“ข้าเข้มงวดเกินไปหรือไม่” “ไม่หรอก ข้าเข้าใจ ยามอยู่ในกองทัพคำสั่งแม่ทัพถือเป็นกฏสูงสุด คำสั่งของท่านแค่นี้คงไม่ทำให้องค์หญิงทั้งสองลำบากนัก” “นั้นซิ อยู่ในวังไม่ลำบาก ไยเจ้ามิต้องการอยู่กับข้าในวังเล่า” “ท่านนี่ วนเข้าเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ข้าก็แค่เติบโตอยู่ภายนอกไม่คุ้นชินกับเรื่องในวังหลวง” “หากเพียงแค่ไม่คุ้นชิน ฝึกฝนเสียหน่อยก็คุ้นเคย” “ท่าน!” ไยเขาวนเข้าเรื่องนางจนได้ “ลืมชื่อข้าหรือไร เห็นเจ้าเรียกข้า ท่านนี่...ท่านนี่อยู่นั้นแหละ” คราวนี้ร่างสูงเดินเข้าใกล้ ใกล้เสียจนมองผิวน้ำที่ใสเห็นกายเปลือยเปล่าใต้ผิวน้ำ เพียงการขยับกายเข้ามาใกล้มิได้ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก แต่สายตาที่จ้องมองนางนั้นทำให้นางห่อไหล่ย่อตัวลงในน้ำจนโผล่แค่จมูกไว้หายใจ “หลินเอ๋อร์” เจ้าของชื่อเพียงช้อนตามอง ก่อนนี้เขาไม่เคยมองนางเช่นนี้ ทุกครั้งที่พบก็มีเพียงสายตาที่มองอย่างอ่อนโยนแกมเอ็นดูเหมือนเห็นนางเป็นเด็ก นางเองก็พอใจเช่นนั้น ทว่าหลังจากได้พบกันอีกครั้งได้รู้จักฐานะที่แ
“หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบเรียกเมื่อลากเรียวลิ้นไปตามลำคอ ร่างใหญ่คร่อมนางไว้ราวกับให้ไออุ่นของเขาคลี่คลุมนาง ดวงตาคมมองมือที่ไร้เรี่ยวแรงจับเสื้อคลุมที่ปิดเนิ่นอกคู่สวยดุจดอกบัวตูม เพียงใช้แค่ปลายนิ้วก็เกี่ยวให้มันเลื่อนลงเปิดเผยผิวกายเนียนละเอียดเบื้องหน้า“ไท่หยาง ข้า...ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” นางไม่แน่ใจว่าสิ่งใดทรมานนางได้มากกว่ากัน ระหว่างการปรากฏของรอยสักดอกไม้แดง หรือสัมผัสที่เขาทำกับนางในตอนนี้“เช่นนั้นแล้วทำไมตัวเจ้ายังสั่นอยู่” ร่างเบื้องล่างอุ่นขึ้นแล้ว แต่เขายังยิ้มเกเรกับผิวเนียนนุ่มและกลิ่นอายกรุ่นละมุนของนาง เขาโกรธที่นางทำตัวเองเจ็บอยู่ร่ำไป นางมักคิดกังวลถึงความรู้สึกของผู้อื่น เจี้ยนเหิงเยว่โกหกหลอกลวงนางก็ยังไม่โกรธ ซ้ำยังกลัวว่าเขาจะลงโทษผู้หญิงคนนั้น กลัวว่าเขาจะลงโทษต้าซื่อที่ปิดบังเรื่องที่นางไปนำไข่มุกหมื่นราตรีจนออกรับผิดแทน แต่นางลืมความรู้สึกของเขาว่าเจ็บปวดเพียงใดที่รู้ว่านางตกอยู่ในอันตราย“อ๊า”ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นร้องครางอย่างสุดจะทนกลั้น เขาครอบครองยอดอกของนางด้วยริมฝีปาก ดูดกลืนจนนางต้องคร่ำครวญออกมา มือใหญ่ช้อนแผ่นหลังของนางขึ้นราวกับจะป้อนชิ้
เคอหลิ่งหลินได้แต่ยืนนิ่งอย่างว่าง่าย เขาจูงมือของนางมานั่งที่เก้าอี้แล้วหยิบหวีมาสางผมให้นางอย่างแผ่วเบา นางทำอะไรไม่ถูก แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยปักปิ่นปักผมให้ แต่ครั้งนี้...แค่ปลายนิ้วมือแตะถูกผิวกายเบาๆ นางก็เป็นแต่คิดถึงภาพเร่าร้อนของเมื่อคืน นางหัวเสียโกรธตนเองนักที่ไม่อาจสลัดภาพนั้นไปได้ ช่างแตกต่างจากตัวต้นเรื่องที่ยังทำหน้าระรื่น แต่...เขาเป็นผู้ชายนี่คงทำเรื่องแบบนี้บ่อยไป ดูเขาเชี่ยวชาญและช่ำชองนัก! “นี่...เจ้าเป็นอะไรของเจ้า อยู่นิ่งๆหน่อย” เขาหัวเราะในลำคอเหมือนกำลังดุเด็กซุกซนคนหนึ่ง “หรืออยากพูดอะไรก็พูดเถิด ปกติข้าไม่เคยเห็นเจ้าสงบปากสงบคำได้สักที” “ก็...” นางไม่กล้าพูดเรื่องที่ตัวเองคิด นางอาจมิใช่คนที่รักษากฎกุลสตรีนัก เรื่องที่เกิดขึ้นนางรู้ว่าผิดจารีตประเพณี แต่มิได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนตัดสินใจลงไป เป็นการตัดสินใจในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่งที่มอบให้ชายคนที่ตนรัก มิได้คิดถึงฐานะอื่นใดที่เขาเป็นอยู่ “ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าใส่เครื่องประดับ ไม่ชอบรึ” “อ่อ...เรื่องนั้น เพราะเวลาข้าเดินทางคนเดียวมักจะขายมันไปบ่อยๆ ระยะหลั
ท่านหมอมู่มองทางเคอหลิ่งหลิน กดหัวคิ้วจ้องมองราวกับจะตำหนิ รู้จักนางมาสองปีแม้เพิ่งได้รู้ฐานะที่แท้จริงก็ไม่ได้ทำให้สบายใจ นางเก่งกาจจริงหรือไม่เขาไม่มั่นใจนัก เพราะเห็นแต่ล่ะครั้งก็ซุกซนราวแมวป่าไร้ความเป็นกุลสตรี หากไม่เพราะมู่ฟางเหนียงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นและเพื่อนเข้าป่าหาสมุนไพรด้วยแล้ว ผู้เป็นพ่ออย่างเขารึจะยอมให้คนนิสัยมุทะลุอย่างนางมาเป็นเพื่อนลูกสาวเขาเล่า แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะลูกสาวคนดีของเขาตอนนี้ปลอบตัวเป็นชายติดตามจ้าวจิ่นสือ-บุตรชายแม่ทัพจ้าว ไปหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมก่อนหน้าผู้เป็นพ่อเสียอีก “หลังจากท่านเดินลมปราณให้แม่นางเคอและข้าทำการฝังเข็มให้นางแล้ว นางจะต้องพักผ่อนอีกอย่างน้อยเจ็ดวันร่างกายจึงจะฟื้นเต็มที่ หากรักษาเสร็จแล้วเดินทางเลย เกรงว่าภายในที่บอบช้ำจะรับไม่ไหว เช่นนั้นแล้วการรักษาของนางก็เท่ากับสูญเปล่า” “ข้าน้อยสั่งองครักษ์ลับให้ติดตามมาอีกสี่คนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แม่นางเคอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรีบรายงาน สีหน้าขององค์ชายไท่หยางยังไม่คลายกังวล เคอหลิ่งหลินเข้าใจสถานการณ์ดี นางมิใช่เด็กเล็กๆ ที่จะไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
เหวินเฮ่าหลันประเมินหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ปกตินางออกจากปากไวไปสักนิด ไร้ความเป็นกุลสตรีไปสักหน่อยหรือเพราะไท่หยางเดินลมปราณให้นางจึงสงบเสงี่ยมกว่าที่เคยเป็นมา เขาจำใจเดินทางมาดูแลผู้หญิงของไท่หยาง ตั้งแต่มาถึงก็เห็นนางหลับตลอดจนเช้านี้เพิ่งเห็นนางตื่นและเดินเหินไปมาในเรือนพักได้แล้ว“ข้านึกว่าเจ้าจะนิทรายาวไปจนถึงวันที่ไท่หยางมารับเสียอีก”เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมารับข้า ข้าฟื้นแล้วจะตามไปสบทบ”“คนผู้นั้นคงอยากเป็นคนแรกที่เจ้าลืมตาตื่นมามองเห็นกระมัง” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะในลำคอ “เป็นข้าคงไม่รื่นรมย์กับการรอคอยนัก ซ้ำยังมิชอบให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือใจตนเองอีกยิ่งไม่น่าสนุกเอาเสียเลย”“ท่านนี่...อยู่หอสราญใจมากไปจนติดนิสัยปากร้ายจากเหล่านางคณิกามาละซิ” นางส่ายหน้าไปมา “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีเรื่องจะรบกวนท่านให้ช่วยเหลือ”“อ่อ! ต้องการให้ข้าช่วย ถึงได้พูดจากับข้าดีนี่เอง” เหวินเฮ่าหลันทำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นไปหยิบภาพที่ม้วนเก็บไว้ออกมาให้เหวินเฮ่าหลัน เขารวบพัดแล้วรับภาพนั้นมาดู“นี่คือ...”“ดอกไม้แดงบนแผ่นหลังของข
“แส้มีพิษ ดูแลคนเจ็บก่อน” นางสั่งทันที ดวงตานางเพ่งมองที่ข้อมือใหญ่นั้น เพียงการขยับเคลื่อนไหว นางก็เดาทิศทางของปลายแส้ได้ ยกกระบี่ขึ้นป้องกันมิให้ถูกตัว โมชิ่งถงเห็นครั้งนี้นางแตกต่างไปจากเดิมก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก จากเดิมที่คิดจะหยอกล้อนางเล่นก็เห็นที่ว่าต้องลงมือจริงจังเสียแล้ว โมชิ่งถงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องนับสิบองครักษ์แม้จะมากฝีมือแต่เมื่อถูกรุมกว่ายี่สิบคนก็รับมือยาก กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอากาศทำให้หญิงสาวใจคอไม่ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดนางก็ไม่ปรารถนาจะเห็นเลือดเปื้อนเปรอะพื้นดินเช่นนี้ เคอหลิ่งหลินใช้วิชาตัวเบากระโจนออกไปด้านนอก หวังใช้ป่าเพื่ออำพรางตน รูปร่างนางเพรียวบางจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบหลีกแส้ทมิฬของโมชิ่งถงที่ตามติดนางราวกับอสรพิษ นางกระโดนไปบนกิ่งไม้ หางตาก็รู้ได้ว่าเขาตามติดประชิดมา เพียงแค่พริบตา แส้ของโม่ชิงถงก็ตวัดกิ่งไม้หักทันที! ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวกำลังจะตกลงพื้น แต่มือข้างหนึ่งก็เหนียวกิ่งไม้ที่ยังที่เหลือได้ทัน ก่อนจะเหวี่ยงตัวกระโดนลงมายืนประจันหน้าโม่ชิงถง “เจ้าจะหนีไปได้สักกี่น้ำ ไป๋ลู่!” โม่ชิงถงหัวเรา
“ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้น” เขาเชิดหน้าขึ้น แล้วยื่นกระเป๋าเก็บน้ำส่งให้นาง “ดื่มน้ำเสียหน่อย เจ้าหิวหรือไม่” หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วมุมปากก็ยกยิ้ม “ข้าอยู่ในฐานะที่จะร้องขออะไรได้” “ข้าแค่ถามว่าเจ้าหิวหรือไม่ มิใช่ให้ยอกย้อน” โม่ชิงถงบ่นแต่ไม่ได้ถือสาอะไร “ก็ข้าคิดว่าท่านรีบร้อนอยากได้กระบี่ผงาดฟ้าเสียอีก” คราวนี้หัวคิ้วหนาของโม่ชิงถงกดลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเหี้ยมที่มุมปาก “มิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่รีบร้อน...ข้าจะอยู่ที่นี่ชมความงามของหุบเขาชิงซานนานเท่าไหร่ก็ย่อมได้” เคอหลิ่งหลินสะกดอารมณ์ตนเอง แสร้งทำเป็นถอนหายใจ กลบเกลือนความรู้สึกภายใน หากเป็นเมื่อก่อนนางอาจไม่อารมณ์เย็นอย่างนี้ เคยเดินทางตัวคนเดียว นางคิดเสมอว่าชีวิตนางไม่มีใครอีกแล้ว แม้ครอบครัวของแม่ทัพจ้าวจะดูแลนางอย่างดี แต่ลึกๆ แล้วนางก็รู้สึกเป็นผู้อื่น บางสิ่งที่นางทำก็เพียงเพื่อให้พวกเขาได้สบายใจ ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรักษาชีวิตตนเองไว้ อยากกลับไปหาใครคนนั้น แม้สถานะของนางจะยังไม่ชัดเจน แต่สถานะทางความรู้สึกนั้น...มันควบคุมนางให้ต้องทำอะไรอย่างระวังตน อย่า
อาจเพราะได้พูดคุยและเห็นท่าทีของเขาแล้ว นางจึงวางใจผล็อยหลับไป มิรู้ทำไมยังง่วงงุนอยู่ทั้งที่หลับมาตลอดทาง โม่ชิงถงเห็นนางหลับตาและเข้าสู่ห้วงนิทราก็ส่ายหน้าไปมา นางควรกลัวเขาแต่กลับหลับไปเสียอย่างนั้น เขาเดินเอาเสื้อคลุมไปคลุมร่างนางให้ก่อนที่ตัวเองจะมานั่งข้างกองไฟใช้กิ่งไม้เขี่ยไฟให้มันดับ จ้องมองรอดูจนควันสีขาวค่อยๆ เลือนหาย ยี่สิบปีผ่านมาเขาได้ตั้งพรรคของตนเองจนมีชื่อเสียง แส้ทมิฬโม่ชิงถง เขาอยู่มาจนบัดนี้แล้ว ยังไม่อาจลืมใบหน้าของไป๋ลู่ได้เลย ยี่สิบปีที่หัวใจทุกข์ระทม มันนานเหลือเกิน แท้ที่จริงแล้วเขาอาจมิได้ตามหากระบี่ผงาดฟ้า แต่ยังคงตามหาหญิงเดียวในดวงใจและเมื่อนางปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขากลับมิอาจปล่อยนางไปได้ ไม่ว่าอย่างไร เขาจะรั้งนางไว้เคียงข้างกายเขาให้จงได้คงเพราะร่างกายนางยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ทำให้เผลอหลับสนิท แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบเสื้อคลุมของโม่ชิงถงที่ทับร่างของนางอยู่ แต่นางไม่เห็นเจ้าของเสื้อคลุมแล้ว กองไฟเบื้องหน้าเหมือนเพิ่งจะมอดไป นางรีบลุกขึ้นจัดการธุระของตัวเอง ล้างหน้าตาที่ริมลำธารจนสดชื้น ขณะก้มหน้าอยู่นั้น ปรากฏเงาสะท้อนอยู่ในน้ำ หญิงสาวอ้าปากอุทานอย่างตื่นเต
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา