ท่านหมอมู่มองทางเคอหลิ่งหลิน กดหัวคิ้วจ้องมองราวกับจะตำหนิ รู้จักนางมาสองปีแม้เพิ่งได้รู้ฐานะที่แท้จริงก็ไม่ได้ทำให้สบายใจ นางเก่งกาจจริงหรือไม่เขาไม่มั่นใจนัก เพราะเห็นแต่ล่ะครั้งก็ซุกซนราวแมวป่าไร้ความเป็นกุลสตรี หากไม่เพราะมู่ฟางเหนียงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นและเพื่อนเข้าป่าหาสมุนไพรด้วยแล้ว ผู้เป็นพ่ออย่างเขารึจะยอมให้คนนิสัยมุทะลุอย่างนางมาเป็นเพื่อนลูกสาวเขาเล่า แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะลูกสาวคนดีของเขาตอนนี้ปลอบตัวเป็นชายติดตามจ้าวจิ่นสือ-บุตรชายแม่ทัพจ้าว ไปหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมก่อนหน้าผู้เป็นพ่อเสียอีก “หลังจากท่านเดินลมปราณให้แม่นางเคอและข้าทำการฝังเข็มให้นางแล้ว นางจะต้องพักผ่อนอีกอย่างน้อยเจ็ดวันร่างกายจึงจะฟื้นเต็มที่ หากรักษาเสร็จแล้วเดินทางเลย เกรงว่าภายในที่บอบช้ำจะรับไม่ไหว เช่นนั้นแล้วการรักษาของนางก็เท่ากับสูญเปล่า” “ข้าน้อยสั่งองครักษ์ลับให้ติดตามมาอีกสี่คนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แม่นางเคอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรีบรายงาน สีหน้าขององค์ชายไท่หยางยังไม่คลายกังวล เคอหลิ่งหลินเข้าใจสถานการณ์ดี นางมิใช่เด็กเล็กๆ ที่จะไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
เหวินเฮ่าหลันประเมินหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ปกตินางออกจากปากไวไปสักนิด ไร้ความเป็นกุลสตรีไปสักหน่อยหรือเพราะไท่หยางเดินลมปราณให้นางจึงสงบเสงี่ยมกว่าที่เคยเป็นมา เขาจำใจเดินทางมาดูแลผู้หญิงของไท่หยาง ตั้งแต่มาถึงก็เห็นนางหลับตลอดจนเช้านี้เพิ่งเห็นนางตื่นและเดินเหินไปมาในเรือนพักได้แล้ว“ข้านึกว่าเจ้าจะนิทรายาวไปจนถึงวันที่ไท่หยางมารับเสียอีก”เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมารับข้า ข้าฟื้นแล้วจะตามไปสบทบ”“คนผู้นั้นคงอยากเป็นคนแรกที่เจ้าลืมตาตื่นมามองเห็นกระมัง” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะในลำคอ “เป็นข้าคงไม่รื่นรมย์กับการรอคอยนัก ซ้ำยังมิชอบให้ผู้อื่นมีอิทธิพลเหนือใจตนเองอีกยิ่งไม่น่าสนุกเอาเสียเลย”“ท่านนี่...อยู่หอสราญใจมากไปจนติดนิสัยปากร้ายจากเหล่านางคณิกามาละซิ” นางส่ายหน้าไปมา “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีเรื่องจะรบกวนท่านให้ช่วยเหลือ”“อ่อ! ต้องการให้ข้าช่วย ถึงได้พูดจากับข้าดีนี่เอง” เหวินเฮ่าหลันทำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นไปหยิบภาพที่ม้วนเก็บไว้ออกมาให้เหวินเฮ่าหลัน เขารวบพัดแล้วรับภาพนั้นมาดู“นี่คือ...”“ดอกไม้แดงบนแผ่นหลังของข
“แส้มีพิษ ดูแลคนเจ็บก่อน” นางสั่งทันที ดวงตานางเพ่งมองที่ข้อมือใหญ่นั้น เพียงการขยับเคลื่อนไหว นางก็เดาทิศทางของปลายแส้ได้ ยกกระบี่ขึ้นป้องกันมิให้ถูกตัว โมชิ่งถงเห็นครั้งนี้นางแตกต่างไปจากเดิมก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก จากเดิมที่คิดจะหยอกล้อนางเล่นก็เห็นที่ว่าต้องลงมือจริงจังเสียแล้ว โมชิ่งถงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องนับสิบองครักษ์แม้จะมากฝีมือแต่เมื่อถูกรุมกว่ายี่สิบคนก็รับมือยาก กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอากาศทำให้หญิงสาวใจคอไม่ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดนางก็ไม่ปรารถนาจะเห็นเลือดเปื้อนเปรอะพื้นดินเช่นนี้ เคอหลิ่งหลินใช้วิชาตัวเบากระโจนออกไปด้านนอก หวังใช้ป่าเพื่ออำพรางตน รูปร่างนางเพรียวบางจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบหลีกแส้ทมิฬของโมชิ่งถงที่ตามติดนางราวกับอสรพิษ นางกระโดนไปบนกิ่งไม้ หางตาก็รู้ได้ว่าเขาตามติดประชิดมา เพียงแค่พริบตา แส้ของโม่ชิงถงก็ตวัดกิ่งไม้หักทันที! ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวกำลังจะตกลงพื้น แต่มือข้างหนึ่งก็เหนียวกิ่งไม้ที่ยังที่เหลือได้ทัน ก่อนจะเหวี่ยงตัวกระโดนลงมายืนประจันหน้าโม่ชิงถง “เจ้าจะหนีไปได้สักกี่น้ำ ไป๋ลู่!” โม่ชิงถงหัวเรา
“ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้น” เขาเชิดหน้าขึ้น แล้วยื่นกระเป๋าเก็บน้ำส่งให้นาง “ดื่มน้ำเสียหน่อย เจ้าหิวหรือไม่” หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วมุมปากก็ยกยิ้ม “ข้าอยู่ในฐานะที่จะร้องขออะไรได้” “ข้าแค่ถามว่าเจ้าหิวหรือไม่ มิใช่ให้ยอกย้อน” โม่ชิงถงบ่นแต่ไม่ได้ถือสาอะไร “ก็ข้าคิดว่าท่านรีบร้อนอยากได้กระบี่ผงาดฟ้าเสียอีก” คราวนี้หัวคิ้วหนาของโม่ชิงถงกดลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเหี้ยมที่มุมปาก “มิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่รีบร้อน...ข้าจะอยู่ที่นี่ชมความงามของหุบเขาชิงซานนานเท่าไหร่ก็ย่อมได้” เคอหลิ่งหลินสะกดอารมณ์ตนเอง แสร้งทำเป็นถอนหายใจ กลบเกลือนความรู้สึกภายใน หากเป็นเมื่อก่อนนางอาจไม่อารมณ์เย็นอย่างนี้ เคยเดินทางตัวคนเดียว นางคิดเสมอว่าชีวิตนางไม่มีใครอีกแล้ว แม้ครอบครัวของแม่ทัพจ้าวจะดูแลนางอย่างดี แต่ลึกๆ แล้วนางก็รู้สึกเป็นผู้อื่น บางสิ่งที่นางทำก็เพียงเพื่อให้พวกเขาได้สบายใจ ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรักษาชีวิตตนเองไว้ อยากกลับไปหาใครคนนั้น แม้สถานะของนางจะยังไม่ชัดเจน แต่สถานะทางความรู้สึกนั้น...มันควบคุมนางให้ต้องทำอะไรอย่างระวังตน อย่า
อาจเพราะได้พูดคุยและเห็นท่าทีของเขาแล้ว นางจึงวางใจผล็อยหลับไป มิรู้ทำไมยังง่วงงุนอยู่ทั้งที่หลับมาตลอดทาง โม่ชิงถงเห็นนางหลับตาและเข้าสู่ห้วงนิทราก็ส่ายหน้าไปมา นางควรกลัวเขาแต่กลับหลับไปเสียอย่างนั้น เขาเดินเอาเสื้อคลุมไปคลุมร่างนางให้ก่อนที่ตัวเองจะมานั่งข้างกองไฟใช้กิ่งไม้เขี่ยไฟให้มันดับ จ้องมองรอดูจนควันสีขาวค่อยๆ เลือนหาย ยี่สิบปีผ่านมาเขาได้ตั้งพรรคของตนเองจนมีชื่อเสียง แส้ทมิฬโม่ชิงถง เขาอยู่มาจนบัดนี้แล้ว ยังไม่อาจลืมใบหน้าของไป๋ลู่ได้เลย ยี่สิบปีที่หัวใจทุกข์ระทม มันนานเหลือเกิน แท้ที่จริงแล้วเขาอาจมิได้ตามหากระบี่ผงาดฟ้า แต่ยังคงตามหาหญิงเดียวในดวงใจและเมื่อนางปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขากลับมิอาจปล่อยนางไปได้ ไม่ว่าอย่างไร เขาจะรั้งนางไว้เคียงข้างกายเขาให้จงได้คงเพราะร่างกายนางยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ทำให้เผลอหลับสนิท แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบเสื้อคลุมของโม่ชิงถงที่ทับร่างของนางอยู่ แต่นางไม่เห็นเจ้าของเสื้อคลุมแล้ว กองไฟเบื้องหน้าเหมือนเพิ่งจะมอดไป นางรีบลุกขึ้นจัดการธุระของตัวเอง ล้างหน้าตาที่ริมลำธารจนสดชื้น ขณะก้มหน้าอยู่นั้น ปรากฏเงาสะท้อนอยู่ในน้ำ หญิงสาวอ้าปากอุทานอย่างตื่นเต
โม่ชิงถงมิสนใจว่าคนเบื้องหน้าจะเป็นผู้หญิงหรือชาย เขากระโจนเข้าใส่ชิงลงมือก่อน นักพรตหญิงผมขาวมีไม้เท้าใช้เป็นอาวุธยกไม้เท้าขึ้นรับแส้ที่ตวัดลงมา เมื่อประชิดตัวกันก็ปะทะฝ่ามือกัน พลังสะท้อนจนร่างของเคอหลิ่งหลินกระเด็นไปกระแทกปากถ้ำ นักพรตเหลือบตามองแต่ยังต่อสู้กับโม่ชิงถงอยู่“เจ้าถูกข้าทำลายกำลังภายในไปไม่ใช่รึ หาที่หลบซ่อนตัวเสียก่อน”“มัน...มันผู้นั้น เป็นคนทำร้ายท่านแม่ข้า” นางลุกขึ้นแต่พูดได้เพียงแค่นั้นก็ทรุดลงไปนั่งพร้อมกับกระอักเอาลิ่มเลือดสีดำออกมา“หลิ่งหลิน เจ้าหลบไป ข้าจะคิดบัญชีแค้นให้แม่ของเจ้าเอง ไม่เจอกันหลายปี ฝีมือของเจ้าจะสักเท่าไหร่กันเหอะ!” นักพรตหญิงตะโกนบอกพร้อมปะทะกับโม่ชิงถง ดวงตาสีนิลของเคอหลิ่งหลินจ้องมองโม่ชิงถงแทบไม่กะพริบตา เพียงเสี้ยวจังหวะหนึ่งเขามองทางนาง เห็นความโกรธแค้นชิงชังในแววตาของนาง“ใช่! เป็นข้าที่ทำร้ายไป๋ลู่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส” ตะโกนบอกทั้งที่ยังประมือกับนักพรตหญิง แม้รู้ดีว่าถ้อยคำของตนเท่ากับน้ำมันที่ราดบนกองไฟ เขาไม่ได้ปิดบังแต่ก็มิได้พูดความจริงทั้งหมด“เพื่อกระบี่ผงาดฟ้าหรือเพื่อแย่งชิงท่านแม่จากท่านพ่อ เจ้าก็ล้วนทำด้วยความเลวทรามทั้
เคอหลิ่งหลินเห็นโม่ชิงถงพุ่งเข้าใส่ มือเรียวยกกระบี่ขึ้นป้องกันตัว กระบี่งดงามในมือราวกับมีแสงสีขาวโพยพุ่งออกมาร่ายล้อมรอบกระบี่ แล้วดวงตาของนางก็เบิกกว้างเมื่อร่างใหญ่โตของเขาพุ่งร่างเข้าใส่กระบี่ที่นางถือ กระบี่เล่มยาวทิ่มเข้าไปในร่างของชายตรงหน้า ใบหน้านั้นมีทั้งความเจ็บปวดและสบายใจอย่างน่างุนงง“ทำไม” เคอหลิ่งหลินพูดได้เพียงแค่นั้น ก็เห็นเลือดสีสดไหลอาบกระบี่ที่นางถือ มือใหญ่สั่นระริกแล้วยกขึ้นลูบใบหน้าของหญิงสาว“มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้ข้าได้พบเจ้า...ไป๋ลู่”พูดได้เพียงแค่นั้น ชายเบื้องหน้าก็กระอักเลือดออกมาจนเปื้อนเปรอะ เป็นฝ่ายเขาที่เดินเข้าหากระบี่ให้กระบี่ผงาดฟ้าได้ดื่มโลหิต“นี่คือหนทางของข้า หลิ่งหลิน” เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาเรียกชื่อนาง มิใช่ชื่อแม่ของนาง กระบี่เล่มยาวทะลุร่างใหญ่โตจนปลายกระบี่โผล่อยู่ด้านหลัง แม้นางจะชิงชังเขาแต่ก็มิได้คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ มือใหญ่เลื่อนจากแก้มมาเกาะกุมมือของนางที่สั่นระริกแล้วช่วยออกแรงดึงกระบี่ออกจากร่างของตน เพียงปลายกระบี่หลุดพ้นจากร่าง เลือดสีสดก็พุ่งออกจากบาดแผล แม้จะเคยเห็นเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้บีบเคล้นหัวใจนางยิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา