นางเดินไปที่ระเบียงชะโงกหน้ามองไปด้านข้างมีการเคลื่อนไหวในห้องติดกัน แต่ราวกับสัมผัสได้ถึงกระแสลมพัดผ่านวูบหนึ่ง หญิงสาวเปลี่ยนความสนใจหมุนตัวกลับเดินเข้ามาในห้อง บุรุษในชุดดำนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปกปิดด้วยหน้ากากอสูร มือทั้งสองสวมถุงมือหนังสีดำ มือนั้นกำลังรินน้ำชาขึ้นจิบ “เป็นผู้ใดที่ต้องการพบข้างั้นเรอะ” “ท่านคือหัตถ์เทวะ?” ถามอย่างไม่มั่นใจแล้วเดินตรงเข้าไปใกล้ ดวงตากลมโตกวาดตามองไปทั่วร่างของบุรุษชุดดำอย่างไม่เกรงมารยาท “เฮ้อ!” เคอหลิ่งหลินสายหน้าไปมาด้วยท่าทางผิดหวัง และกิริยาของนางยั่วยุอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว “แม่นาง! ไยเจ้ามาถอนหายใจใส่ข้าเช่นนี้!” เคอหลิ่งหลินอยากถอนหายใจใส่อีกครั้งแต่ก็ทำได้เพียงแค่สูดลมหายใจลึกๆ พลันหูของนางได้ยินเสียงสนทนาทะลุผ่านผนังห้อง นางกลับเดินไปเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ “เจ้า! เจ้า!” บุรุษชุดดำทะลึ่งกายลุกพรวดขึ้น ไม่เคยมีใครทำท่าทีเมินเฉยใส่เขาเช่นนี้ ทุกคนล้วนกลัวจนตัวสั่นมิกล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาด้วย “ชู่ว์”เคอหลิ่ง
ด้วยความอยากเห็นใบหน้าผู้ที่เอ่ยชื่อมารดาของนาง เคอหลิ่งหลินย่อตัวลงแล้วคลานสี่ขาเข้าไปให้ไกลที่สุด เหวินเฮ่าหลันเห็นก็ตกใจ ไม่คิดว่านอกจากนางจะมีจมูกหมาป่าแล้วยังคลานสี่ขาได้ว่องไวราวหมาป่าอีกด้วย ทว่าแม้นางจะว่องไวเพียงใด ประสาทสัมผัสของผู้ฝึกยุทธมักรวดเร็วเสมอ “นั้นใคร!” “แย่แล้ว!” หญิงสาวตกใจที่ถูกจับได้ นางกำลังคลานหนีแต่เท้าหนักๆ เหยียบชายกระโปรงของนางไว้ นางถึงกับเสียหลักถลาหน้าทิ่มไปกับพื้น ดีที่พื้นห้องปูพรมงดงามหน้านางจึงไม่เจ็บนัก “ไม่ยักรู้ว่าหอคณิกาอันดับหนึ่งจะปล่อยให้มีสุนัขเข้ามาเพ่นพ่านรบกวนแขกเช่นนี้” เสียงหัวเราะขบขันดังเหนือศีรษะของนาง หญิงสาวข่มโทสะ นึกชังตัวเองที่ใจร้อนเกินไป นี่ถ้าท่านแม่ทัพจ้าวรู้ว่านางสะเพร่ากับเรื่องง่ายๆเพียงนี้คงถูกโทษโบยไปแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนั้น มือเรียวดึงชายกระโปรงให้หลุดจากเท้าใหญ่ของเขา แต่อีกฝ่ายไม่ขยับนางจึงแหงนหน้าถลึงตาใส่ เป็นจังหวะเดียวที่เจ้าของเท้าก้มมองหญิงสาว “ไป๋ลู่?” เคอหลิ่งหลินชะงักมือแล้วจ้องมองอีกฝ่าย ชายร่างใหญ่ใ
“เจ้ามัวหลบอยู่ที่ใด!” “ข้ามิได้หลบ” อีกฝ่ายตอบน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเพียงแต่ให้ผู้อื่นรู้มิได้ว่ามีหัตถ์เทวะสองคน!” ชายหนุ่มเหมือนเพิ่งได้สติ เขาหยุดยืนแล้วเพ่งมองเบื้องหน้าราวกับประเมินสถานการณ์ “ข้ามิรู้เรื่องของพวกท่านหรอกนะ หากเขาคือโม่ชิงถงจริงข้าคิดว่าข้ารู้ที่ที่ชายผู้นั้นไป ปกติท่านใจเย็นกว่านี้มิใช่หรือคุณชายเฉิน เอ๊ะ!...หรือจะให้เรียกองค์ชายไท่หยางดี” บุรุษหนุ่มสงบสติอารมณ์แต่หัวใจยังรุ่มร้อน นางอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับหลุดมือไปได้ ซ้ำนางยังได้รับบาดเจ็บอีก มือใหญ่ปลดหน้ากากอสูรออกแล้วถอนหายใจหนักๆ หันไปมองเหวินเฮ่าหลันที่ปลดหน้ากากอสูรออกแล้วเช่นกัน ไ มิมีผู้ใดรู้ว่า แท้จริงแล้ว ‘หัตถ์เทวะ’ ที่ถูกกล่าวขานถึงความน่ากลัวและอันตรายนั้น หนึ่งคือคุณชายเจ้าสำอางและอีกหนึ่งคือโอรสขององค์ฮ่องเต้!. เปลือกตาหนังอึ้ง แม้พยายามฝืนเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปิดเปลือกตาขึ้นได้ เคอหลิ่งหลินรู้เพียงแค่ว่าตนเองถูกแบกมาไม่นานนักก่อนที่จะถูกวางบนพรมขนสัตว์น้ำเสียงสั่งเฉียบขาดและกลิ่นหอมฉุนของสตรีพร้อมมือหล
“ของเล่นแค่นี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก ไป๋ลู่”กลิ่นเหม็นไหม้ลอยคลุ้งในอากาศทำให้โม่ชิงถงชะงักมือไป เขาเงยหน้าขึ้นพลันได้ยินเสียงระเบิดอยู่ด้านนอก จำใจต้องผละคนในวงแขนทิ้งลงกับพื้นแล้วก้าวยาวๆ ไปทางประตู เคอ-หลิ่งหลินรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีวิ่งไปที่ระเบียง ด้านนอกมืดสนิท ลมกลางคืนโหมพัดรุนแรงและพื้นที่เหยียบยืนก็โคลงไหว นางก้มหน้ามองจึงรู้ว่าตนเองอยู่ในเรือ! และเบื้องหน้าคือแผ่นน้ำ!“ไฟไหม้!”เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่หัวเรือ นางมองผืนน้ำเบื้องหน้าแล้วหันไปมองทางโม่ชิงถงที่เพิ่งรู้ตัวว่านางวิ่งหนีมาทางระเบียงแล้ว เคอหลิ่งหลินเห็นเขาคว้าแส้สีดำทมิฬไว้ในมือ นางจึงหมุนตัวแล้วปีนราวระเบียงกระโดดลงน้ำไปทันที ปลายแส้ตวัดถูกผิวผ้าที่แผ่นหลังแหวกขาดเปิดเปลือยผิวกายก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงน้ำไป“ไป๋ลู่! อย่าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นนะ! ยังไงเจ้าก็เป็นของข้า ต้องเป็นของข้าเท่านั้น!”เคอหลิ่งหลินกลั้นหายใจ ปล่อยร่างตัวเองจมดิ่งในกระแสน้ำเย็นจัด ความเย็นเยียบห่อหุ้มร่างกายในชุดผ้าแพรสีแดงสด ขอเพียงกลั้นหายใจในน้ำได้นาน นางจะพ้นสายตาของมันผู้นั้น ทว่าเมื่อความเย็นเข้ามาโอบล้อมความเจ็บปวดนั้นก็บังเกิดขึ้นดุจเ
“หลินเอ๋อร์”เขากระซิบเรียกแตะตัวนางเบาๆ ไอเย็นจากผิวกายของนางทำให้เขาหงุดหงิด และแม้จะอยู่ในความืด เมื่อสายตาปรับให้คุ้นชินแล้ว เขามองเห็นแผ่นหลังของนางปรากฏรอยสักรูปดอกไม้สีแดง สีแดงนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายของนางที่เย็นจัดดุจแผ่นน้ำแข็งทั้งเจ็บทั้งหนาว ทรมานนัก!เคอหลิ่งหลินมิอาจห้ามตนเองมิให้ดิ้นทุรนทุรายได้ มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่นางบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในเวลานี้เพียงการปรากฏของดอกไม้แดง ต้องแลกกับความเจ็บปวดเพียงนี้เลยหรือ?รอยอุ่นทาบทับที่รอยดอกไม้บนกลางหลัง ราวกับขับไล่ไอเย็นออกจากเรือนร่าง หญิงสาวผวาเอี้ยวตัวมองแต่ไม่ถนัด ทว่ากลับรู้ดีว่าเขาทาบริมฝีปากอุ่นกับรอยสักรูปดอกไม้แดง“ท่าน...หยุด..หยุดนะ”นางห้ามเขาเสียงแผ่ว รู้ว่าควรห้าม แต่ลึกๆ แล้วกลับพอใจที่ไออุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ก็เขินอายจนแนบตัวไปกับที่นอนราวกับจะฝั่งตัวเองลงไปเพื่อหลบสัมผัสของเขา“ตัวเจ้าเย็นเหลือเกิน” เสียงแหบพร่าเป่ารดผิวกายเนียนละเอียด ชุดของนางเปียกชื้น ซ้ำด้านหลังยังถูกแส้ตวัดขาดเป็นริ้วแทบกลายเป็นเศษผ้า ทำให้เขาแหวกผ้านั้นออกอย่างเบามือ ทาบริมฝีปากพรมจูบทั่วแผ่นหลัง เสียงคร
เหวินเฮ่าหลัน! หญิงสาวได้แต่คาดโทษเขาในใจ ไยกล้าพูดเรื่องน่าอับอายได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ นางกัดผ้าห่มกลั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงประท้วงออกไป “ข้าได้ยินจ้าวจิ่นสือพูดถึงหญิงสาวร่วมรบเคียงข้างบิดาของเขา ข้าก็หลงจินตนาการว่านางผู้นั้นต้องเก่งกล้าสามารถหาที่เปรียบมิได้ เหอะ! ใครจะคิดว่าแท้จริงแล้วเป็นหญิงโง่ที่รนหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนเช่นนี้” เหวินเฮ่าหลันหวังจะได้ยินเสียงโต้เถียงแบบคนปากเก่ง แต่อีกฝ่ายก็เงียบงัน เห็นเพียงก้อนผ้ากลมๆ ขยุกขยิกไปมาหรือนางอับอายจนคิดจะฆ่าตัวตายในก้อนผ้าห่มนั้น “เฮ่าหลัน มิใช่ตอนนี้” ไท่หยางปรามเบาๆ อย่างเข้าใจนิสัยกวนโทสะของสหายคนนี้ดี “เอาเถอะๆ ข้าจะขึ้นฝั่งไปรอที่เรือนก่อน”เหวินเฮ่าหลันพูดน้ำเสียงเบื่อหน่ายที่ไร้คู่ต่อปากต่อคำ เขาหมุนตัวกำลังเดินออกไป เคอหลิ่งหลินกำลังจะถอนหายใจที่เขาไปเสียได้ แต่เท้านั้นก็ชะงักพร้อมกับเอ่ยขึ้น “อ้อ! ข้าขอเตือนพวกท่าน เรือลำนี้มันเล็ก จะทำอะไรก็อย่าได้รุนแรงนัก ระวังๆ อย่าให้เรือของข้าคว่ำเสียล่ะ” พูดจบเหวินเฮ่าหลันสำแดงวิชาตัวเบาที่มองผิว
“แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” นางนั่งตัวแข็งไม่กล้าขยับตัว กลัวพายุอารมณ์ที่พัดผ่านไปแล้วจะโหมกลับมาใหม่อีกครั้ง “แล้วไยเจ้ามิบอกข้า ว่าเจ้าเป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้ข้า” เคอหลิ่งหลินรู้สึกเหมือนคนที่หลังชนกำแพง ไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ ทางเดียวคือการเผชิญหน้านั้นคือการพูดความจริงกับเขา “ข้าได้รับบาดเจ็บ...” “สาหัส” เขาเติมให้ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ใช่...ข้าได้รับบาดเจ็บ หมดสติบนหลังม้า ตื่นฟื้นอีกทีก็อยู่ในจวนแม่ทัพแล้ว รู้เพียงท่านปลอดภัยดีเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว ข้าเองก็จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไข่มุกหมื่นราตรีที่นำมาอยู่ที่ใด หรือหล่นหายไปทางไหน พอมาเจอท่านในวังหลวงก็ได้ยินว่าเจี้ยนเหิงเยว่เป็นคนนำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้ท่าน ข้าแค่อยากเจอผู้ที่มอบไข่มุกหมื่นราตรีให้นาง เพื่อจะสอบถามอะไรบ้างอย่างก็เท่านั้น แต่ก็มาเจอเรื่องวุ่นวายเสียก่อน” พูดถึงตรงนี้เคอหลิ่งหลินก็สะดุ้งโหย่งอย่างเพิ่งนึกได้ “โอ๊ยแย่แล้ว ข้าหายออกมาวันกับคืนแบบนี้ ท่านแม่กับชุนเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงแน่ๆ”
นางอดบ่นพึมพำไม่ได้ แต่ก็ยอมให้มือใหญ่ประคองนางค่อยๆ เดินออกมาจากด้านนอก เรือโคลงไหวเล็กน้อย แล้วร่างของนางก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยความที่ปิดตานางยกมือขึ้นคล้องคอเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าแนบที่แผงอก และเพราะมองไม่เห็นจึงไม่รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มพึ่งใจที่มุมปากแม้เขาจะผิวขาวไปสักหน่อย ทว่าทุกจังหวะการก้าวเดินกลับหนักแน่นและมั่งคงราวกับนางตัวเบานัก จากเรือขึ้นบันไดไม่กี่ก้าวนางรู้สึกได้ว่าเข้ามาสู่ห้องที่ค่อนข้างเย็น และหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ จนเมื่อเขาปล่อยให้นางนั่งที่เก้าอี้แล้ว ผ้าที่ปิดตาอยู่ถูกปลดออก นางมองเห็นเหวินเฮ่าหลันยกถ้วยชาขึ้นดื่มอยู่เบื้องหน้า“ข้ามิอาจกล่าวว่ายินดีต้อนรับได้ เพราะข้ามิได้ยินดีแต่เมื่อเจ้ามาถึงรังของข้าแล้ว ก็ต้องขอต้อนรับด้วยความไม่เต็มใจยิ่ง”เคอหลิ่งหลินตัดสินใจสงบปากสงบคำ เหลียวมองรอบห้อง ลักษณะเป็นห้องลับที่ใดสักแห่ง ในห้องนอกจากโต๊ะชุดนี้แล้วก็เห็นเตียงที่อยู่มุมห้องซึ่งดูเหมือนมิได้ถูกใช้งาน ผนังห้องเป็นหินให้ความรู้สึกเย็น มีศาตราวุธแขวนอยู่หลายชิ้น มันมิใช่เพียงแค่เครื่องประดับแต่ทุกชิ้นล้วนถูกผ่านการ