ไท่หยางเจตนาพูดให้เคอหลิ่งหลินได้ยินชัดทุกถ้อยคำ นางเพียงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็หุบปากยืนนิ่งราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่นางทำไว้กับเขา หากนางเป็น ‘เคอหลิ่งหลิน’ คนเดิมของเขา นางจะพูด...พูด...พูดทุกอย่างที่รู้สึก ไม่ใช่อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ “ตายจริงให้หม่อมฉันทำแผลให้เถิดเพะคะ ปล่อยทิ้งไว้หากแผลติดเชื้อมาจะรักษายากนัก” ถ้าเขาเป็น ‘คุณชายเฉิน’ ของนางละก็...นางคงไม่ต้องกล้ำกลืนถ้อยคำไว้จนเต็มกระพุ้งแก้มแบบนี้หรอก “หม่อมฉันมารบกวนเวลาของพระองค์นานแล้วขอตัวกลับก่อนเพคะ” เคอหลิ่งหลินหุนหันหมุนตัวเดินออกไป แต่นางนึกขึ้นได้ก็เดินกลับมายอบคารวะองค์ชายไท่หยางก่อนสะบัดหน้าเดินเร็วๆออกมา ชุนเอ๋อร์แทบจะวิ่งตามเลยทีเดียว “คุณหนู รอบ่าวด้วยซิเจ้าคะ” เคอหลิ่งหลินเดินออกมาได้หลายก้าว ใจที่เต้นแรงก็เริ่มเบาลง เป็นนางที่กัดนิ้วของเขา แต่เขานั้นแหละยื่นนิ้วให้นางกัดทำไม พอนึกถึงรอยช้ำสีเขียวที่รอบนิ้วของเขาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หญิงสาวหันกลับไปมองตำหนักขององค์ชายไท่หยาง กวาดตามองรอบๆ แล้วแอบยิ้มนิดๆ รอยยิ้มของเคอหลิ่งห
“อยู่ในอ้อมกอดข้า ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้น ข้าเพียงแต่ช่วยเจ้ามิให้ทหารยามเห็นเจ้าก็เท่านั้น”“ขอบพระทัยที่ช่วยเหลือเพคะ” ทำบ่อยละซิ! ชิ! นางเม้มปากกัดกลืนคำพูดที่คิดไว้ลงท้องเสียหมดสิ้น“ข้างนอกอากาศเย็น เข้าไปในตำหนักเถิด” เขายอมถอยให้ก่อน แต่ไหนแต่ไรนางมักเอาอกเอาใจเขาเสมอ ตั้งแต่พบหน้ากัน ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยังมิได้พูดจากันดีๆ สักคราเดียว“พระองค์รู้ว่าหม่อมฉันจะมาหรือเพคะ” นางถามอย่างแปลกใจ มองไหล่ซ้ายที่มือใหญ่ประคองให้ก้าวเดินไปข้างหน้า “หม่อมฉันเดินเองได้ มิต้องลำบากพระองค์ประคองให้เช่นนี้ก็ได้”บุรุษหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่มิยอมปล่อยให้หญิงสาวเดินเองตามลำพังตามที่นางร้องขอ“เมื่อคราวที่ดวงตาของข้าพร่าเลือน ข้าก็ห้ามมิให้เจ้าประคองข้า แล้วเจ้ายอมทำตามที่ข้าขอหรือไม่”“ตะ...ตอนนั้น...มัน...มันไม่เหมือนตอนนี้นี่เพคะ” นางเถียงตะกุกตะกักหญิงสาวยอมเดินเข้ามาในตำหนักอย่างว่าง่าย ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดแค่ว่าจะเอายาสมานแผลมาแอบวางไว้ให้เขา แต่เมื่อถูกจับได้แล้ว นางก็เป็นอันทำสิ่งใดไม่ถูก ไท่หยางพาหญิงสาวเข้ามาในห้องทรงอักษรที่เขาทำงานอยู่และแ
“ไยตอนที่เราพบกันเจ้ามิเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้”“ไม่สำคัญอันใด ข้าก็มิได้โกหกอะไรท่าน ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว” หญิงสาวไหวไหล่ “ท่านจะเห็นข้าเป็นคนเลี้ยงม้าหรือบ่าวไพร่ก็หาใช่เรื่องที่ข้าใส่ใจ ทีท่านเองก็มิเคยบอกข้าว่าท่านเป็นใคร”“น้ำเสียงเจ้าเหมือนเคืองข้าอยู่นะ”“เปล่าเสียหน่อย ท่านคิดไปเอง” นางแย้มยิ้ม ราวกับเด็กน้อย “ไหนๆ ข้าก็ทำนิ้วท่านเจ็บ ข้าเขียนแผนที่ให้ท่านใหม่ก็แล้วกัน เส้นทางบ้างเส้นเป็นความลับทางการทหาร แต่ในฐานะที่ท่านเป็นองค์ชาย ข้าคงเปิดเผยได้ไม่ผิดกฏอะไร”นางนั่งลงแล้วพับแขนเสื้อขึ้น หยิบพู่กันแล้วจุ่มหมึกวาดเส้นทางใหม่ลงบนกระดาษ“ได้ยินว่าท่านเตรียมเรื่องที่จะไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม ข้าจะเขียนแผนที่เส้นทางลัดให้จะย่นเวลาได้หนึ่งหรือสองวันเลยทีเดียว”ไท่หยางนั่งลงเคียงข้างเคอหลิ่งหลิน ข้อมือที่จับพู่กันตวัดพลิ้วไปมาปรากฏเส้นทางที่เข้าใจได้ง่าย แม้จะมองเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง“เรื่องแต่งโคลงกลอนหรือเขียนภาพข้าไม่ถนัด แต่ถ้าเป็นเรื่องแผนที่ข้าชำนาญนัก” นางพูดอวดตัวแต่กลับหัวเราะอย่างร่าเริง“ข้ามักเดินทางคนเดียว แฝงตัวกับช
“เจ้าจะปีนป่ายต้นไม้กลับไปหรือไรกัน” ถามคล้ายไม่ต้องการคำตอบ น้ำเสียงยากจะคาดเดาว่าห่วงใยหรือขบขัน ทำให้เคอหลิ่งหลินยืนหลังตรงใบหน้าหวานเชิดหน้าขึ้นวางมาดเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาทันที ใช่ซิ! นางเหมือนลิงค่างในป่านักนี่! จะไปน่ารักงดงามอย่างแม่นางเจี้ยนเหิงเยว่ได้เล่า!“ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”“ก็ข้าบอกว่าจะไปส่งไง” ไท่หยางหัวเราะในลำคอ นิสัยนางเหมือนเด็กนัก เปิดเผย ใสซื่อ และนางคือความสบายใจทุกครั้งคราวที่พบหน้า ในวังหลวงก็มิต่างอะไรจากสนามรบ รู้หน้ามิรู้ใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแต่อาจซ่อนคมมีดไว้พร้อมจะปลิดชีพกัน แม้จะร่วมสายเลือดกันก็ตามเคอหลิ่งหลินอ้าปากจะโต้เถียง แต่กลัวถูกปิดปากด้วยปากของเขาอีก นางจึงปิดปากแน่น ปรายตาไปที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วนิ้วเรียวชี้ไปทิศทางที่องครักษ์ร่างใหญ่ยืนซ่อนตัวในเงามืดอยู่“ถ้าพระองค์ทรงเมตตา ก็ให้องครักษ์ของพระองค์ไปส่งหม่อมฉันเถิดเพคะ”ไยนางชอบโยนเผือกร้อนใส่เขาเสียจริง ต้าซื่อได้แต่สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเท้าออกมาเพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ใบหน้าที่สุขุมอยู่เป็นนิจปรากฏความไม่พอใจขึ้นเล็กน้อย แต่เอาเถิด ถ้านางขอ เขาก็ต้องให้จะได้รู
เคอหลิ่งหลินนึกถึงสายตาของเจี้ยนเหิงเยว่ที่มองนางอย่างไม่ชอบใจนัก ทั้งที่นางเองก็มิรู้ว่าเคยทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจมาก่อนหรือไม่ แต่นางไม่เคยเจอเจี้ยนเหิงเยว่มาก่อนนี่นา คนเราจะไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกเชียวรึ หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนไม่สนใจชุนเอ๋อร์ที่พยายามดึงให้นางลุกขึ้นนั่ง“คุณหนู! ลุกขึ้นจากที่นอนเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ”“ขอข้าหลับสักงีบเถอะ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าแต่งตัวข้าเป็นตุ๊กตาเลยล่ะ”หญิงสาวหลับตาลง เพราะใครกันที่ทำให้นางนอนไม่หลับจนต้องนั่งเขียนแผนที่ถึงเช้าอย่างนี้เล่า ถ้าเข้ามาก่อกวนในความฝันของนางด้วยละก็...นางจะเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุดเลย แต่ถ้านางฝันถึงเขาจริง นางจะไปทำอะไรเขาได้ นั้นองค์ชายไท่หยาง พระโอรสพระองค์โตขององค์ฮ่องเต้เชียวนะ แล้วนางล่ะ ก็แค่ลิงน้อยตนหนึ่งเท่านั้น‘ข้าก็เพียงหวังว่า หัวใจของเจ้าจะยังมีข้าอยู่ในนั้น’เสียงของเขาดังแว่วขึ้นมาอีกครั้ง เคอหลิ่งหลินดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง คนผู้นั้นเป็นคนเดียวกับ ‘คุณชายเฉิน’ ของนางจริงๆนะหรือ นี่นางหลงชอบคนแบบนี้ได้อย่างไรกันแน่.เคอหลิ่งหลินได้หลับเพียงครึ่งชั่วยามก็ถูกชุนเอ๋อร์จับแปลงโฉมเป็นหญิงงาม อาภรณ์สีฟ้าละมุนทำให้นาง
Chapter 44. อย่าทำดีต่อกันนัก“ดูนายของเจ้าซิ ยามติดตามสามีข้าออกรบ ยังมิทำหน้ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้”“จริงด้วยเจ้าค่ะฮูหยิน”หญิงสาวได้แต่ทำเสียงไม่พอใจในคอ สายตากวาดมองไปรอบๆ หญิงสาวแต่งกายงดงามมากมายมาร่วมดื่มน้ำชา นางแทบไม่รู้จักอะไรเลย น้ำชาก็คือน้ำชาถ้ารสไหนที่ดื่มบ่อยคุ้นลิ้นก็จำกลิ่นได้ หากมิได้ฝึกซ้อมทหารก็ต้องฝึกเพลงกระบี่ ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนี้นักดวงตาของเคอหลิ่งหลินมีแววยินดีเมื่อเห็นเจี้ยนเหิงเยว่ นางคิดว่านางยิ้มให้แล้วนะ แต่เจี้ยนเหิงเยว่กลับมองนางกลับด้วยสีหน้ามึนตึง“คนที่นี่เป็นอะไรกันนะ” เคอหลิ่งหลินพึมพำ แต่ฮูหยินอี้ซิ่วก็ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ก็เป็นธรรมดา เจ้าไปแย่งชายในดวงใจของนาง จะให้นางแย้มยิ้มเบิกบานเมื่อเห็นเจ้าได้อย่างไร”“ข้าเปล่านะท่านแม่ ข้ามิเคยทำอะไรเช่นนั้น” นางตกใจนัก เรื่องแบบนี้ นางจะทำได้อย่างไรกัน หากนางรู้ว่าองค์ชายไท่หยางมีคนที่จะแต่งงานด้วย นางจะมิเข้าใกล้หรือวุ่นวายเลย“อย่าคิดมากหลินเอ๋อร์” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะ “เจ้าออกตัวเช่นนี้เรื่องจริงรึ นี่แม่น้อยใจนัก มิรู้ว่าเจ้ากับองค์ชายสนิทสนมกันเมื่อใด”“ท่านแม่ อย่าพูดเรื่องนี้เลย ข้าก็เพิ
เคอหลิ่งหลิยคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ท่าทางไม่ถือพระองค์ขององค์หญิงทั้งสองทำให้นางเบาใจอยู่บ้าง“เรื่องในกองทัพไม่มีอะไรสนุกสนานหรอกเพคะ” จะเล่าอะไรดี แค่หลับตาและนึกถึง นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในอากาศแล้ว“แต่ถ้าท่านหญิงติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบจริง ก็แสดงว่าต้องมีวรยุทธแน่ๆ เช่นนั้นแล้วจะแสดงให้พวกเราชมสักหน่อยจะเป็นไรไป”หากรอยยิ้มเจี้ยนเหิงเยว่เป็นดังคมมีด คงบาดผิดจนนับไม่ถ้วน นางหวังเพียงจะได้สอบถามเรื่องผู้ที่นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษให้องค์ชายไท่หยาง แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเห็นที่จะยาก นางคงต้องยอมถอยให้หลายก้าวแล้วครานี้“นั้นซิๆ” องค์หญิงซิ่นฮวาองค์หญิงฟู่เหมยทรงเอ่ยแทบพร้อมกัน รบเร้าเหมือนเด็กเล็กอยากเล่นสนุก หากเป็นสถานการณ์ปกติเคอ-หลิ่งหลินคงชื่นชอบองค์หญิงทั้งสองมิน้อย แต่เวลานี้นางมิอาจทำอะไรได้ เพราะถูกทำลายกำลังภายใน ซ้ำภายในยังบอบช้ำ ร่างกายก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หากร่ายรำกระบี่ยามนี้เห็นที่จะได้กระอักเลือดออกมาอีกเป็นแน่“ต้องขออภัยองค์หญิงทั้งสอง เวลานี้ไม่สะดวกที่จะรำกระบี่ให้ชมได้” เคอหลิ่งหลินเอ่ยเสียงเบาและยิ้มน้อยๆ“ถ้าเช่นนั้นท่านหญิงทำอะไรได้บ้างเล่า” เจี้ยนเหิ
หญิงสาวอ่านท่าทางของหญิงรับใช้แล้วก็ตั้งสติ จะเป็นอะไรไป นางคงไม่อยู่ที่นี่ทั้งชีวิตหรอกใบหน้าหวานค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก จะว่าไปนางก็เลียนแบบการยิ้มของเจี้ยนเหิงเยว่ สตรีในวังหลวงนี่ลำบากนัก จะยิ้มให้เต็มปากก็มิได้ ต้องค่อยๆ ยิ้มที่ละนิด หรือไม่ก็ต้องถือพัดกลมไว้ปิดใบหน้า“พวกเราแค่ขอให้แม่นางหลิ่งหลินร่ายรำกระบี่ให้ชมแค่นั้นเองนะเพคะพี่ชายใหญ่” องค์หญิงฟู่เหมยพูดเสียงอ่อน“เห็นทีจะมิได้เพคะองค์หญิงทั้งสอง” ฮูหยินอี้ซิ่วเห็นลูกสาวเอาแต่นิ่งเงียบไป “ตอนนี้สภาพร่างกายไม่สู้แข็งแรงนัก หลายเดือนก่อนนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ็บหนักปางตาย หม่อมฉันเที่ยวไหว้พระแทบทุกวัดเพื่อขอพรให้นางตื่นฟื้น”“ท่านแม่!” เคอหลิ่งหลินรีบเรียกไว้ แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะนางรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่จ้องมองมาทางนาง หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น“บาดเจ็บสาหัส?” องค์ชายไท่หยางทวนสิ่งที่ตนได้ยิน“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ” นางรีบชิงออกตัว ไม่ต้องการให้เขารู้ว่านางบาดเจ็บเพราะเขา แต่ก็มิอาจเป็นคนช่วยเขาได้“นางเป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อช่วยผู้อื่น ตนเองต้องบาดเจ็บปางตายอย่างไรไม่สนใจ อยู่ในสนามรบก็เช่นกัน นางกิ