“ของเล่นแค่นี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก ไป๋ลู่”กลิ่นเหม็นไหม้ลอยคลุ้งในอากาศทำให้โม่ชิงถงชะงักมือไป เขาเงยหน้าขึ้นพลันได้ยินเสียงระเบิดอยู่ด้านนอก จำใจต้องผละคนในวงแขนทิ้งลงกับพื้นแล้วก้าวยาวๆ ไปทางประตู เคอ-หลิ่งหลินรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีวิ่งไปที่ระเบียง ด้านนอกมืดสนิท ลมกลางคืนโหมพัดรุนแรงและพื้นที่เหยียบยืนก็โคลงไหว นางก้มหน้ามองจึงรู้ว่าตนเองอยู่ในเรือ! และเบื้องหน้าคือแผ่นน้ำ!“ไฟไหม้!”เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่หัวเรือ นางมองผืนน้ำเบื้องหน้าแล้วหันไปมองทางโม่ชิงถงที่เพิ่งรู้ตัวว่านางวิ่งหนีมาทางระเบียงแล้ว เคอหลิ่งหลินเห็นเขาคว้าแส้สีดำทมิฬไว้ในมือ นางจึงหมุนตัวแล้วปีนราวระเบียงกระโดดลงน้ำไปทันที ปลายแส้ตวัดถูกผิวผ้าที่แผ่นหลังแหวกขาดเปิดเปลือยผิวกายก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงน้ำไป“ไป๋ลู่! อย่าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นนะ! ยังไงเจ้าก็เป็นของข้า ต้องเป็นของข้าเท่านั้น!”เคอหลิ่งหลินกลั้นหายใจ ปล่อยร่างตัวเองจมดิ่งในกระแสน้ำเย็นจัด ความเย็นเยียบห่อหุ้มร่างกายในชุดผ้าแพรสีแดงสด ขอเพียงกลั้นหายใจในน้ำได้นาน นางจะพ้นสายตาของมันผู้นั้น ทว่าเมื่อความเย็นเข้ามาโอบล้อมความเจ็บปวดนั้นก็บังเกิดขึ้นดุจเ
“หลินเอ๋อร์”เขากระซิบเรียกแตะตัวนางเบาๆ ไอเย็นจากผิวกายของนางทำให้เขาหงุดหงิด และแม้จะอยู่ในความืด เมื่อสายตาปรับให้คุ้นชินแล้ว เขามองเห็นแผ่นหลังของนางปรากฏรอยสักรูปดอกไม้สีแดง สีแดงนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายของนางที่เย็นจัดดุจแผ่นน้ำแข็งทั้งเจ็บทั้งหนาว ทรมานนัก!เคอหลิ่งหลินมิอาจห้ามตนเองมิให้ดิ้นทุรนทุรายได้ มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่นางบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในเวลานี้เพียงการปรากฏของดอกไม้แดง ต้องแลกกับความเจ็บปวดเพียงนี้เลยหรือ?รอยอุ่นทาบทับที่รอยดอกไม้บนกลางหลัง ราวกับขับไล่ไอเย็นออกจากเรือนร่าง หญิงสาวผวาเอี้ยวตัวมองแต่ไม่ถนัด ทว่ากลับรู้ดีว่าเขาทาบริมฝีปากอุ่นกับรอยสักรูปดอกไม้แดง“ท่าน...หยุด..หยุดนะ”นางห้ามเขาเสียงแผ่ว รู้ว่าควรห้าม แต่ลึกๆ แล้วกลับพอใจที่ไออุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ก็เขินอายจนแนบตัวไปกับที่นอนราวกับจะฝั่งตัวเองลงไปเพื่อหลบสัมผัสของเขา“ตัวเจ้าเย็นเหลือเกิน” เสียงแหบพร่าเป่ารดผิวกายเนียนละเอียด ชุดของนางเปียกชื้น ซ้ำด้านหลังยังถูกแส้ตวัดขาดเป็นริ้วแทบกลายเป็นเศษผ้า ทำให้เขาแหวกผ้านั้นออกอย่างเบามือ ทาบริมฝีปากพรมจูบทั่วแผ่นหลัง เสียงคร
เหวินเฮ่าหลัน! หญิงสาวได้แต่คาดโทษเขาในใจ ไยกล้าพูดเรื่องน่าอับอายได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ นางกัดผ้าห่มกลั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงประท้วงออกไป “ข้าได้ยินจ้าวจิ่นสือพูดถึงหญิงสาวร่วมรบเคียงข้างบิดาของเขา ข้าก็หลงจินตนาการว่านางผู้นั้นต้องเก่งกล้าสามารถหาที่เปรียบมิได้ เหอะ! ใครจะคิดว่าแท้จริงแล้วเป็นหญิงโง่ที่รนหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนเช่นนี้” เหวินเฮ่าหลันหวังจะได้ยินเสียงโต้เถียงแบบคนปากเก่ง แต่อีกฝ่ายก็เงียบงัน เห็นเพียงก้อนผ้ากลมๆ ขยุกขยิกไปมาหรือนางอับอายจนคิดจะฆ่าตัวตายในก้อนผ้าห่มนั้น “เฮ่าหลัน มิใช่ตอนนี้” ไท่หยางปรามเบาๆ อย่างเข้าใจนิสัยกวนโทสะของสหายคนนี้ดี “เอาเถอะๆ ข้าจะขึ้นฝั่งไปรอที่เรือนก่อน”เหวินเฮ่าหลันพูดน้ำเสียงเบื่อหน่ายที่ไร้คู่ต่อปากต่อคำ เขาหมุนตัวกำลังเดินออกไป เคอหลิ่งหลินกำลังจะถอนหายใจที่เขาไปเสียได้ แต่เท้านั้นก็ชะงักพร้อมกับเอ่ยขึ้น “อ้อ! ข้าขอเตือนพวกท่าน เรือลำนี้มันเล็ก จะทำอะไรก็อย่าได้รุนแรงนัก ระวังๆ อย่าให้เรือของข้าคว่ำเสียล่ะ” พูดจบเหวินเฮ่าหลันสำแดงวิชาตัวเบาที่มองผิว
“แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” นางนั่งตัวแข็งไม่กล้าขยับตัว กลัวพายุอารมณ์ที่พัดผ่านไปแล้วจะโหมกลับมาใหม่อีกครั้ง “แล้วไยเจ้ามิบอกข้า ว่าเจ้าเป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้ข้า” เคอหลิ่งหลินรู้สึกเหมือนคนที่หลังชนกำแพง ไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ ทางเดียวคือการเผชิญหน้านั้นคือการพูดความจริงกับเขา “ข้าได้รับบาดเจ็บ...” “สาหัส” เขาเติมให้ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ใช่...ข้าได้รับบาดเจ็บ หมดสติบนหลังม้า ตื่นฟื้นอีกทีก็อยู่ในจวนแม่ทัพแล้ว รู้เพียงท่านปลอดภัยดีเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว ข้าเองก็จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไข่มุกหมื่นราตรีที่นำมาอยู่ที่ใด หรือหล่นหายไปทางไหน พอมาเจอท่านในวังหลวงก็ได้ยินว่าเจี้ยนเหิงเยว่เป็นคนนำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้ท่าน ข้าแค่อยากเจอผู้ที่มอบไข่มุกหมื่นราตรีให้นาง เพื่อจะสอบถามอะไรบ้างอย่างก็เท่านั้น แต่ก็มาเจอเรื่องวุ่นวายเสียก่อน” พูดถึงตรงนี้เคอหลิ่งหลินก็สะดุ้งโหย่งอย่างเพิ่งนึกได้ “โอ๊ยแย่แล้ว ข้าหายออกมาวันกับคืนแบบนี้ ท่านแม่กับชุนเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงแน่ๆ”
นางอดบ่นพึมพำไม่ได้ แต่ก็ยอมให้มือใหญ่ประคองนางค่อยๆ เดินออกมาจากด้านนอก เรือโคลงไหวเล็กน้อย แล้วร่างของนางก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยความที่ปิดตานางยกมือขึ้นคล้องคอเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าแนบที่แผงอก และเพราะมองไม่เห็นจึงไม่รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มพึ่งใจที่มุมปากแม้เขาจะผิวขาวไปสักหน่อย ทว่าทุกจังหวะการก้าวเดินกลับหนักแน่นและมั่งคงราวกับนางตัวเบานัก จากเรือขึ้นบันไดไม่กี่ก้าวนางรู้สึกได้ว่าเข้ามาสู่ห้องที่ค่อนข้างเย็น และหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ จนเมื่อเขาปล่อยให้นางนั่งที่เก้าอี้แล้ว ผ้าที่ปิดตาอยู่ถูกปลดออก นางมองเห็นเหวินเฮ่าหลันยกถ้วยชาขึ้นดื่มอยู่เบื้องหน้า“ข้ามิอาจกล่าวว่ายินดีต้อนรับได้ เพราะข้ามิได้ยินดีแต่เมื่อเจ้ามาถึงรังของข้าแล้ว ก็ต้องขอต้อนรับด้วยความไม่เต็มใจยิ่ง”เคอหลิ่งหลินตัดสินใจสงบปากสงบคำ เหลียวมองรอบห้อง ลักษณะเป็นห้องลับที่ใดสักแห่ง ในห้องนอกจากโต๊ะชุดนี้แล้วก็เห็นเตียงที่อยู่มุมห้องซึ่งดูเหมือนมิได้ถูกใช้งาน ผนังห้องเป็นหินให้ความรู้สึกเย็น มีศาตราวุธแขวนอยู่หลายชิ้น มันมิใช่เพียงแค่เครื่องประดับแต่ทุกชิ้นล้วนถูกผ่านการ
“แม่แท้ๆ ผู้ให้กำเนิดข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเป็นจำความมิได้ ที่ผ่านมาบิดาของข้าไม่เคยพูดถึงและไม่มีเคยมีดอกไม้แดงปรากฏขึ้นมาเลยจนกระทั้ง...”นางครุ่นคิด ครั้งแรกที่รอยสักดอกไม้แดงปรากฏที่กลางหลัง คืนที่นางพลัดตกน้ำ แต่ก่อนหน้านั้นเหล่า มันจะเกี่ยวกับท่านป้าซัดฝ่ามือใส่นางหรือไม่“หลินเอ๋อร์” เคอหลิ่งหลินเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงอ่อนโยน เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เรียกนางแบบนี้ นางจะบอกเขาอย่างไรว่ามันเริ่มจากที่นางไปตามหาไข่มุกหมื่นราตรี“พวกท่านอย่าทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนได้หรือไม่” เหวินเฮ่าหลันกระพือพัดเร็วๆ ด้วยความหงุดหงิด“มันเกี่ยวกับไข่มุกหมื่นราตรีใช่หรือไม่”นางอยากมีสติปัญญาปราดเปรืองกว่านี้ จะหาทางหลบหลีกยามที่ถูกเขาต้อนนางให้จนมุมด้วยสายตาและน้ำเสียงเช่นนั้น“อืม”นางได้แต่พยักหน้ารับ“แต่มันไม่เกี่ยวกับท่านนะ” มือเรียวโบกไปมา “แท้ที่จริงแล้ว ข้าได้พบนักพรตหญิงผู้ดูแลกระบี่ผงาดฟ้าซึ่งข้าเองก็เพิ่งทราบว่านางเป็นท่านป้าของข้า นางเป็นผู้ชี้ทางให้ข้าไปนำไข่มุกหมื่นราตรี ทว่าระหว่างที่เปิดเปลือกหอยนั้นเหมือนร่างกายของข้าจะถูกอะไรสักอย่างเข้า ร่างกายปวดแสบปวดร้อนนัก เมื่อขึ้นจากบึงม
ไท่หยางเพียงพยักหน้ารับ มองสหายเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ทิ้งคนที่นั่งตัวเกร็งหน้าแดงจัดไว้เบื้องหน้าเขา เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินมานั่งเคียงข้างนาง“หลินเอ๋อร์”“หากโม่ชิงถงพูดจริง ข้าก็ฟื้นกำลังและปกป้องตนเองได้ ท่านมิต้องกังวลหรอก”ใบหน้าของนางถูกประคองขึ้นด้วยสองมือของเขา ทำให้นางไม่อาจหลบหลีกสายตาที่จ้องมองนางได้“ข้ามิได้ห่วงเรื่องนั้น” ลมหายใจอุ่นคลอเคลียอยู่ที่เนียนแก้มและความอบอุ่นของเขาทำให้นางอยากจะหยุดเวลาไว้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นนี้ให้เต็มปอด“เป็นข้าที่ไม่อาจทนได้”“เรื่องอันใดกัน” “หลินเอ๋อร์เพียงแค่คิดว่ามีผู้อื่นกอดเจ้า ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว”นางกะพริบตาปริบๆ “ข้าเคยพูดใช่หรือไม่ ให้เจ้ามาอยู่กับข้า”นางพยักหน้ารับ“เวลานี้ข้าก็ต้องการเช่นนั้น”เขาพูดว่าอะไรนะ หมายถึงอะไรกัน? “ท่านจะให้ข้าอยู่กับท่านนะหรือ?”“ใช่”“ข้าจะอยู่กับท่านในฐานะอะไรกัน” แม้มือใหญ่ประคองหน้านางไว้ แต่นางก็ส่ายหน้าไปมา“หากท่านช่วยข้าเพียงเพราะรู้สึกติดค้างที่ข้าเคยช่วยท่านละก็ ท่านมิต้องทำสิ่งใดหรอก”“หลินเอ๋อร์”คราวนี้น้ำเสียงเข้มขึ้นเหมือนแววตาที่มีประกายดุดันขึ้นมา แต
“แม้เป็นเพียงบุตรบุญธรรม แต่บิดาของนางก็เป็นแม่ทัพผู้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและมารดาก็ยังเป็นองค์หญิงสิบสามของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนางพอจะได้นั่งตำแหน่งชายาขององค์ไท่หยางได้หรือไม่เพคะฝ่าบาท” “นี่เจ้าก็เป็นแม่สื่อแม่ชักด้วยหรือไร” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลขึ้นมา “มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เห็นว่าองค์ชายไท่หยางทรงช่วยราชกิจมากมายนัก มิขอรับตำแหน่งลาภยศใด ซ้ำยังช่วยสั่งสอนขัดเกลาองค์รัชทายาทให้เพียบพร้อมที่จะสืบราชบัลลังก์ เช่นนี้เห็นควรว่าน่าจะมอบอะไรๆ เล็กๆ น้อยให้ดีหรือไม่ละเพคะ” “เอาล่ะๆ ข้าก็แค่พ่อคนหนึ่ง ย่อมต้องการเห็นลูกๆ มีความสุข ไท่หยางเองก็อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด มารดาก็ตายจากไปมีเจ้าที่ดูแลเขาดั่งลูกในไส้ อย่างไรเจ้าก็ช่วยดูแลเรื่องนี้แทนข้าหน่อยก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยเพคะ” พระมเหสีเพียงยิ้มน้อยๆ นางมิได้ไม่พอใจสนมอวี้เหมยกับเจี้ยนเหิงเยว่ เพียงแต่ก็มิชอบที่บางครั้งสนมอวี้เหมยทำอะไรข้ามหน้าข้ามตานางอยู่บ่อยครั้ง แม้นางจะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เอ็นดูแกมสงสารเด็กชายอมโรคผู้นี้นัก ครั้งก่อนที่มีเหตุลอบทำร้ายองค์รัชทายาทก็ได้ไท่หยางเข้า