่านเข้าข้างผู้อื่นอยู่นะเจ้าคะ”“แม่ก็เห็นองค์ชายไท่หยางมาแต่เล็กแต่น้อย” ฮูหยินอี้ซิ่วลอบมองใบหน้าของลูกสาว นางผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ว่าทั้งสองมีใจให้กัน เพียงแต่มีบางอย่างที่คล้ายม่านหมอกจางๆ กั้นทั้งสองไว้“เจ้าคิดว่าองค์ชายไท่หยางสุขสบายให้ผู้อื่นปรนนิบัติหรือไร เขาเกิดก่อนกำหนดร่างอ่อนแอนัก ทว่าสติปัญญาเฉลียวฉลาดเกินผู้ใด หากไม่เพราะร่างกายที่อ่อนแอ ตำแหน่งรัชทายาทต้องเป็นขององค์ชายไท่หยางแ
ในเมื่อข่มตาอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ นางจึงดีดตัวเองขึ้นมานั่ง ในห้องดับเทียนแล้วแต่สายตาที่ปรับคุ้นกับความมืดแล้วก็พาร่างเดินไปคลำหาเสื้อคลุมที่มุมห้อง แต่ที่ที่มันเคยอยู่กลับว่างเปล่า คิ้วเรียวขมวดยุ่ง “ชุนเอ๋อร์นะชุนเอ๋อร์ กลัวข้าแอบย่องหนีไปตอนกลางคืนแน่ๆ ถึงเอาเสื้อคลุมของข้าไปซ่อน”เคอหลิ่งหลินพึมพำกับตัวเอง นางรู้ว่าชุนเอ๋อร์หลับเฝ้าประตูห้องนอนของนาง ร่างเพรียวจึงเดินมาที่หน้าต่าง ยกมือขึ้นทาบบานหน้าตางแผ่วเบา ใบหน้าสวยหันมองไปทางประตูเพื่อดูว่าคนด้านนอกจะไม่รู้สึกตัวแล้วค่อยๆ ผลักหน้าต่างออกอย่างเบามือที่สุด“เดี๋ยวข้ามานะชุนเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตอนนี้นะ” เคอหลิ่งหลินหันหน้ากลับมาทางหน้าต่าง ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ นางหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง คนผู้นั้นก็ยังยืนกอดอกนิ่งอยู่นอกหน้าต่าง “ท่าน!”“เป็นข้า”“ท่าน เอ่อ...องค์ชายมาทำอะไรที่นี่เพคะ” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ นางคงไม่ได้คิดถึงเขาจนตาฝาดใช่ไหม เอ๋ ...ทำไมนางต้องคิดถึงเขาด้วยเล่า“คราวก่อนเป็นเจ้าที่เอายาสมานแผลมาให้ข้า คราวนี้ข้าจึงเป็นฝ่ายเอายามาให้เจ้า” ใบหน้าคมคายพยักหน้าไปทางหลังมือขอ
“จะให้ข้าป้อนให้หรือไม่”“ไม่ต้องเพคะ...หม่อมฉันดื่มเองได้” นางพูดเตือนตัวเองให้รู้ฐานะระหว่างนางกับเขา แล้วรีบยื่นมือรับจอกเหล้าขึ้นดื่ม นางขมวดคิ้วเล็กน้อย รสไม่แรงแต่ให้ความหวานติดปลายลิ้น แตกต่างจากเหล้าที่เคยดื่มมา “เหล้าองุ่น” “พระองค์มีของดีขนาดนี้เชียว” นางย่นจมูก เคยได้ยินว่าเหล้าองุ่นนี้นำมาจากต่างประเทศ ราคาสูงและหายากมิใช่ว่าเศรษฐีหรือขุนนางชั้นสูงจะมีโอกาสได้ลิ้มรส“ข้ามีสหายดี” ใบหน้าคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง ใช้จอกใบเดียวกันรินเหล้าให้ตัวเองดื่มไปอึกหนึ่ง แต่สายตานั้นจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาว เคอหลิ่งหลินไม่แน่ใจว่าที่ตนรู้สึกผ่าวร้อนอยู่ภายในเพราะเหล้าเลิศรสหรือเพราะสายตาดุจเปลวเพลิงของเขากันแน่ “อยู่บนที่สูงแบบนี้ มองเห็นวังหลวงได้ถ้วนทั่ว ดูงดงามแปลกตาไปมิน้อย” นางเอ่ยเหมือนชวนคุย เพื่อหลบสายตาคู่นั้น“นี่เป็นที่พิเศษของข้า” พูดแล้วก็รินเหล้าส่งให้นางอีกจอก “ข้าไม่เคยพาผู้ใดมา”“รวมถึงองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยหรือไม่เพคะ” นางรับจอกเหล้ามาดื่ม ยกหลังมือขึ้นเช็ดมุมปากอย่างเคยตัวลืมมารยาทไปเสียสนิท “เขารู้ที่ๆ ข้าอยู่ และรู้ว่าควรอยู่ที่ใดเมื่อข้าไม่ต้องการ” น้
“องค์ชายไท่หยางเพคะ”“หือ” เป็นคราวนี้เขาประหลาดใจในน้ำเสียงที่ฟังดูเกือบๆ จะเป็นออดอ้อน ถ้านางจะออดอ้อนจริงๆ คงต้องฝึกอีกนิดละนะ“หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือเพคะ”“ขอความช่วยเหลือ” หากเป็นเวลาปกติเขาคงดีใจที่หญิงสาวหัวดื้อมาขอให้เขาช่วย แต่เวลานี้เขากลับเห็นว่านางมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่“เพคะ...คือหม่อมฉันอยากให้พระองค์ช่วยวาดรูปรอยสักดอกไม้แดงบนแผ่นหลังของหม่อมฉันเพคะ”“ทำไม?”“ก็สิ่งนั้นอยู่กลางหลังหม่อมฉัน หม่อมฉันมองไม่เห็นนี่ ต่อให้ส่องกระจกมันก็ภาพกลับด้าน พระองค์มีฝีมือวาดลายเส้นก็เมตตาช่วยหม่อมฉันมิได้หรือไรเพคะ”“เจ้าก็รู้ว่าเมื่อดอกไม้ปรากฏเจ้าจะเจ็บปวดมากเพียงใด”“เพคะ หม่อมฉันจึงต้องขอให้องค์ชายช่วย” “ขอร้อง...” เขาเติมให้“เพคะ หม่อมฉันขอร้อง”“แล้วถ้าข้าช่วยเจ้าจะได้สิ่งใดตอบแทน”เคอหลิ่งหลินหันขวับไปมองคนที่ตนนั่งตักอยู่ เขาคือองค์ชายไท่หยาง อย่างนางนะรึจะมีอะไรไปตอนแทนเขาได้“ก็ได้ หม่อมฉันไปขอให้ผู้อื่นช่วยก็ได้” นางทำท่าจะขยับลุกหนีจากตัก ทั้งที่รู้ว่าตนเองคงหนีจากหอสูงเองมิได้ เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ถูกท่อนแขนนั้นรัดไว้ก่อน ใบหน้าหมดจดหันมาจะต่อว่า แต่ใบหน
กลิ่นหอมของขนมและเสียงจอแจด้านนอกรถม้าทำให้หญิงสาวอดมองผ่านช่องหน้าต่างไม่ได้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางสร้างรอยยิ้มที่มุมปากบนใบหน้าคมคาย พอรู้สึกตัวว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ก็รีบหันกลับมาทำหน้านิ่งนั่งหลังตรงแลดูเรียบร้อยดุจกุลสตรี “เก็บแท่งฝนหมึกเถอะ” “งานท่านเสร็จแล้วเหรอ” “เสร็จแล้ว” น้ำเสียงแฝงความอบอุ่นเจืออยู่มากนัก ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้ามุ่งออกนอกเมืองเพื่อไปพื้นที่ที่น้ำท่วมใหญ่ แม้จิตใจของเคอหลิ่งหลินจะล่วงหน้าไปแล้ว แต่นางยังนั่งในรถม้าอยู่กับเขา องค์ชายไท่หยางที่ทรงงานตลอดเวลา สักเดี๋ยวก็ส่งหนังสือออกไป คล้ายมีงานที่ต้องสั่งการตลอดเวลา นางได้แต่ฝนหมึกให้เขาและคอยรินน้ำชาส่งให้ นางไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งได้นานแต่กระนั้นก็ยอมนั่งพับเพียบอยู่ข้างเขา แต่นางจะไปขัดใจชายผู้นี้ได้อย่างไรเล่า ก็เป็นเพราะเขา ทำให้นางได้ออกมานอกวังเช่นนี้ เพียงหลังจากค่ำคืนที่คนผู้นี้ทรมานนางด้วยอารมณ์รัญจวนที่ไม่เคยพานพบแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น นางก็รับพระราชคำสั่งให้เข้าพบองค์ฮ่องเต้พร้อมกับท่านแม่ ดูเป็นการเข้าพบอย่างเป็นทางการ ทว่า
“ข้าแค่ถามดีๆ ท่านจะมาดุข้าทำไมเล่า”“ก็เจ้าชอบพูดเรื่องผู้อื่นยามที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้”“แล้วข้าจะพูดเรื่องใดถึงถูกใจท่านได้เล่า”“ก็เรื่องของ ‘เรา’ อย่างไร”ลมหายใจอุ่นจนร้อนคลอเคลียอยู่ริมแก้มทำให้ใบหน้าของหญิงสาวไม่อาจสะกดกลั้นความเขินอายได้ การหยุดของรถม้าทำให้ทั้งสองรู้สึกตัว องค์ชายไท่หยางขยับตัวถอยห่างออกเพียงเล็กน้อย รอฟังเสียงรายงานจากด้านนอกรถ“รู้แล้ว”เคอหลิ่งหลินอยากจะถามว่ารู้อะไร ไท่หยางก็ก้าวลงจากรถไปก่อน ทำให้นางรู้ว่าตัวเองก็ต้องออกไปด้วยเช่นนั้น มือใหญ่ยื่นมารอให้นางจับเพื่อพยุงตัวลงจากรถ อยากปฏิเสธหรือปัดมือนั้นออก เพราะนางไม่คุ้นเคยกับการเอาใจใส่เช่นนี้ แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทจึงวางมือของตนลงในฝ่ามือใหญ่แล้วลงมายืนด้านนอกรถ เพราะนั่งในรถนานจนรู้สึกปวดเมื่อยไม่น้อย แต่เมื่อสายตาเห็นเรือนพักหลังน้อยอยู่เบื้องหน้า ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยที่เห็นแล้วนึกถึงกระท่อมของท่านพ่อที่ตีนหุบเขาชิงซาน แม้กระท่อมของนางจะเทียบกับเรือนพักหลังนี้มิได้ แต่ความเรียบง่ายและไม่ใหญ่โตนั้นทำให้นางพอใจอย่างมาก“เราจะพักที่นี่ก่อน”“เรา?”เคอหลิ่งหลินเห็นว่ารถม้าของตนนั้นแยกกั
“ที่นี่ห่างไกลผู้คนสักหน่อย แต่มีความเป็นส่วนตัว คิดว่าเหมาะที่จะให้เจ้าเปิดเผยดอกไม้แดงได้” มือใหญ่ยกขึ้นขึ้นไล้ใบหน้าหมดจดของนางเบาๆ“เหตุที่ต้องพาเจ้าออกมาเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ซ้ำยังต้องให้ท่านหมอมู่มาฝังเข็มให้เจ้าอีก การพาเจ้าออกมาโดยใช้งานบังหน้าเช่นนี้”“ข้าขอบคุณท่านมาก เสร็จจากนี้แล้ว ข้าจะช่วยงานท่านเต็มที” นางยกมือขึ้นทุบอกราวกับให้เขาเห็นว่านางแข็งแรงและพร้อมช่วยงานเขาเต็มที“คนช่วยงานข้ามาเยอะแล้ว แต่ข้าอยากได้ค่าตอบแทนอย่างอื่นมากกว่า”“ค่าตอบแทน?”“หลินเอ๋อร์...ข้าช่วยเจ้าเพราะอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องหาทางรักษาตัวเองอยู่ดีและข้าคงทนนิ่งเฉยให้ผู้อื่นแตะต้องตัวเจ้ามิได้ อย่างไรแล้ว ข้าหวังจะได้คำตอบจากปากของเจ้า”“เรื่องนั้น...” นางหลุบตาไม่กล้าสบตากันตรงๆ“มาทางนี้เถิด” องค์ชายไท่หยางจับมือนางให้เดินตามมาอีกห้อง เคอหลิ่งหลินเดินตามอย่างว่าง่าย อ่างอาบน้ำ โต๊ะและอุปกรณ์เครื่องเขียน ดูเขาช่างเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว“นอกจากน้ำเย็นแล้ว ข้านึกวิธีอื่นให้ร่างกายเจ้าเยียบเย็นจนเผยดอกไม้แดงไม่ได้”“ไม่เป็นไรข้าทนได้” หญิงสาวหันมายิ้มให้ แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยสีหน้า
“ข้าเข้มงวดเกินไปหรือไม่” “ไม่หรอก ข้าเข้าใจ ยามอยู่ในกองทัพคำสั่งแม่ทัพถือเป็นกฏสูงสุด คำสั่งของท่านแค่นี้คงไม่ทำให้องค์หญิงทั้งสองลำบากนัก” “นั้นซิ อยู่ในวังไม่ลำบาก ไยเจ้ามิต้องการอยู่กับข้าในวังเล่า” “ท่านนี่ วนเข้าเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ข้าก็แค่เติบโตอยู่ภายนอกไม่คุ้นชินกับเรื่องในวังหลวง” “หากเพียงแค่ไม่คุ้นชิน ฝึกฝนเสียหน่อยก็คุ้นเคย” “ท่าน!” ไยเขาวนเข้าเรื่องนางจนได้ “ลืมชื่อข้าหรือไร เห็นเจ้าเรียกข้า ท่านนี่...ท่านนี่อยู่นั้นแหละ” คราวนี้ร่างสูงเดินเข้าใกล้ ใกล้เสียจนมองผิวน้ำที่ใสเห็นกายเปลือยเปล่าใต้ผิวน้ำ เพียงการขยับกายเข้ามาใกล้มิได้ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก แต่สายตาที่จ้องมองนางนั้นทำให้นางห่อไหล่ย่อตัวลงในน้ำจนโผล่แค่จมูกไว้หายใจ “หลินเอ๋อร์” เจ้าของชื่อเพียงช้อนตามอง ก่อนนี้เขาไม่เคยมองนางเช่นนี้ ทุกครั้งที่พบก็มีเพียงสายตาที่มองอย่างอ่อนโยนแกมเอ็นดูเหมือนเห็นนางเป็นเด็ก นางเองก็พอใจเช่นนั้น ทว่าหลังจากได้พบกันอีกครั้งได้รู้จักฐานะที่แ