“ได้” “เอ๋?” นางเบิกตากว้างอย่างงุนงง “ทำไม ก็เจ้าอยากไป ข้าก็จะพาไป ขืนปล่อยให้เจ้าแอบติดตามไป ข้าก็เป็นกังวลจนทำงานการไม่ได้นะสิ เอาเจ้าไว้ข้างกายข้าน่าจะดีที่สุด” “อ้ะ!” นางร้องอย่างตกใจ “ท่านไปด้วยรึ!” “เป็นข้าที่คุมพลทหารไปในครั้งนี้” เขากระตุกยิ้มร้ายกาจออกมา “เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน อีกสองวันจะเดินทางแล้ว แต่ถ้าร่างกายของเจ้าไม่ไหวก็พักผ่อนที่นี่เถิด” “ไม่ๆ ข้าจะไปด้วย” นางเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าจะทำผิด ถึงไม่อยากอยู่ข้างกายเขา แต่นางอยากติดตามบิดาไปด้วย อยู่ที่นี่วันๆ นางคงได้แต่นั่งๆ นอนๆ เป็นแน่ “ดี” เขากวาดมือออกไปหมายจะโอบร่างนางไว้ในอ้อมอก แต่นางกลับขยับเท้าถอยหลัง อารามตกใจจึงไม่ทันระวังตัวว่าตนเองยืนอยู่ริมสระบัว เท้าที่เหยียบพื้นดินอ่อนนุ่มทำให้นางเสียหลักจะหงายหลัง แต่จ้าวจิ่นสือยื่นมือไปจับแขนของนาง กระตุกร่างบางเข้ามาซุกซบที่อกได้อย่างหวุดหวิด “ฟางเหนียง” เขาระบายลมหายใจออกทางปาก แล้วลูบแผ่นหลังของนาง “เดินทางครั้งนี้เห็นทีข้าต้องล่ามเจ้าตัวติดกับข้าเสียแล้ว”
หญิงสาวเผลอยิ้มแล้วเดินไปเอนตัวลงบนที่นอน วางปิ่นไว้ข้างหมอนอย่างระวังกลัวจะนอนทับ แต่กระนั้นนางก็อดคิดถึงใบหน้าของเขาไม่ได้ ‘ฟางเหนียง’ จะเป็นอะไรไหม? ถ้านางบอกว่าชอบเวลาที่เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นคู่สามีภรรยาธรรมดาคู่หนึ่ง ชอบยามที่เขากอดนางไว้ราวกับของล้ำค่า เพราะความเหนื่อยอ่อน นางหลับไปอย่างรวดเร็ว และหลับลึกจนไม่รู้ว่าหน้าต่างห้องของนางถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ร่างสูงกระโดดเข้ามาอย่างเงียบเชียบราวกับสายลมพัดผ่าน แม้ในความมืด เขาก็เห็นใบหน้าอ่อนโยนของนางมีรอยยิ้ม และสิ่งที่ทำให้เขายิ้มกว้างก็คือนางเอาปิ่นที่เขาซื้อให้มาวางข้างหมอน เขาเลิกม่านมุ้ง ยื่นมือไปหยิบปิ่นวางบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอน เพราะไออุ่นที่คุ้นเคย ทำให้นางไม่ผลักไส ขยับศีรษะเข้าซุกกับแผงอกอุ่นเช่นที่เคยทำมาตลอดการเดินทางไกล เขากอดนางไว้ รับเอากลิ่นหอมละมุนของนางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจของเขา แล้วจ้าวจิ่นสือก็ตระหนักได้ว่า เขาปรารถนาสุดจิตสุดใจที่จะมีนางไว้ในอ้อมกอดอย่างนี้ ทุกวัน ทุกคืน ตลอดไป และต้องเป็นนางเพียงคนเดียวเท่านั้น.
“ก็ข้าเป็นห่วงเจ้า กลัวผิดที่ผิดทางแล้วเจ้าจะนอนไม่หลับ ไม่คิดว่าพอหัวเจ้าถึงหมอนก็ผล็อยหลับไปทันที” นางเบ้ปากแล้วแสร้งมองไปทางอื่น “ท่านนี่ใจดีกับแขกที่มาเยือนแบบนี้ทุกคนรึ”“ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นใคร” น้ำเสียงราบเรียบเหมือนจะยั่วเย้านางอยู่ในที เมื่อสายตาปรับกับความมืดได้แล้ว เขาก็ยิ้มกริ่มที่เห็นดวงตานางเคืองโกรธ เขายื่นหน้าไปขบริมฝีปากล่างของนางอย่างห้ามใจไม่อยู่ ตลอดคืนเห็นนางหลับสบายก็ไม่อยากปลุก นางเหมือนดอกไม้เล็กๆ ที่เขาใช้อุ้งมือประคองไว้ ทะนุถนอมดุจของล้ำค่าที่ไม่อาจสูญเสียไปได้นางยื่นมือจะผลักเขาออก แต่มือใหญ่ประคองมือนางไว้ กลัวนางจะลืมตัวทำตัวเองเจ็บอีก คนปากไม่ตรงกับใจอย่างนาง แต่จูบทีไรก็ทำให้เคลิบเคลิ้มและอุ่นซ่านไปทั่วร่าง ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นผู้หญิงขี้หึงที่ทำตัวน่ารังเกียจอยู่ทั่วไป คิดอยู่ในใจว่าถ้าต้องเจอผู้หญิงแบบนี้คงแย่ แต่เมื่อเห็นนางหึงเขา กลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด อยากเห็นนางหึงเขาบ่อยๆ มีนางอยู่ข้างกายเช่นนี้ เขาจะเอาสายตาที่ไหนไปเหลือบแลหญิงอื่น“อื้อ...” นางส่งเสียงประท้วง บังคับตัวเองไม่ให้เผลออ่อนไหวไปกับรสจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้นทุกขณะของเขา “พอ..พอแล้ว”
“ไม่ต้องๆ ข้าจัดการตัวเอง ขอน้ำร้อนให้ข้า ข้าจะเช็ดตัวเสียหน่อย เมื่อคืนข้ามีไข้เหงื่อออกท่วมตัว” จัดการเช็ดตัวเองเสร็จก็อยากไปทำอาหารเช้าให้ท่านพ่อ ให้หญิงรับใช้พาไป แต่พอถึงห้องครัวก็ถูกปฏิเสธ นางถึงได้เดินหน้ามุ่ยมาตามหาเขาเช่นนี้ เห็นเขาร่ายรำเพลงกระบี่แต่เช้าตรู่ นี่เขา... ไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไรจ้าวจิ่นสือรู้นานแล้วว่านางยืนดูเขาอยู่ แต่เห็นนางเหม่อลอยจึงยังรำกระบี่ต่อไปจนจบเพลง หางตาเห็นดอกไป๋ฉาน (ดอกพุดซ้อน) สีขาวคลี่กลีบรับน้ำค้าง เขาตวัดปลายกระบี่ตัดดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมนั่นแล้วยื่นให้นาง“ข้านึกว่าเจ้าจะตื่นสายกว่านี้” เขายิ้มกริ่มมู่ฟางเหนียงรับดอกไม้จากเขาแก้เก้อ มิใช่ครั้งแรกที่เห็นแผ่นอกของเขาเสียหน่อย แต่จะว่าไปก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นชัดๆ เพราะเวลานั้นนางหลับตาอยู่ ไม่กล้ามองเขาตรงๆโอ๊ย! แย่แล้ว! มู่ฟางเหนียงเอ๋ย! ไยเจ้าเป็นคนหมกมุ่นเรื่องกามารมณ์เช่นนี้นะ!เห็นท่าทางประหลาดของนางแล้วเขาก็อดสาวเท้าเข้าไปใกล้ไม่ได้ ยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผาก ร่างกายนางอุ่นเป็นปกติไม่ได้เป็นไข้ ที่หน้าแดงคงเพราะเรื่องก่อนฟ้าสางสินะ ก็เพราะนางนั่นแหละ อุตส่าห์ข่มใจนอนกอดได้ทั้งคืน แต่พ
ทุกวันนี้เขายังคิดเลยว่า ตนเองไม่ได้เก่งกาจเท่าปลายเล็บของท่านพ่อด้วยซ้ำ แม้จะพยายามสร้างผลงานมากเท่าไหร่ ก็คล้ายว่าผู้อื่นจะมองว่าที่มีทุกวันนี้เพราะอำนาจของบิดา “เจ้าลืมไปหรือไม่ พ่อเองก็เป็นคนธรรมดา ชาติตระกูลไม่ได้สูงส่ง เพียงแต่พ่อหมั่นเพียรสร้างผลงานจึงได้มีทุกวันนี้” บิดาเอ่ยย้ำอีกครั้ง “เช่นนั้นแล้วพ่อจะไปรังเกียจแม่นางมู่ทำไม ความจริงนางควรได้รับความดีความชอบไม่น้อยไปกว่าเจ้า นางช่วยรักษาคนเจ็บป่วยก่อนที่โรคประหลาดนั้นจะระบาดไปทั่วมิใช่รึ” คนเป็นลูกได้แต่สูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยออกมา “นางเป็นของลูกแล้ว อย่างไรลูกก็ไม่มีทางทอดทิ้งนาง” “เรื่องนั้นพ่อมั่นใจว่าเจ้าไม่ทิ้งนาง แต่เจ้าจะให้นางอยู่ฐานะใด เจ้าถามความสมัครใจของนางแล้วรึ” สุดท้ายก็ต้องเอ่ยถามกันอย่างตรงไปตรงมา ต้องมีฐานะใดกันอีกเล่า เขาต้องการนางเพียงผู้เดียว มีนางข้างกายเขา เขาก็ไม่ปรารถนาหญิงใดอีก แม่ทัพจ้าวส่ายหน้าไปมา“นี่พ่อคิดว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ อีกไม่กี่ปีถ้าเจ้าขยันขันแข็งหมั่นสร้างผลงาน เจ้าย่อมได้เป็นแม่ทัพใหญ่แทนพ่อได้ในไม่
“ขอรับ” พ่อบ้านหมุนตัวกลับออกไป เขาสั่งเด็กรับใช้ให้เตรียมน้ำชาและของว่าง แล้วตนเองก็เดินย้อนกลับไปรายงานให้บิดาทราบ พ่อบ้านพาองครักษ์หน้าตาดุดันเข้ามา เขาประสานมือคารวะแม่ทัพจ้าวและคุณชาย“ข้าน้อยต้าซื่อ เป็นองครักษ์ประจำกายองค์ชายไท่หยางขอรับ” เมื่อแน่ใจแล้วว่าในห้องไม่มีผู้อื่นก็ยื่นจดหมายส่งให้แม่ทัพจ้าว แม่ทัพจ้าวคลี่กระดาษออก กวาดตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งให้จ้าวจิ่นสือแล้วเอ่ยขึ้น“ตอนนี้ท่านหมอมู่พักอยู่กับข้า จริงๆ อีกวันสองวันก็จะเดินทางไปทางเมืองซูโจวอยู่แล้ว” แม่ทัพจ้าวเอ่ยออกมาก่อน การขอยืมหมอไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ยืมตัวไปรักษาคนสำคัญขององค์ชายไท่หยางนั้น เป็นเรื่องที่อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ หากรักษาผิดพลาดขึ้นมา ชีวิตท่านหมอมู่ ว่าที่พ่อตาของบุตรชายเขาจะเป็นอันตรายหรือไม่ “ช่วยคนรั้งรอไม่ได้ ขอท่านแม่ทัพโปรดเมตตาด้วย อีกอย่างท่านหมอมู่เคยรักษาองค์ชายไท่หยางมาก่อนแล้ว”“แท้จริงรู้จักกันมาก่อนแล้วอย่างนั้นรึ” แม่ทัพจ้าวเริ่มเบาใจ “เจ้ามาเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พักสักหน่อยเถอะ รอท่านหมอมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน เด็กๆ จัดอาหารและดูแลองครักษ์ผู้นี้ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่ทัพจ้าว”แม่ทัพจ้า
“อ้าว แม่นางมู่ก็อยู่ที่นี่รึ” พ่อบ้านเดินเข้ามาในครัวแล้วทักหญิงสาว“พ่อบ้านมีอะไรกับข้าหรือเปล่า” มู่ฟางเหนียงอดถามไม่ได้“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ” เขาส่ายหน้าไปมา แล้วหันไปสั่งแม่ครัวให้จัดเตรียมข้าวปลาส่งไปให้องครักษ์ขององค์ชายไท่หยาง“เอ่อ... ไม่ทราบว่าจิ่นสือ เอ่อ... คุณชายจ้าวอยู่หรือไม่เจ้าคะ” มู่ฟางเหนียงถามขึ้นเบาๆ น้ำเสียงมีความลังเลอยู่ ไม่รู้เขาอยู่ที่จวนหรือไปข้างนอกแล้ว“อยู่ขอรับ แม่นางมู่มีอะไรหรือไม่ หรือจะให้ข้าพาแม่นางไปพบคุณชาย...”“ไม่ๆ” นางโบกมือไปมาดูเงอะงะชอบกล “คือข้าจะรบกวนพ่อบ้านให้ยกน้ำชาสมุนไพรนี้ไปให้คุณชายจ้าว”“ได้สิ แล้วไยแม่นางมู่ไม่ยกไปให้เองล่ะ” ถ้านางไปเอง คุณชายของเขาต้องดีใจเป็นแน่“ไม่ดีกว่า” นางก้มหน้า เมื่อเช้าเขาหันหลังไม่กลับมามองนางเลยสักนิด เป็นนางที่ยืนมองเขาจนรู้สึกว่ารอบข้างว่างเปล่าแล้ว “อ้อ! จริงสิ พ่อบ้านรู้จักคนเยอะ พอจะทราบไหมว่าแถวนี้มีบ้านเช่าหลังเล็กๆ ราคาถูกๆ หรือไม่”“บ้านเช่า? เป็นผู้ใดต้องการรึ” พ่อบ้านถามอย่างแปลกใจ“เป็นข้ากับท่านพ่อเอง” นางยิ้มแต่แฝงรอยเศร้าอยู่เต็มแววตา“เกิดอะไรขึ้น พวกเราดูแลท่านสองคนพ่อลูกไม่ดีหรือไรกัน ห
“เพราะเขาชอบเจ้า จะยกเจ้าเป็นเมียเอกไงเล่า” นางกระชากผมยาวของมู่ฟางเหนียงอย่างแรง “ข้าต้องกำจัดผู้หญิงมากี่คนแล้ว เขาก็ยังเว้นตำแหน่งเมียเอกไว้ ไม่ว่าข้าจะเพียรทำดีแค่ไหน ก็ยังเป็นได้แค่อนุ! ข้าจะไม่ยอมเป็นอนุไปตลอดชีวิตหรอก! นังแพศยา นังแมวขโมย!”“หยุดเดี๋ยวนี้! จิวฉิง!”“ท่าน! ท่านกู่หลิน!”จิวฉิงง้างมือค้าง เห็นหน้าคนที่นางรักสุดจิตสุดใจมองนางด้วยสายตารังเกียจ เขาคงได้ยินหมดแล้ว ความลับที่นางเก็บมาเนิ่นนานถูกเปิดเผยก็เพราะผู้หญิงคนนี้!“เจ้าปล่อยแม่นางมู่เดี๋ยวนี้!” เศรษฐีกู่หลินได้ข่าวการกลับมาของมู่ฟางเหนียง ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมนางเสียหน่อยแต่ก็เห็นอนุของตนแอบติดตามมู่ฟางเหนียงที่ออกจากจวนแม่ทัพจ้าวเพียงลำพัง พอตามมาถึงได้ยินเรื่องที่จิวฉิงพูด เขาไม่นึกเลยว่าคนที่เขาไว้ใจ จะเป็นคนที่ร้ายกาจเพียงนี้“ปล่อยนางไปรักกับท่านรึ” จิวฉิงแหงนหน้าหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ใช้แขนรัดรอบคอของมู่ฟางเหนียงแน่น แขนขวาทั้งแขนของนางตอนนี้ปวดจนชาไปหมด จะยกขึ้นมาป้องกันตัวเองก็ไม่ได้เลย“จิวฉิง ปล่อยนาง!” กู่หลินตวาดลั่นเดือดดาล แทบจะพุ่งเข้าไปช่วยมู่ฟางเหนียง แต่จิวฉิงกลับกดปลายแหลมของปิ่นที่ลำคอของมู่
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ