“ไยตอนที่เราพบกันเจ้ามิเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้”“ไม่สำคัญอันใด ข้าก็มิได้โกหกอะไรท่าน ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว” หญิงสาวไหวไหล่ “ท่านจะเห็นข้าเป็นคนเลี้ยงม้าหรือบ่าวไพร่ก็หาใช่เรื่องที่ข้าใส่ใจ ทีท่านเองก็มิเคยบอกข้าว่าท่านเป็นใคร”“น้ำเสียงเจ้าเหมือนเคืองข้าอยู่นะ”“เปล่าเสียหน่อย ท่านคิดไปเอง” นางแย้มยิ้ม ราวกับเด็กน้อย “ไหนๆ ข้าก็ทำนิ้วท่านเจ็บ ข้าเขียนแผนที่ให้ท่านใหม่ก็แล้วกัน เส้นทางบ้างเส้นเป็นความลับทางการทหาร แต่ในฐานะที่ท่านเป็นองค์ชาย ข้าคงเปิดเผยได้ไม่ผิดกฏอะไร”นางนั่งลงแล้วพับแขนเสื้อขึ้น หยิบพู่กันแล้วจุ่มหมึกวาดเส้นทางใหม่ลงบนกระดาษ“ได้ยินว่าท่านเตรียมเรื่องที่จะไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม ข้าจะเขียนแผนที่เส้นทางลัดให้จะย่นเวลาได้หนึ่งหรือสองวันเลยทีเดียว”ไท่หยางนั่งลงเคียงข้างเคอหลิ่งหลิน ข้อมือที่จับพู่กันตวัดพลิ้วไปมาปรากฏเส้นทางที่เข้าใจได้ง่าย แม้จะมองเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง“เรื่องแต่งโคลงกลอนหรือเขียนภาพข้าไม่ถนัด แต่ถ้าเป็นเรื่องแผนที่ข้าชำนาญนัก” นางพูดอวดตัวแต่กลับหัวเราะอย่างร่าเริง“ข้ามักเดินทางคนเดียว แฝงตัวกับช
“เจ้าจะปีนป่ายต้นไม้กลับไปหรือไรกัน” ถามคล้ายไม่ต้องการคำตอบ น้ำเสียงยากจะคาดเดาว่าห่วงใยหรือขบขัน ทำให้เคอหลิ่งหลินยืนหลังตรงใบหน้าหวานเชิดหน้าขึ้นวางมาดเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาทันที ใช่ซิ! นางเหมือนลิงค่างในป่านักนี่! จะไปน่ารักงดงามอย่างแม่นางเจี้ยนเหิงเยว่ได้เล่า!“ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”“ก็ข้าบอกว่าจะไปส่งไง” ไท่หยางหัวเราะในลำคอ นิสัยนางเหมือนเด็กนัก เปิดเผย ใสซื่อ และนางคือความสบายใจทุกครั้งคราวที่พบหน้า ในวังหลวงก็มิต่างอะไรจากสนามรบ รู้หน้ามิรู้ใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่อาจซ่อนคมมีดไว้พร้อมจะปลิดชีพกัน แม้จะร่วมสายเลือดกันก็ตามเคอหลิ่งหลินอ้าปากจะโต้เถียง แต่กลัวถูกปิดปากด้วยปากของเขาอีก นางจึงปิดปากแน่น ปรายตาไปที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วนิ้วเรียวชี้ไปทิศทางที่องครักษ์ร่างใหญ่ยืนซ่อนตัวในเงามืดอยู่“ถ้าพระองค์ทรงเมตตา ก็ให้องครักษ์ของพระองค์ไปส่งหม่อมฉันเถิดเพคะ”ไยนางชอบโยนเผือกร้อนใส่เขาเสียจริง ต้าซื่อได้แต่สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเท้าออกมาเพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ใบหน้าที่สุขุมอยู่เป็นนิจปรากฏความไม่พอใจขึ้นเล็กน้อย แต่เอาเถิด ถ้านางขอ เขาก็ต้องให้จะได้รู
เคอหลิ่งหลินนึกถึงสายตาของเจี้ยนเหิงเยว่ที่มองนางอย่างไม่ชอบใจนัก ทั้งที่นางเองก็มิรู้ว่าเคยทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจมาก่อนหรือไม่ แต่นางไม่เคยเจอเจี้ยนเหิงเยว่มาก่อนนี่นา คนเราจะไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกเชียวรึ หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนไม่สนใจชุนเอ๋อร์ที่พยายามดึงให้นางลุกขึ้นนั่ง“คุณหนู! ลุกขึ้นจากที่นอนเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ”“ขอข้าหลับสักงีบเถอะ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าแต่งตัวข้าเป็นตุ๊กตาเลยล่ะ”หญิงสาวหลับตาลง เพราะใครกันที่ทำให้นางนอนไม่หลับจนต้องนั่งเขียนแผนที่ถึงเช้าอย่างนี้เล่า ถ้าเข้ามาก่อกวนในความฝันของนางด้วยละก็...นางจะเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุดเลย แต่ถ้านางฝันถึงเขาจริง นางจะไปทำอะไรเขาได้ นั้นองค์ชายไท่หยาง พระโอรสพระองค์โตขององค์ฮ่องเต้เชียวนะ แล้วนางล่ะ ก็แค่ลิงน้อยตนหนึ่งเท่านั้น‘ข้าก็เพียงหวังว่า หัวใจของเจ้าจะยังมีข้าอยู่ในนั้น’เสียงของเขาดังแว่วขึ้นมาอีกครั้ง เคอหลิ่งหลินดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง คนผู้นั้นเป็นคนเดียวกับ ‘คุณชายเฉิน’ ของนางจริงๆนะหรือ นี่นางหลงชอบคนแบบนี้ได้อย่างไรกันแน่.เคอหลิ่งหลินได้หลับเพียงครึ่งชั่วยามก็ถูกชุนเอ๋อร์จับแปลงโฉมเป็นหญิงงาม อาภรณ์สีฟ้าละมุนทำให้นาง
Chapter 44. อย่าทำดีต่อกันนัก“ดูนายของเจ้าซิ ยามติดตามสามีข้าออกรบ ยังมิทำหน้ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้”“จริงด้วยเจ้าค่ะฮูหยิน”หญิงสาวได้แต่ทำเสียงไม่พอใจในคอ สายตากวาดมองไปรอบๆ หญิงสาวแต่งกายงดงามมากมายมาร่วมดื่มน้ำชา นางแทบไม่รู้จักอะไรเลย น้ำชาก็คือน้ำชาถ้ารสไหนที่ดื่มบ่อยคุ้นลิ้นก็จำกลิ่นได้ หากมิได้ฝึกซ้อมทหารก็ต้องฝึกเพลงกระบี่ ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนี้นักดวงตาของเคอหลิ่งหลินมีแววยินดีเมื่อเห็นเจี้ยนเหิงเยว่ นางคิดว่านางยิ้มให้แล้วนะ แต่เจี้ยนเหิงเยว่กลับมองนางกลับด้วยสีหน้ามึนตึง“คนที่นี่เป็นอะไรกันนะ” เคอหลิ่งหลินพึมพำ แต่ฮูหยินอี้ซิ่วก็ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ก็เป็นธรรมดา เจ้าไปแย่งชายในดวงใจของนาง จะให้นางแย้มยิ้มเบิกบานเมื่อเห็นเจ้าได้อย่างไร”“ข้าเปล่านะท่านแม่ ข้ามิเคยทำอะไรเช่นนั้น” นางตกใจนัก เรื่องแบบนี้ นางจะทำได้อย่างไรกัน หากนางรู้ว่าองค์ชายไท่หยางมีคนที่จะแต่งงานด้วย นางจะมิเข้าใกล้หรือวุ่นวายเลย“อย่าคิดมากหลินเอ๋อร์” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะ “เจ้าออกตัวเช่นนี้เรื่องจริงรึ นี่แม่น้อยใจนัก มิรู้ว่าเจ้ากับองค์ชายสนิทสนมกันเมื่อใด”“ท่านแม่ อย่าพูดเรื่องนี้เลย ข้าก็เพิ
เคอหลิ่งหลิยคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ท่าทางไม่ถือพระองค์ขององค์หญิงทั้งสองทำให้นางเบาใจอยู่บ้าง“เรื่องในกองทัพไม่มีอะไรสนุกสนานหรอกเพคะ” จะเล่าอะไรดี แค่หลับตาและนึกถึง นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอากาศแล้ว“แต่ถ้าท่านหญิงติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบจริง ก็แสดงว่าต้องมีวรยุทธแน่ๆ เช่นนั้นแล้วจะแสดงให้พวกเราชมสักหน่อยจะเป็นไรไป”หากรอยยิ้มเจี้ยนเหิงเยว่เป็นดังคมมีด คงบาดผิดจนนับไม่ถ้วน นางหวังเพียงจะได้สอบถามเรื่องผู้ที่นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้องค์ชายไท่หยาง แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเห็นที่จะยาก นางคงต้องยอมถอยให้หลายก้าวแล้วครานี้“นั้นซิๆ” องค์หญิงซิ่นฮวาองค์หญิงฟู่เหมยทรงเอ่ยแทบพร้อมกัน รบเร้าเหมือนเด็กเล็กอยากเล่นสนุก หากเป็นสถานการณ์ปกติเคอ-หลิ่งหลินคงชื่นชอบองค์หญิงทั้งสองมิน้อย แต่เวลานี้นางมิอาจทำอะไรได้ เพราะถูกทำลายกำลังภายใน ซ้ำภายในยังบอบช้ำ ร่างกายก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หากร่ายรำกระบี่ยามนี้เห็นที่จะได้กระอักเลือดออกมาอีกเป็นแน่“ต้องขออภัยองค์หญิงทั้งสอง เวลานี้ไม่สะดวกที่จะรำกระบี่ให้ชมได้” เคอหลิ่งหลินเอ่ยเสียงเบาและยิ้มน้อยๆ“ถ้าเช่นนั้นท่านหญิงทำอะไรได้บ้างเล่า” เจี้ยนเหิ
หญิงสาวอ่านท่าทางของหญิงรับใช้แล้วก็ตั้งสติ จะเป็นอะไรไป นางคงไม่อยู่ที่นี่ทั้งชีวิตหรอกใบหน้าหวานค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก จะว่าไปนางก็เลียนแบบการยิ้มของเจี้ยนเหิงเยว่ สตรีในวังหลวงนี่ลำบากนัก จะยิ้มให้เต็มปากก็มิได้ ต้องค่อยๆ ยิ้มที่ละนิด หรือไม่ก็ต้องถือพัดกลมไว้ปิดใบหน้า“พวกเราแค่ขอให้แม่นางหลิ่งหลินร่ายรำกระบี่ให้ชมแค่นั้นเองนะเพคะพี่ชายใหญ่” องค์หญิงฟู่เหมยพูดเสียงอ่อน“เห็นทีจะมิได้เพคะองค์หญิงทั้งสอง” ฮูหยินอี้ซิ่วเห็นลูกสาวเอาแต่นิ่งเงียบไป “ตอนนี้สภาพร่างกายไม่สู้แข็งแรงนัก หลายเดือนก่อนนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ็บหนักปางตาย หม่อมฉันเที่ยวไหว้พระแทบทุกวัดเพื่อขอพรให้นางตื่นฟื้น”“ท่านแม่!” เคอหลิ่งหลินรีบเรียกไว้ แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะนางรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่จ้องมองมาทางนาง หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น“บาดเจ็บสาหัส?” องค์ชายไท่หยางทวนสิ่งที่ตนได้ยิน“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ” นางรีบชิงออกตัว ไม่ต้องการให้เขารู้ว่านางบาดเจ็บเพราะเขา แต่ก็มิอาจเป็นคนช่วยเขาได้“นางเป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อช่วยผู้อื่น ตนเองต้องบาดเจ็บปางตายอย่างไรไม่สนใจ อยู่ในสนามรบก็เช่นกัน นางกิ
“เจ้ายังมิได้หลับเลยหรือ”“ได้หลับเพคะ”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเอาเวลาที่ไหนมาเขียนแผนที่ให้ข้า?”“ก็...” เพราะปลายนิ้วที่เชยคางนางอยู่ทำให้นางไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ ยิ่งทำให้สมองของนางสับสนวุ่นวนนัก“หลินเอ๋อร์”“เพราะท่านทำให้หม่อมฉันนอนไม่หลับ จนต้องลุกมานั่งเขียนแผนที่ให้” องค์ชายไท่หยางเผยรอยยิ้มออกมา นางพูดเร็วรัวเสียจนเหมือนคนหอบหายใจ เขากลับยินดีที่เป็นต้นเหตุในนางนอนไม่หลับ แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจคือ...“เมื่อครู่ข้าคุยกับฮูหยินแล้ว” น้ำเสียงเจือความเคร่งเครียดจนยากเกิดคาดเดา “ไยเจ้าบาดเจ็บช่วงเวลาเดียวกับข้า”นางอึกอักไม่กล้าเอ่ยความจริง ที่ผ่านมานางช่วยคุณชายเฉินด้วยความเต็มใจ มิคิดได้สิ่งใดตอบแทน แม้นางจะแอบชอบเขาอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ต้องการให้การที่นางบาดเจ็บมาเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างให้รู้สึกติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณกัน แม้ร่างสูงจะยืนนิ่งแต่เคอหลิ่งหลินกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังรุกคืบคลานเข้ามาใกล้จนต้องถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว“หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงที่เรียกนั้นอ่อนลง จับข้อมือเล็กนั้นไว้ก่อนที่นางจะหลบหนี“หม่อนฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเพคะ”“เจ้าไม่สบ
“เราเป็นหญิงเหมือนกัน เรื่องแค่นี้ไยจะไม่เข้าใจ ถ้าเจ้าได้แต่งตัวงดงามจับตาเช่นนี้ มีหรือชายใดจะกล้าเมินเฉย” “คุณหนูคิดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” นางเป็นบ่าว มิกล้าคิดไปไกล แต่เพราะคุณหนูของนางจริงใจกับนางเสมอ นางจึงโอนอ่อนไปกับคำพูดหว่านล้อมของคุณหนู “ก็จริงซิ ถ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดเจ้าก็ลองใส่ชุดนี้ดูก่อนได้ รูปร่างเจ้ากับข้าพอๆ กัน เจ้าใส่ได้อยู่แล้ว ลองใส่ดูเถิดจะได้รู้ว่าตัวเองงดงามแค่ไหน” “แต่ว่านี่ของคุณหนู บ่าวมิกล้า” “ใส่อยู่ในห้องนี้จะเป็นไรไป” นางคะยันคะยอแล้วชุนเอ๋อร์ก็ใจอ่อน เพราะนางเองก็อยากลองใส่เสื้อผ้างดงามเช่นนี้ดูบ้าง “ถ้าเช่นนั้น บ่าวเปลี่ยนในห้องนี้เลยนะเจ้าคะ” “ฮืม ในห้องนี้แหละ จะได้ถอดคืนให้ข้าไง” “เจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์เดินไปตรงฉากกั้น ถอดเสื้อผ้าที่ตนสวมอยู่พาดที่ฉากแล้วสวมอาภรณ์งดงามที่ตนเองใฝ่ฝันจะได้ใส่สักคราในชีวิต เนื้อผ้านุ่มเบาต่างจากผ้าเนื้อหยาบที่นางเคยสวม แม้อยู่จวนแม่ทัพจ้าวจะมิได้อดอยากอะไร แต่นางก็อยู่อย่างเจียมตัวว่าตนเป็นเพียงบ่าว มือเรียวทาบบนเนื