กลิ่นหอมของขนมและเสียงจอแจด้านนอกรถม้าทำให้หญิงสาวอดมองผ่านช่องหน้าต่างไม่ได้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางสร้างรอยยิ้มที่มุมปากบนใบหน้าคมคาย พอรู้สึกตัวว่ามีสายตาจ้องมองอยู่ก็รีบหันกลับมาทำหน้านิ่งนั่งหลังตรงแลดูเรียบร้อยดุจกุลสตรี “เก็บแท่งฝนหมึกเถอะ” “งานท่านเสร็จแล้วเหรอ” “เสร็จแล้ว” น้ำเสียงแฝงความอบอุ่นเจืออยู่มากนัก ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้ามุ่งออกนอกเมืองเพื่อไปพื้นที่ที่น้ำท่วมใหญ่ แม้จิตใจของเคอหลิ่งหลินจะล่วงหน้าไปแล้ว แต่นางยังนั่งในรถม้าอยู่กับเขา องค์ชายไท่หยางที่ทรงงานตลอดเวลา สักเดี๋ยวก็ส่งหนังสือออกไป คล้ายมีงานที่ต้องสั่งการตลอดเวลา นางได้แต่ฝนหมึกให้เขาและคอยรินน้ำชาส่งให้ นางไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งได้นานแต่กระนั้นก็ยอมนั่งพับเพียบอยู่ข้างเขา แต่นางจะไปขัดใจชายผู้นี้ได้อย่างไรเล่า ก็เป็นเพราะเขา ทำให้นางได้ออกมานอกวังเช่นนี้ เพียงหลังจากค่ำคืนที่คนผู้นี้ทรมานนางด้วยอารมณ์รัญจวนที่ไม่เคยพานพบแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น นางก็รับพระราชคำสั่งให้เข้าพบองค์ฮ่องเต้พร้อมกับท่านแม่ ดูเป็นการเข้าพบอย่างเป็นทางการ ทว่า
“ข้าแค่ถามดีๆ ท่านจะมาดุข้าทำไมเล่า”“ก็เจ้าชอบพูดเรื่องผู้อื่นยามที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้”“แล้วข้าจะพูดเรื่องใดถึงถูกใจท่านได้เล่า”“ก็เรื่องของ ‘เรา’ อย่างไร”ลมหายใจอุ่นจนร้อนคลอเคลียอยู่ริมแก้มทำให้ใบหน้าของหญิงสาวไม่อาจสะกดกลั้นความเขินอายได้ การหยุดของรถม้าทำให้ทั้งสองรู้สึกตัว องค์ชายไท่หยางขยับตัวถอยห่างออกเพียงเล็กน้อย รอฟังเสียงรายงานจากด้านนอกรถ“รู้แล้ว”เคอหลิ่งหลินอยากจะถามว่ารู้อะไร ไท่หยางก็ก้าวลงจากรถไปก่อน ทำให้นางรู้ว่าตัวเองก็ต้องออกไปด้วยเช่นนั้น มือใหญ่ยื่นมารอให้นางจับเพื่อพยุงตัวลงจากรถ อยากปฏิเสธหรือปัดมือนั้นออก เพราะนางไม่คุ้นเคยกับการเอาใจใส่เช่นนี้ แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทจึงวางมือของตนลงในฝ่ามือใหญ่แล้วลงมายืนด้านนอกรถ เพราะนั่งในรถนานจนรู้สึกปวดเมื่อยไม่น้อย แต่เมื่อสายตาเห็นเรือนพักหลังน้อยอยู่เบื้องหน้า ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ด้วยที่เห็นแล้วนึกถึงกระท่อมของท่านพ่อที่ตีนหุบเขาชิงซาน แม้กระท่อมของนางจะเทียบกับเรือนพักหลังนี้มิได้ แต่ความเรียบง่ายและไม่ใหญ่โตนั้นทำให้นางพอใจอย่างมาก“เราจะพักที่นี่ก่อน”“เรา?”เคอหลิ่งหลินเห็นว่ารถม้าของตนนั้นแยกกั
“ที่นี่ห่างไกลผู้คนสักหน่อย แต่มีความเป็นส่วนตัว คิดว่าเหมาะที่จะให้เจ้าเปิดเผยดอกไม้แดงได้” มือใหญ่ยกขึ้นขึ้นไล้ใบหน้าหมดจดของนางเบาๆ“เหตุที่ต้องพาเจ้าออกมาเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ซ้ำยังต้องให้ท่านหมอมู่มาฝังเข็มให้เจ้าอีก การพาเจ้าออกมาโดยใช้งานบังหน้าเช่นนี้”“ข้าขอบคุณท่านมาก เสร็จจากนี้แล้ว ข้าจะช่วยงานท่านเต็มที” นางยกมือขึ้นทุบอกราวกับให้เขาเห็นว่านางแข็งแรงและพร้อมช่วยงานเขาเต็มที“คนช่วยงานข้ามาเยอะแล้ว แต่ข้าอยากได้ค่าตอบแทนอย่างอื่นมากกว่า”“ค่าตอบแทน?”“หลินเอ๋อร์...ข้าช่วยเจ้าเพราะอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องหาทางรักษาตัวเองอยู่ดีและข้าคงทนนิ่งเฉยให้ผู้อื่นแตะต้องตัวเจ้ามิได้ อย่างไรแล้ว ข้าหวังจะได้คำตอบจากปากของเจ้า”“เรื่องนั้น...” นางหลุบตาไม่กล้าสบตากันตรงๆ“มาทางนี้เถิด” องค์ชายไท่หยางจับมือนางให้เดินตามมาอีกห้อง เคอหลิ่งหลินเดินตามอย่างว่าง่าย อ่างอาบน้ำ โต๊ะและอุปกรณ์เครื่องเขียน ดูเขาช่างเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว“นอกจากน้ำเย็นแล้ว ข้านึกวิธีอื่นให้ร่างกายเจ้าเยียบเย็นจนเผยดอกไม้แดงไม่ได้”“ไม่เป็นไรข้าทนได้” หญิงสาวหันมายิ้มให้ แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยสีหน้า
“ข้าเข้มงวดเกินไปหรือไม่” “ไม่หรอก ข้าเข้าใจ ยามอยู่ในกองทัพคำสั่งแม่ทัพถือเป็นกฏสูงสุด คำสั่งของท่านแค่นี้คงไม่ทำให้องค์หญิงทั้งสองลำบากนัก” “นั้นซิ อยู่ในวังไม่ลำบาก ไยเจ้ามิต้องการอยู่กับข้าในวังเล่า” “ท่านนี่ วนเข้าเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ข้าก็แค่เติบโตอยู่ภายนอกไม่คุ้นชินกับเรื่องในวังหลวง” “หากเพียงแค่ไม่คุ้นชิน ฝึกฝนเสียหน่อยก็คุ้นเคย” “ท่าน!” ไยเขาวนเข้าเรื่องนางจนได้ “ลืมชื่อข้าหรือไร เห็นเจ้าเรียกข้า ท่านนี่...ท่านนี่อยู่นั้นแหละ” คราวนี้ร่างสูงเดินเข้าใกล้ ใกล้เสียจนมองผิวน้ำที่ใสเห็นกายเปลือยเปล่าใต้ผิวน้ำ เพียงการขยับกายเข้ามาใกล้มิได้ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก แต่สายตาที่จ้องมองนางนั้นทำให้นางห่อไหล่ย่อตัวลงในน้ำจนโผล่แค่จมูกไว้หายใจ “หลินเอ๋อร์” เจ้าของชื่อเพียงช้อนตามอง ก่อนนี้เขาไม่เคยมองนางเช่นนี้ ทุกครั้งที่พบก็มีเพียงสายตาที่มองอย่างอ่อนโยนแกมเอ็นดูเหมือนเห็นนางเป็นเด็ก นางเองก็พอใจเช่นนั้น ทว่าหลังจากได้พบกันอีกครั้งได้รู้จักฐานะที่แ
“หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบเรียกเมื่อลากเรียวลิ้นไปตามลำคอ ร่างใหญ่คร่อมนางไว้ราวกับให้ไออุ่นของเขาคลี่คลุมนาง ดวงตาคมมองมือที่ไร้เรี่ยวแรงจับเสื้อคลุมที่ปิดเนิ่นอกคู่สวยดุจดอกบัวตูม เพียงใช้แค่ปลายนิ้วก็เกี่ยวให้มันเลื่อนลงเปิดเผยผิวกายเนียนละเอียดเบื้องหน้า“ไท่หยาง ข้า...ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” นางไม่แน่ใจว่าสิ่งใดทรมานนางได้มากกว่ากัน ระหว่างการปรากฏของรอยสักดอกไม้แดง หรือสัมผัสที่เขาทำกับนางในตอนนี้“เช่นนั้นแล้วทำไมตัวเจ้ายังสั่นอยู่” ร่างเบื้องล่างอุ่นขึ้นแล้ว แต่เขายังยิ้มเกเรกับผิวเนียนนุ่มและกลิ่นอายกรุ่นละมุนของนาง เขาโกรธที่นางทำตัวเองเจ็บอยู่ร่ำไป นางมักคิดกังวลถึงความรู้สึกของผู้อื่น เจี้ยนเหิงเยว่โกหกหลอกลวงนางก็ยังไม่โกรธ ซ้ำยังกลัวว่าเขาจะลงโทษผู้หญิงคนนั้น กลัวว่าเขาจะลงโทษต้าซื่อที่ปิดบังเรื่องที่นางไปนำไข่มุกหมื่นราตรีจนออกรับผิดแทน แต่นางลืมความรู้สึกของเขาว่าเจ็บปวดเพียงใดที่รู้ว่านางตกอยู่ในอันตราย“อ๊า”ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นร้องครางอย่างสุดจะทนกลั้น เขาครอบครองยอดอกของนางด้วยริมฝีปาก ดูดกลืนจนนางต้องคร่ำครวญออกมา มือใหญ่ช้อนแผ่นหลังของนางขึ้นราวกับจะป้อนชิ้
เคอหลิ่งหลินได้แต่ยืนนิ่งอย่างว่าง่าย เขาจูงมือของนางมานั่งที่เก้าอี้แล้วหยิบหวีมาสางผมให้นางอย่างแผ่วเบา นางทำอะไรไม่ถูก แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยปักปิ่นปักผมให้ แต่ครั้งนี้...แค่ปลายนิ้วมือแตะถูกผิวกายเบาๆ นางก็เป็นแต่คิดถึงภาพเร่าร้อนของเมื่อคืน นางหัวเสียโกรธตนเองนักที่ไม่อาจสลัดภาพนั้นไปได้ ช่างแตกต่างจากตัวต้นเรื่องที่ยังทำหน้าระรื่น แต่...เขาเป็นผู้ชายนี่คงทำเรื่องแบบนี้บ่อยไป ดูเขาเชี่ยวชาญและช่ำชองนัก! “นี่...เจ้าเป็นอะไรของเจ้า อยู่นิ่งๆหน่อย” เขาหัวเราะในลำคอเหมือนกำลังดุเด็กซุกซนคนหนึ่ง “หรืออยากพูดอะไรก็พูดเถิด ปกติข้าไม่เคยเห็นเจ้าสงบปากสงบคำได้สักที” “ก็...” นางไม่กล้าพูดเรื่องที่ตัวเองคิด นางอาจมิใช่คนที่รักษากฎกุลสตรีนัก เรื่องที่เกิดขึ้นนางรู้ว่าผิดจารีตประเพณี แต่มิได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนตัดสินใจลงไป เป็นการตัดสินใจในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่งที่มอบให้ชายคนที่ตนรัก มิได้คิดถึงฐานะอื่นใดที่เขาเป็นอยู่ “ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าใส่เครื่องประดับ ไม่ชอบรึ” “อ่อ...เรื่องนั้น เพราะเวลาข้าเดินทางคนเดียวมักจะขายมันไปบ่อยๆ ระยะหลั
ท่านหมอมู่มองทางเคอหลิ่งหลิน กดหัวคิ้วจ้องมองราวกับจะตำหนิ รู้จักนางมาสองปีแม้เพิ่งได้รู้ฐานะที่แท้จริงก็ไม่ได้ทำให้สบายใจ นางเก่งกาจจริงหรือไม่เขาไม่มั่นใจนัก เพราะเห็นแต่ล่ะครั้งก็ซุกซนราวแมวป่าไร้ความเป็นกุลสตรี หากไม่เพราะมู่ฟางเหนียงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นและเพื่อนเข้าป่าหาสมุนไพรด้วยแล้ว ผู้เป็นพ่ออย่างเขารึจะยอมให้คนนิสัยมุทะลุอย่างนางมาเป็นเพื่อนลูกสาวเขาเล่า แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะลูกสาวคนดีของเขาตอนนี้ปลอบตัวเป็นชายติดตามจ้าวจิ่นสือ-บุตรชายแม่ทัพจ้าว ไปหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมก่อนหน้าผู้เป็นพ่อเสียอีก “หลังจากท่านเดินลมปราณให้แม่นางเคอและข้าทำการฝังเข็มให้นางแล้ว นางจะต้องพักผ่อนอีกอย่างน้อยเจ็ดวันร่างกายจึงจะฟื้นเต็มที่ หากรักษาเสร็จแล้วเดินทางเลย เกรงว่าภายในที่บอบช้ำจะรับไม่ไหว เช่นนั้นแล้วการรักษาของนางก็เท่ากับสูญเปล่า” “ข้าน้อยสั่งองครักษ์ลับให้ติดตามมาอีกสี่คนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แม่นางเคอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรีบรายงาน สีหน้าขององค์ชายไท่หยางยังไม่คลายกังวล เคอหลิ่งหลินเข้าใจสถานการณ์ดี นางมิใช่เด็กเล็กๆ ที่จะไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
เหวินเฮ่าหลันประเมินหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ปกตินางออกจากปากไวไปสักนิด ไร้ความเป็นกุลสตรีไปสักหน่อยหรือเพราะไท่หยางเดินลมปราณให้นางจึงสงบเสงี่ยมกว่าที่เคยเป็นมา เขาจำใจเดินทางมาดูแลผู้หญิงของไท่หยาง ตั้งแต่มาถึงก็เห็นนางหลับตลอดจนเช้านี้เพิ่งเห็นนางตื่นและเดินเหินไปมาในเรือนพักได้แล้ว“ข้านึกว่าเจ้าจะนิทรายาวไปจนถึงวันที่ไท่หยางมารับเสียอีก”เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมารับข้า ข้าฟื้นแล้วจะตามไปสบทบ”“คนผู้นั้นคงอยากเป็นคนแรกที่เจ้าลืมตาตื่นมามองเห็นกระมัง” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะในลำคอ “เป็นข้าคงไม่รื่นรมย์กับการรอคอยนัก ซ้ำยังมิชอบให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือใจตนเองอีกยิ่งไม่น่าสนุกเอาเสียเลย”“ท่านนี่...อยู่หอสราญใจมากไปจนติดนิสัยปากร้ายจากเหล่านางคณิกามาละซิ” นางส่ายหน้าไปมา “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีเรื่องจะรบกวนท่านให้ช่วยเหลือ”“อ่อ! ต้องการให้ข้าช่วย ถึงได้พูดจากับข้าดีนี่เอง” เหวินเฮ่าหลันทำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นไปหยิบภาพที่ม้วนเก็บไว้ออกมาให้เหวินเฮ่าหลัน เขารวบพัดแล้วรับภาพนั้นมาดู“นี่คือ...”“ดอกไม้แดงบนแผ่นหลังของข