เคอหลิ่งหลิยคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ท่าทางไม่ถือพระองค์ขององค์หญิงทั้งสองทำให้นางเบาใจอยู่บ้าง“เรื่องในกองทัพไม่มีอะไรสนุกสนานหรอกเพคะ” จะเล่าอะไรดี แค่หลับตาและนึกถึง นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอากาศแล้ว“แต่ถ้าท่านหญิงติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบจริง ก็แสดงว่าต้องมีวรยุทธแน่ๆ เช่นนั้นแล้วจะแสดงให้พวกเราชมสักหน่อยจะเป็นไรไป”หากรอยยิ้มเจี้ยนเหิงเยว่เป็นดังคมมีด คงบาดผิดจนนับไม่ถ้วน นางหวังเพียงจะได้สอบถามเรื่องผู้ที่นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้องค์ชายไท่หยาง แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเห็นที่จะยาก นางคงต้องยอมถอยให้หลายก้าวแล้วครานี้“นั้นซิๆ” องค์หญิงซิ่นฮวาองค์หญิงฟู่เหมยทรงเอ่ยแทบพร้อมกัน รบเร้าเหมือนเด็กเล็กอยากเล่นสนุก หากเป็นสถานการณ์ปกติเคอ-หลิ่งหลินคงชื่นชอบองค์หญิงทั้งสองมิน้อย แต่เวลานี้นางมิอาจทำอะไรได้ เพราะถูกทำลายกำลังภายใน ซ้ำภายในยังบอบช้ำ ร่างกายก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หากร่ายรำกระบี่ยามนี้เห็นที่จะได้กระอักเลือดออกมาอีกเป็นแน่“ต้องขออภัยองค์หญิงทั้งสอง เวลานี้ไม่สะดวกที่จะรำกระบี่ให้ชมได้” เคอหลิ่งหลินเอ่ยเสียงเบาและยิ้มน้อยๆ“ถ้าเช่นนั้นท่านหญิงทำอะไรได้บ้างเล่า” เจี้ยนเหิ
หญิงสาวอ่านท่าทางของหญิงรับใช้แล้วก็ตั้งสติ จะเป็นอะไรไป นางคงไม่อยู่ที่นี่ทั้งชีวิตหรอกใบหน้าหวานค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก จะว่าไปนางก็เลียนแบบการยิ้มของเจี้ยนเหิงเยว่ สตรีในวังหลวงนี่ลำบากนัก จะยิ้มให้เต็มปากก็มิได้ ต้องค่อยๆ ยิ้มที่ละนิด หรือไม่ก็ต้องถือพัดกลมไว้ปิดใบหน้า“พวกเราแค่ขอให้แม่นางหลิ่งหลินร่ายรำกระบี่ให้ชมแค่นั้นเองนะเพคะพี่ชายใหญ่” องค์หญิงฟู่เหมยพูดเสียงอ่อน“เห็นทีจะมิได้เพคะองค์หญิงทั้งสอง” ฮูหยินอี้ซิ่วเห็นลูกสาวเอาแต่นิ่งเงียบไป “ตอนนี้สภาพร่างกายไม่สู้แข็งแรงนัก หลายเดือนก่อนนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ็บหนักปางตาย หม่อมฉันเที่ยวไหว้พระแทบทุกวัดเพื่อขอพรให้นางตื่นฟื้น”“ท่านแม่!” เคอหลิ่งหลินรีบเรียกไว้ แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะนางรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่จ้องมองมาทางนาง หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น“บาดเจ็บสาหัส?” องค์ชายไท่หยางทวนสิ่งที่ตนได้ยิน“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ” นางรีบชิงออกตัว ไม่ต้องการให้เขารู้ว่านางบาดเจ็บเพราะเขา แต่ก็มิอาจเป็นคนช่วยเขาได้“นางเป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อช่วยผู้อื่น ตนเองต้องบาดเจ็บปางตายอย่างไรไม่สนใจ อยู่ในสนามรบก็เช่นกัน นางกิ
“เจ้ายังมิได้หลับเลยหรือ”“ได้หลับเพคะ”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเอาเวลาที่ไหนมาเขียนแผนที่ให้ข้า?”“ก็...” เพราะปลายนิ้วที่เชยคางนางอยู่ทำให้นางไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ ยิ่งทำให้สมองของนางสับสนวุ่นวนนัก“หลินเอ๋อร์”“เพราะท่านทำให้หม่อมฉันนอนไม่หลับ จนต้องลุกมานั่งเขียนแผนที่ให้” องค์ชายไท่หยางเผยรอยยิ้มออกมา นางพูดเร็วรัวเสียจนเหมือนคนหอบหายใจ เขากลับยินดีที่เป็นต้นเหตุในนางนอนไม่หลับ แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจคือ...“เมื่อครู่ข้าคุยกับฮูหยินแล้ว” น้ำเสียงเจือความเคร่งเครียดจนยากเกิดคาดเดา “ไยเจ้าบาดเจ็บช่วงเวลาเดียวกับข้า”นางอึกอักไม่กล้าเอ่ยความจริง ที่ผ่านมานางช่วยคุณชายเฉินด้วยความเต็มใจ มิคิดได้สิ่งใดตอบแทน แม้นางจะแอบชอบเขาอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ต้องการให้การที่นางบาดเจ็บมาเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างให้รู้สึกติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณกัน แม้ร่างสูงจะยืนนิ่งแต่เคอหลิ่งหลินกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังรุกคืบคลานเข้ามาใกล้จนต้องถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว“หลินเอ๋อร์” น้ำเสียงที่เรียกนั้นอ่อนลง จับข้อมือเล็กนั้นไว้ก่อนที่นางจะหลบหนี“หม่อนฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเพคะ”“เจ้าไม่สบ
“เราเป็นหญิงเหมือนกัน เรื่องแค่นี้ไยจะไม่เข้าใจ ถ้าเจ้าได้แต่งตัวงดงามจับตาเช่นนี้ มีหรือชายใดจะกล้าเมินเฉย” “คุณหนูคิดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” นางเป็นบ่าว มิกล้าคิดไปไกล แต่เพราะคุณหนูของนางจริงใจกับนางเสมอ นางจึงโอนอ่อนไปกับคำพูดหว่านล้อมของคุณหนู “ก็จริงซิ ถ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดเจ้าก็ลองใส่ชุดนี้ดูก่อนได้ รูปร่างเจ้ากับข้าพอๆ กัน เจ้าใส่ได้อยู่แล้ว ลองใส่ดูเถิดจะได้รู้ว่าตัวเองงดงามแค่ไหน” “แต่ว่านี่ของคุณหนู บ่าวมิกล้า” “ใส่อยู่ในห้องนี้จะเป็นไรไป” นางคะยันคะยอแล้วชุนเอ๋อร์ก็ใจอ่อน เพราะนางเองก็อยากลองใส่เสื้อผ้างดงามเช่นนี้ดูบ้าง “ถ้าเช่นนั้น บ่าวเปลี่ยนในห้องนี้เลยนะเจ้าคะ” “ฮืม ในห้องนี้แหละ จะได้ถอดคืนให้ข้าไง” “เจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์เดินไปตรงฉากกั้น ถอดเสื้อผ้าที่ตนสวมอยู่พาดที่ฉากแล้วสวมอาภรณ์งดงามที่ตนเองใฝ่ฝันจะได้ใส่สักคราในชีวิต เนื้อผ้านุ่มเบาต่างจากผ้าเนื้อหยาบที่นางเคยสวม แม้อยู่จวนแม่ทัพจ้าวจะมิได้อดอยากอะไร แต่นางก็อยู่อย่างเจียมตัวว่าตนเป็นเพียงบ่าว มือเรียวทาบบนเนื
“ถ้าท่านว่าไม่เป็นไร ข้าไปเช่นนี้ก็ได้” นางเอ่ยเสียงอ่อนลงเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม แต่มือใหญ่ยืนมาตรงหน้า นางผงะไปเล็กน้อย นิ้วโป้งกระด้างปัดคราบน้ำตาของนางไปมา ไม่มีคำว่าทะนุถนอมเลยสักนิด แต่...แต่...อบอุ่นในใจนัก“ไปเถอะ ข้ามิอยากให้ผู้ใดเข้าใจผิดว่าข้ารังแกเจ้า”“เจ้าค่ะ”ชุนเอ๋อร์ยอมเดินตามองค์รักษ์ร่างใหญ่อย่างว่าง่ายมาถึงตำหนักขององค์ชายไท่หยาง องค์ชายไท่หยางออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงรับใช้ประจำตัวเคอหลิ่งหลินก้าวเข้ามาแทนที่จะเป็นคนที่เขาต้องการพบตัวมากที่สุด ซ้ำนางยังแต่งกายด้วยชุดของผู้เป็นนายเสียด้วย“ถวายบังคมเพคะองค์ชายไท่หยาง” ชุ่นเอ๋อร์ยอบกายลง“เกิดสิ่งใดขึ้นรึ” ดวงตาคมหรี่มองและสอบถามทันที “หลิ่งหลินล่ะ?”“คุณหนู...คุณหนูออกไปข้างนอกเพคะ บ่าวมิทราบว่าคุณหนูไปที่ใด” นางทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ขึ้นมาอีก“น่าจะออกไปนอกวังพ่ะย่ะค่ะ เพราะนางเปลี่ยนเสื้อผ้าของสาวใช้ออกไป” ต้าซื่อประเมินจากเหตุการณ์ทั้งหมด องค์ชายไท่หยางพยักหน้ารับ“หลิ่งหลินมีวรยุทธติดตัว คงไม่มีใครทำอันตรายนางได้” องค์ชายไท่หยางปลอบหญิงรับใช้ของชุนเอ๋อร์ที่แม้จะกลั้นน้ำตาแต่ก็ยังสะอึกสะอื้นอยู่“ตอนนี้มิเป็นเช
น้ำเสียงเคร่งเครียดขององค์ชายไท่หยางผู้ซึ่งมักมีใบหน้าอ่อนโยนและรอยยิ้มอยู่เสมอนั้นทำให้ทั้งพระสนมอวี้เหมยและเจี้ยนเหิงเยว่แอบหันมาสบตากันเล็กน้อย เจี้ยนเหิงเยว่รู้สึกหวาดกลัวเย็บเยียบขึ้นมาทันทีแม้จะเผลอทิ่มเข็มตำปลายนิ้วตนเองก็ยังมิรู้สึกเจ็บ “ถ้าองค์ชายไม่เห็นหม่อมฉันเป็นคนนอก ก็ทรงสนทนากับนางที่นี่เถิดเพคะ” พระสนมปกป้องเหิ่งเยว่ แม้มิรู้ว่าเรื่องอะไร แต่หากคุยกันตามลำพังแล้ว นางอาจช่วยอะไรเหิงเยว่มิได้ “ถ้าพระสนมต้องการ ก็ขอพูดเสียตรงนี้” องค์ชายไท่หยางเพียงหรี่ตามองเจี้ยนเหิงเยว่ หลายปีมานี้นางเพียรเอาอกเอาใจเขาสารพัด ยาดีที่ไหนนางก็สรรหามาให้เขา แม้นางจะมีความดี แต่ครั้งนี้ ถ้านางไม่เอ่ยปากพูดความจริงกับเขาในวันนี้เห็นท่าว่าความดีทั้งหลายทั้งมวลจะจบสิ้นไปด้วย “เหิงเยว่ เมื่อครั้งที่ข้าได้รับพิษแทนองค์รัชทายาทจนดวงตาเกือบบอดและสิ้นใจนั้น ข้าได้ไปพำนักบ้านตระกูลเหวิน คราวนั้นเจ้าเป็นผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษช่วยชีวิตข้าจริงหรือ?” คำถามนั้นคล้ายสายฟ้าฟาดกลางเปลวแดด ใบหน้าหวานถึงกับซีดเผือด พระสนมได้ยินก็ตกใจนักหันไ
หัวใจที่ร้อนรุ่มทำให้องค์ชายไท่หยางรีบกลับมาที่ตำหนัก องครักษ์ประจำกายเพิ่งสั่งให้คนออกติดตามเคอหลิ่งหลิน ต้าซื่อรีบรายงานทันที “กระหม่อมให้คนออกติดตามแล้ว แต่เราไม่รู้ที่อยู่แน่ชัดอาจต้องใช้เวลา...” “ข้ารู้ว่านางอยู่ที่ใด” “องค์ชายทราบ? ถ้าเช่นนั้นรีบบอกกระหม่อมมาเถิด กระหม่อมจะไปรับท่านหญิงกลับมาเอง” “เจ้าไปบอกกับคนสนิทของเคอหลิ่งหลินให้ปิดเรื่องนี้ให้สนิท และให้นางรายงานฮูหยินอี้ซิ่วว่าหลิ่งหลินอยู่ช่วยงานข้า” “แต่ว่า...” “เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่ง เพราะข้าจะเป็นคนไปรับหลิ่งหลินด้วยตัวเอง เพราะมีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าหัตถ์เทวะอยู่ที่ใด” เคอหลิ่งหลินรวมกลุ่มกับเหล่านางกำนัลที่จะออกมานอกวัง เมื่อพ้นประตูวังนางก็มองเห็นความคึกคักของเมืองหลวง แม้จะรู้ดีว่าตนเองมีคนที่ต้องไปพบ แต่พอได้เห็นสีสันแห่งเมืองหลวงก็อดตื่นเต้นเป็นเด็กๆ มิได้ ทั้งที่เคยมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกไปนัก หรือเพราะครั้งก่อนๆ นางคอยระแวงระวังภัยคุ้มกันฮูหยินอี้ซิ่วกับจ้าวจิ่นสือ เมื่อมาถึงนางก็มิได้เข้าวังหลวง พักในโรงเตี้
ภายในอับทึมนัก ไม่ใช่สถานที่เหมาะกับคนป่วยและเด็ก เคอหลิ่งหลินกวาดสายตาไปถ้วนทั่ว นางมีที่ต้องไป มีคนที่ต้องพบ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ นางคงไปจากที่นี่ในเวลานี้ไม่ได้แน่นอน. เคอหลิ่งหลินเม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง เวลานี้หากมีมู่ฟางเหนียงอยู่ด้วย นางคงช่วยดูแลคนเหล่านี้ได้ หัวใจของนางเหมือนถูกบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นทาบอกปลายนิ้วมืออีกข้างสัมผัสกำไลหยกที่สวมอยู่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อวานนางลืมถอดกำไลออก สายตาหญิงสาวมองกำไลอย่างครุ่นคิดแล้วตัดสินใจแน่วแน่ ถอดมันออกแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อมันไว้ก่อนจะหมุนตัวไปหาเด็กชายตัวผอมกะหร่องคนนั้น นางยิ้มกว้างแล้วทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า “เจ้าชื่ออะไร” เคอหลิ่งหลินมองเด็กชายตรงหน้า แววตาของเขามีความระแวงระวัง “อาปู้” เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เอ่ยตอบแทน คำพูด ของเด็กหญิงทำให้คนเป็นพี่ใหญ่ถลึงตาใส่ “อาเหลียน! เจ้าบอกชื่อข้าไปทำไม” “ก็...ก็พี่สาวถามนี่” เด็กหญิงเบ้ปากทำท่าจะร้องไห้ “เอาล่ะๆ” เคอหลิ่งหลินเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าก็อย่าดุน้องนักซิ” เสียงไอแค่กๆ จาก