“ถ้าท่านว่าไม่เป็นไร ข้าไปเช่นนี้ก็ได้” นางเอ่ยเสียงอ่อนลงเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม แต่มือใหญ่ยืนมาตรงหน้า นางผงะไปเล็กน้อย นิ้วโป้งกระด้างปัดคราบน้ำตาของนางไปมา ไม่มีคำว่าทะนุถนอมเลยสักนิด แต่...แต่...อบอุ่นในใจนัก“ไปเถอะ ข้ามิอยากให้ผู้ใดเข้าใจผิดว่าข้ารังแกเจ้า”“เจ้าค่ะ”ชุนเอ๋อร์ยอมเดินตามองค์รักษ์ร่างใหญ่อย่างว่าง่ายมาถึงตำหนักขององค์ชายไท่หยาง องค์ชายไท่หยางออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงรับใช้ประจำตัวเคอหลิ่งหลินก้าวเข้ามาแทนที่จะเป็นคนที่เขาต้องการพบตัวมากที่สุด ซ้ำนางยังแต่งกายด้วยชุดของผู้เป็นนายเสียด้วย“ถวายบังคมเพคะองค์ชายไท่หยาง” ชุ่นเอ๋อร์ยอบกายลง“เกิดสิ่งใดขึ้นรึ” ดวงตาคมหรี่มองและสอบถามทันที “หลิ่งหลินล่ะ?”“คุณหนู...คุณหนูออกไปข้างนอกเพคะ บ่าวมิทราบว่าคุณหนูไปที่ใด” นางทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ขึ้นมาอีก“น่าจะออกไปนอกวังพ่ะย่ะค่ะ เพราะนางเปลี่ยนเสื้อผ้าของสาวใช้ออกไป” ต้าซื่อประเมินจากเหตุการณ์ทั้งหมด องค์ชายไท่หยางพยักหน้ารับ“หลิ่งหลินมีวรยุทธติดตัว คงไม่มีใครทำอันตรายนางได้” องค์ชายไท่หยางปลอบหญิงรับใช้ของชุนเอ๋อร์ที่แม้จะกลั้นน้ำตาแต่ก็ยังสะอึกสะอื้นอยู่“ตอนนี้มิเป็นเช
น้ำเสียงเคร่งเครียดขององค์ชายไท่หยางผู้ซึ่งมักมีใบหน้าอ่อนโยนและรอยยิ้มอยู่เสมอนั้นทำให้ทั้งพระสนมอวี้เหมยและเจี้ยนเหิงเยว่แอบหันมาสบตากันเล็กน้อย เจี้ยนเหิงเยว่รู้สึกหวาดกลัวเย็บเยียบขึ้นมาทันทีแม้จะเผลอทิ่มเข็มตำปลายนิ้วตนเองก็ยังมิรู้สึกเจ็บ “ถ้าองค์ชายไม่เห็นหม่อมฉันเป็นคนนอก ก็ทรงสนทนากับนางที่นี่เถิดเพคะ” พระสนมปกป้องเหิ่งเยว่ แม้มิรู้ว่าเรื่องอะไร แต่หากคุยกันตามลำพังแล้ว นางอาจช่วยอะไรเหิงเยว่มิได้ “ถ้าพระสนมต้องการ ก็ขอพูดเสียตรงนี้” องค์ชายไท่หยางเพียงหรี่ตามองเจี้ยนเหิงเยว่ หลายปีมานี้นางเพียรเอาอกเอาใจเขาสารพัด ยาดีที่ไหนนางก็สรรหามาให้เขา แม้นางจะมีความดี แต่ครั้งนี้ ถ้านางไม่เอ่ยปากพูดความจริงกับเขาในวันนี้เห็นท่าว่าความดีทั้งหลายทั้งมวลจะจบสิ้นไปด้วย “เหิงเยว่ เมื่อครั้งที่ข้าได้รับพิษแทนองค์รัชทายาทจนดวงตาเกือบบอดและสิ้นใจนั้น ข้าได้ไปพำนักบ้านตระกูลเหวิน คราวนั้นเจ้าเป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษช่วยชีวิตข้าจริงหรือ?” คำถามนั้นคล้ายสายฟ้าฟาดกลางเปลวแดด ใบหน้าหวานถึงกับซีดเผือด พระสนมได้ยินก็ตกใจนักหันไ
หัวใจที่ร้อนรุ่มทำให้องค์ชายไท่หยางรีบกลับมาที่ตำหนัก องครักษ์ประจำกายเพิ่งสั่งให้คนออกติดตามเคอหลิ่งหลิน ต้าซื่อรีบรายงานทันที “กระหม่อมให้คนออกติดตามแล้ว แต่เราไม่รู้ที่อยู่แน่ชัดอาจต้องใช้เวลา...” “ข้ารู้ว่านางอยู่ที่ใด” “องค์ชายทราบ? ถ้าเช่นนั้นรีบบอกกระหม่อมมาเถิด กระหม่อมจะไปรับท่านหญิงกลับมาเอง” “เจ้าไปบอกกับคนสนิทของเคอหลิ่งหลินให้ปิดเรื่องนี้ให้สนิท และให้นางรายงานฮูหยินอี้ซิ่วว่าหลิ่งหลินอยู่ช่วยงานข้า” “แต่ว่า...” “เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่ง เพราะข้าจะเป็นคนไปรับหลิ่งหลินด้วยตัวเอง เพราะมีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าหัตถ์เทวะอยู่ที่ใด” เคอหลิ่งหลินรวมกลุ่มกับเหล่านางกำนัลที่จะออกมานอกวัง เมื่อพ้นประตูวังนางก็มองเห็นความคึกคักของเมืองหลวง แม้จะรู้ดีว่าตนเองมีคนที่ต้องไปพบ แต่พอได้เห็นสีสันแห่งเมืองหลวงก็อดตื่นเต้นเป็นเด็กๆ มิได้ ทั้งที่เคยมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกไปนัก หรือเพราะครั้งก่อนๆ นางคอยระแวงระวังภัยคุ้มกันฮูหยินอี้ซิ่วกับจ้าวจิ่นสือ เมื่อมาถึงนางก็มิได้เข้าวังหลวง พักในโรงเตี้
ภายในอับทึมนัก ไม่ใช่สถานที่เหมาะกับคนป่วยและเด็ก เคอหลิ่งหลินกวาดสายตาไปถ้วนทั่ว นางมีที่ต้องไป มีคนที่ต้องพบ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ นางคงไปจากที่นี่ในเวลานี้ไม่ได้แน่นอน. เคอหลิ่งหลินเม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง เวลานี้หากมีมู่ฟางเหนียงอยู่ด้วย นางคงช่วยดูแลคนเหล่านี้ได้ หัวใจของนางเหมือนถูกบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นทาบอกปลายนิ้วมืออีกข้างสัมผัสกำไลหยกที่สวมอยู่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อวานนางลืมถอดกำไลออก สายตาหญิงสาวมองกำไลอย่างครุ่นคิดแล้วตัดสินใจแน่วแน่ ถอดมันออกแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อมันไว้ก่อนจะหมุนตัวไปหาเด็กชายตัวผอมกะหร่องคนนั้น นางยิ้มกว้างแล้วทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า “เจ้าชื่ออะไร” เคอหลิ่งหลินมองเด็กชายตรงหน้า แววตาของเขามีความระแวงระวัง “อาปู้” เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เอ่ยตอบแทน คำพูด ของเด็กหญิงทำให้คนเป็นพี่ใหญ่ถลึงตาใส่ “อาเหลียน! เจ้าบอกชื่อข้าไปทำไม” “ก็...ก็พี่สาวถามนี่” เด็กหญิงเบ้ปากทำท่าจะร้องไห้ “เอาล่ะๆ” เคอหลิ่งหลินเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าก็อย่าดุน้องนักซิ” เสียงไอแค่กๆ จาก
“ข้าน้อยขอตัวก่อน ข้าน้อยมีธุระเจ้าคะ” เคอหลิ่งหลินไม่อยากเสียเวลา นางมีธุระต้องรีบสะสางมิเช่นนั้นจะกลับไม่ทันประตูวังหลวงปิด นางรีบเดินเข้าไปในโรงรับจำนำ แต่ต้องชะงักเมื่อเหวินเฮ่าหลันก้าวมาขวางไว้“เจ้าจะทำอะไร”“อยู่หน้าสถานที่แบบนี้ ข้าคงมาสั่งบะหมี่กินหรอกนะ!” นางเริ่มหัวเสีย คิ้วเรียวขมวดยุ่ง ไยเขาทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ที่หาทางเอาชนะให้ได้“ข้าย่อมรู้ แต่กำไลหยกในมือนั้นเจ้ามิได้ขโมยผู้ใดมารึ หรือเจ้าอดอยากถึงกับต้องเอาของมาขายเช่นนี้” เคอหลิ่งหลินสูดลมหายใจลึก สู้รบกับคนรับร้อยไม่รู้สึกน่าปวดหัวเท่ากับสนทนากับคุณชายเจ้าสำอางผู้นี้ เอาเถอะ ถ้าเขาเข้าใจว่านางเป็นคนเลี้ยงม้าหรือหญิงรับใช้ก็ตามใจ แต่นางต้องรีบจัดการธุระนี้ให้เสร็จโดยเร็ว“มิได้เจ้าค่ะ นี่ของคุณหนูของข้าให้นำมาแลกเป็นเงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน” นางฉีกยิ้มแล้วเบี่ยงตัวเดินหลบคนที่ยืนขวางอยู่รีบเอากำไรหยกไปให้เถ้าแก่ตีราคาเหวินเฮ่าหลัน ถึงกับทำหน้ามิถูกสตรีนางใดมักอ่อนระทวยเมื่อเขาสบตาด้วย แต่นางกลับเมินเฉยซ้ำยังทำราวกับไม่เห็นเขาในสายตา แรกทีเดียวเขานึกว่านางตกใจจนก้าวขามิออก จึงได้ช่วยนางไว้ แต่พอเห็นห
เหวินเฮ่าหลันใช้พัดปิดครึ่งใบหน้า ยามพูดจาอ่อนหวานน้ำเสียงก็น่าฟังมิน้อย เมื่อครู่เขาเห็นการเคลื่อนไหวของนาง แม้จะพลิ้วไหวดุจผีเสื้อเริงระบำแต่คล้ายติดขัดจนน่าขัดใจ ทำให้เขาจำใจต้องยื่นมือเข้าช่วย“ข้าน้อยจะไปส่งอาปู้ก่อน ท่านมีอะไรไปทำก็ไปทำ เถิดเจ้าค่ะ”ห๋า! อะไรนะ! นี่นางกล้าขับไล่เขารึ ใช้งานเสร็จก็ถีบหัวเรือเช่นเขาทิ้งเลยกระนั้นรึ!“ข้าไปด้วย เผื่อเจ้าพวกนั้นมันหวนกลับมา พวกเจ้าจะลำบาก”เคอหลิ่งหลินเพียงแค่ไหวไหล่เล็กน้อย คนผู้นี้บุคลิกชวนให้ปวดขมับ ดูเป็นคุณชายเจ้าสำอางแต่นิสัยอยากเอาชนะเหมือนเด็ก ซ้ำยังมีวรยุทธสูง นางไม่ได้สนใจว่าเขาเดินตามหลังนางมา ได้แต่จูงมือเด็กชายที่สะบักสะบอมเพราะถูกซ้อมกลับมาศาลเจ้าร้างอีกครั้งเหวินเฮ่าหลันเห็นประกายตาอ่อนโยนในดวงตาของหญิงสาว กวาดตามองรอบข้างแล้วประหลาดใจนัก นี่นางขายกำไลหยกเพื่อนำเงินมาให้คนป่วยเหล่านี้รึ“ท่านมองพอหรือยัง” เคอหลิ่งหลินถามราวกับไม่ต้องการคำตอบ“คนพวกนี้เป็นอะไรกับเจ้า”“มิได้เป็นอะไรกัน ข้าน้อยแค่บังเอิญได้พบก็เท่านั้น” นางตอบตามตรง“ไม่ได้เป็นอะไร แต่ยอมขายกำไลหยกมาช่วยคนที่มิรู้จักงั้นรึ” น้ำเสียงทั้งฉงนและปนชื่นช
นางเดินไปที่ระเบียงชะโงกหน้ามองไปด้านข้างมีการเคลื่อนไหวในห้องติดกัน แต่ราวกับสัมผัสได้ถึงกระแสลมพัดผ่านวูบหนึ่ง หญิงสาวเปลี่ยนความสนใจหมุนตัวกลับเดินเข้ามาในห้อง บุรุษในชุดดำนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปกปิดด้วยหน้ากากอสูร มือทั้งสองสวมถุงมือหนังสีดำ มือนั้นกำลังรินน้ำชาขึ้นจิบ “เป็นผู้ใดที่ต้องการพบข้างั้นเรอะ” “ท่านคือหัตถ์เทวะ?” ถามอย่างไม่มั่นใจแล้วเดินตรงเข้าไปใกล้ ดวงตากลมโตกวาดตามองไปทั่วร่างของบุรุษชุดดำอย่างไม่เกรงมารยาท “เฮ้อ!” เคอหลิ่งหลินสายหน้าไปมาด้วยท่าทางผิดหวัง และกิริยาของนางยั่วยุอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว “แม่นาง! ไยเจ้ามาถอนหายใจใส่ข้าเช่นนี้!” เคอหลิ่งหลินอยากถอนหายใจใส่อีกครั้งแต่ก็ทำได้เพียงแค่สูดลมหายใจลึกๆ พลันหูของนางได้ยินเสียงสนทนาทะลุผ่านผนังห้อง นางกลับเดินไปเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ “เจ้า! เจ้า!” บุรุษชุดดำทะลึ่งกายลุกพรวดขึ้น ไม่เคยมีใครทำท่าทีเมินเฉยใส่เขาเช่นนี้ ทุกคนล้วนกลัวจนตัวสั่นมิกล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาด้วย “ชู่ว์”เคอหลิ่ง
ด้วยความอยากเห็นใบหน้าผู้ที่เอ่ยชื่อมารดาของนาง เคอหลิ่งหลินย่อตัวลงแล้วคลานสี่ขาเข้าไปให้ไกลที่สุด เหวินเฮ่าหลันเห็นก็ตกใจ ไม่คิดว่านอกจากนางจะมีจมูกหมาป่าแล้วยังคลานสี่ขาได้ว่องไวราวหมาป่าอีกด้วย ทว่าแม้นางจะว่องไวเพียงใด ประสาทสัมผัสของผู้ฝึกยุทธมักรวดเร็วเสมอ “นั้นใคร!” “แย่แล้ว!” หญิงสาวตกใจที่ถูกจับได้ นางกำลังคลานหนีแต่เท้าหนักๆ เหยียบชายกระโปรงของนางไว้ นางถึงกับเสียหลักถลาหน้าทิ่มไปกับพื้น ดีที่พื้นห้องปูพรมงดงามหน้านางจึงไม่เจ็บนัก “ไม่ยักรู้ว่าหอคณิกาอันดับหนึ่งจะปล่อยให้มีสุนัขเข้ามาเพ่นพ่านรบกวนแขกเช่นนี้” เสียงหัวเราะขบขันดังเหนือศีรษะของนาง หญิงสาวข่มโทสะ นึกชังตัวเองที่ใจร้อนเกินไป นี่ถ้าท่านแม่ทัพจ้าวรู้ว่านางสะเพร่ากับเรื่องง่ายๆเพียงนี้คงถูกโทษโบยไปแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนั้น มือเรียวดึงชายกระโปรงให้หลุดจากเท้าใหญ่ของเขา แต่อีกฝ่ายไม่ขยับนางจึงแหงนหน้าถลึงตาใส่ เป็นจังหวะเดียวที่เจ้าของเท้าก้มมองหญิงสาว “ไป๋ลู่?” เคอหลิ่งหลินชะงักมือแล้วจ้องมองอีกฝ่าย ชายร่างใหญ่ใบ
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา