“ท่าน... ต้าซื่อ” นางทักชายผู้นั้น มู่ฟางเหนียงรู้เพียงว่าเขาเป็นผู้อารักขาคุณชายเฉินที่บิดาเคยตรวจรักษา และก่อนหน้านี้คุณชายเฉินถูกพิษจนดวงตาเกือบบอด แต่ก็รอดมาได้เพราะมีผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษและเดินทางกลับเมืองหลวงไป แต่นางไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคุณชายเฉินที่นางกับพ่อรู้จักเป็นถึงองค์ชายไท่หยาง พระโอรสองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว แต่ไม่เอ่ยอะไร“ดีจริงได้เจอแม่นางมู่อีกครั้ง ข้ามาเรียนเชิญท่านหมอมู่ไปรักษาคนอยู่พอดี”“มีผู้ใดเป็นอะไรรึ” นางอดถามไม่ได้ต้าซื่อมองดูแล้วว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่มีผู้อื่น เรื่องสำคัญก็จริง แต่คนเบื้องหน้าก็คือคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เป็นพี่น้องกับแม่นางเคอหลิ่งหลิน แม่นางมู่ก็เป็นบุตรสาวท่านหมอมู่หยางซัว ส่วนพ่อบ้านตู้นั้นก็คนคุ้นเคย เก็บเรื่องลับได้ดีอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยตอบมู่ฟางเหนียงไปตามตรง“แม่นางเคอได้รับพิษจากที่ไปนำไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาองค์ชายไท่หยาง แม้จะถูกขับออกมาแล้ว แต่พิษนั้นยังหลงเหลืออยู่ จำเป็นต้องใช้วิชาเข็มเงินของท่านหมอมู่ฝังเข็มช่วยขับลิ่มเลือดเพื่อให้กลับฟื้นร่างกายใช้กำลังภายในได้ดั่งเดิม”“ท่านพ่อต้องเดินทางไปกั
แล้วนางล่ะ นางจะกลายเป็นแบบจิวฉิงหรือไม่ นางไม่ได้ใฝ่สูง แต่นางไม่รู้ว่าตนเองจะใจกว้างพอที่ใช้สามีร่วมกับผู้อื่นหรือไม่ หญิงสาวเหม่อลอยทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอน หวาดกลัวกับความคิดของตนเอง เสียงกรีดร้องของจิวฉิงยังดังในหัวของนาง ประตูห้องนอนถูกเปิดออกอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้น เห็นจ้าวจิ่นสือเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง “พ่อของเจ้าออกไปกับองครักษ์ผู้นั้นแล้ว”“อืม” นางพยักหน้ารับ“ดูท่าทางเจ้าสนิทสนมกับเขาดีนะ”“เขาเป็นผู้อารักขาคุณชายเฉิน แล้วคุณชายเฉินก็เป็นคนป่วยที่ท่านพ่อรักษาอยู่ตั้งสองปี ข้าเลยพลอยรู้จักต้าซื่อไปด้วย”“เขาชื่อต้าซื่อเรอะ”“อืม ก็ข้าพูดไปแล้วนี่”นางจ้องหน้าเขา เห็นแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางก็ขมวดคิ้วทบทวนว่าตนเองพูดอะไรผิดไป แล้วนางก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง กรุ่นไอโทสะจากตัวเขาทำให้นางเลิ่กลั่กหาทางหนี เขายืนประจันหน้านางอยู่ ทำให้ร่างเล็กปีนขึ้นเตียงแล้วหาทางหลบหนี แต่มือใหญ่กระตุกเท้าของนางไว้แล้วปีนขึ้นมาคร่อมร่างกักขังนางไว้“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาพยายามข่มโทสะไม่ให้นางหวาดกลัว แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้ว “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”เพราะน้ำเสียงดุดันของเขาทำให้นางไม่กล
เขากระซิบถาม เนื้อตัวเปียกราวกับตากฝน แต่เป็นเหงื่อร้อนจากการปรนเปรอทรมานนาง ไม่ใช่เพียงแค่นางหรอก ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่เพราะอยากได้ยินเสียงวิงวอน เขาจึงต้องสู้รบกับนาง แม้จะเป็นการสู้รบบนเตียงนอนเล็กๆนี่ ก็เถอะ“จิ่นสือ...” นางแทบขาดใจอยู่แล้ว “ข้า....”“ขอร้องข้าสิ” เขากระซิบ มือหนึ่งบีบเคล้นทรวงอกของนาง อีกมือก็ไล้วนจุดอ่อนไหวเล็กๆ ที่กึ่งกลางอิสตรี แต่นางก็ยังปากแข็งไม่ยอมพูดออกมา เบือนหน้าหลบ มีแต่ทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง เขาถอนนิ้วเรียวออกแล้วขยับสะโพกบดเบียดนางอย่างเย้ายวน แท่งศิลาร้อนปัดผ่านกลีบดอกไม้ที่ฉ่ำน้ำหวานทำไมเขาไม่ฆ่านางเสีย! ทรมานนางเช่นนี้เท่ากับตายทั้งเป็นอยู่แล้ว!“ข้า...” “ว่าอย่างไร” เขาพูดเสียงพร่า แทบจะกลั้นใจไม่ไหวอยู่แล้ว“ข้า... ต้องการท่าน ข้าขอร้องท่าน”นางพูดเสียงเบาหวิว แต่กลับแจ่มชัด ทำให้อีกฝ่ายแทรกแก่นกายลงไปอย่างรวดเร็ว นางหวีดร้อง แต่เขาก้มลงมาประกบริมฝีปาก ดูดกลืนเสียงนางจนสิ้น นางต้องการเขา ต้องการชายผู้นี้ เรียวลิ้นนุ่มแลกกันอย่างดุเดือด มือใหญ่จับเอวนางเพื่อรองการสอดใส่รวดเร็ว ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความซ่านเสียว แผ่นหลังกว้างราวก
แม้แพทย์ทหารจะมากันหลายสิบคน ทว่าแต่ละคนก็มีคนเจ็บคนป่วยต้องดูแลงานล้นมือ “ไม่ต้อง ข้าทนได้ ท่านหมอจัดการได้เลย” นายทหารคนเจ็บร้องบอก ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บจนหน้าซีดแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก แล้วยื่นผ้าขาวให้เขากัด“อย่างไรก็ป้องกันไว้ก่อน ข้าจำเป็นต้องบิดกระดูกคืนรูปเดิมซึ่งจะเจ็บมาก เกรงว่าท่านจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง” เขาบังคับกลายๆ ทำให้อีกฝ่ายยอมกัดผ้าที่เขาส่งให้ เจียเจี้ยนเลยเข้ามาช่วยจับขาให้“ให้ข้าจับอย่างไร”เด็กหนุ่มแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่เอ่ยปากถามไป เป็นหมอทหารอย่างไรกัน แค่นี้กลับถามออกมาได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียหน้า อีกฝ่ายอาจจะแค่ตื่นตระหนกจนลืมวิธีการไปก็ได้ “ท่านจับเหนือแผล ใช้สองมือประคอง ข้าจะจับท่อนล่าง” เขาเห็นเจียเจี้ยนทำตามที่บอกได้แล้ว ก็หันไปบอกคนเจ็บ “ข้าจะนับถึงสาม เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม!”รวดเร็วจนคนเจ็บไม่ทันตั้งตัว กระดูกก็ถูกดึงกลับเข้ามาตามเดิม เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่งอก หยิบตลับยามาทาบริเวณที่บวมแดง ก่อนจะใช้ไม้ที่เตรียมไว้ประกบขาของเขาแล้วพันผ้าเอาไว้“พยายามอย่าลงน้ำหนักขาข้างที่เจ็บมากนัก หาไม้พยุงช่วยเดินไปก่อน บาดแผลท่านไม่สาหัส ไม่เกินสิบห้าวันจะ
เอาเถอะ เดินไปดูหน่อยก็แล้วกัน อาฟางหรือมู่ฟางเหนียงเดินไปทิศทางที่ตนเองคาดเดาว่าเป็นกระโจมของคนผู้นั้น หลังจากคืนนั้นที่เขาเคี่ยวกรำนาง หวังให้นางหมดเรี่ยวแรง เขากำชับนางนักหนา ทั้งขู่ทั้งปลอบไม่ให้นางติดตามมาด้วย นางก็แสร้งทำเป็นเออออไปอย่างนั้น พอเขาออกไปจากห้องแล้ว นางก็ดีดตัวลุกขึ้นจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะปลอมตัวเป็น ‘อาฟาง’ หนุ่มน้อยหน้าหวานเดินไปถึงกระโจมของรองแม่ทัพ แต่นางยังไม่ทันเดินไปถึงก็เห็นร่างสูงเดินออกมาก่อน ทหารทำความเคารพเขาแล้ว เขาก็ก้าวยาวๆ เดินออกไป “จะไปไหนล่ะ” นางบ่นแล้วแอบเดินตามไป หลายวันมานี้ แม้จะเห็นเขาอยู่ไกลๆ แต่ก็รู้ว่าเขาทำงานหนักมากแค่ไหน เขาไม่ใช่ประเภทที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง แต่กระโจนลงไปทำด้วยตนเอง และแม้นางจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็ได้ยินเสียงผู้คนกล่าวขานถึงเขาอย่างชื่นชม และนางก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวทุกครั้งไป ขายาวของเขาพาตัวเองเดินออกไปพ้นเขตหมู่บ้าน เหมือนจะเดินเข้าไปในชายป่า หญิงสาวยกมือยันต้นไม้แล้วหอบหายใจแรง จะเรียกเขาก็ไม่กล้า ตอนนี้เหงื่อนางออกท่วมตัวแล้ว นางร้องก่นด่าเขาในใจ ยกมือขึ้นโบ
เขาพูดแล้วส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม ประคองมือนางให้เดินตามเขามา พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับเหลี่ยมเขา เขาพานางเดินไปที่ชะง่อนหินผาที่สามารถมองเห็นหมู่บ้านเบื้องล่างได้ชัดเจน เมื่ออยู่บนที่สูงก็ทำให้มองเห็นความเสียหายด้านล่างได้ชัดเจน นางไม่เคยมาซูโจว แต่จากที่เห็น เมืองนี้เป็นเมืองที่สวยงามไม่น้อย“ตอนนี้ข้าเร่งแก้ไขเรื่องสะพานที่ชำรุดเสียหาย เพื่อจะได้ลำเลียงเสบียงอาหารเข้าเมืองได้โดยสะดวก” จ้าวจิ่นสือวางมือบนไหล่มนของนาง “ครั้งนี้ถือว่าเสียหายไม่มาก ทั้งทหารของข้าและกับที่ทางเมืองหลวงส่งมา ระดมแรงคนอย่างเร็วก็ยี่สิบวัน”“แต่กว่าจะฟื้นฟูได้เช่นเดิมคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ “แล้วท่านพ่อข้าจะมาถึงเมื่อใดกัน”“น่าจะพรุ่งนี้” เขายิ้มแล้วยกมือขึ้นบีบจมูกของนาง “อย่าคิดว่าพ่อเจ้ามาแล้วข้าจะไม่ทำอะไรเจ้านะ”“ท่านกล้าเรอะ!” นางเชิดหน้าท้าทาย เพียงพริบตาเขาก็ฉกจูบนางไปเร็วๆ ทำเอาหญิงสาวได้แต่ทำตาปริบๆ พอรู้สึกตัวก็กำหมัดทำท่าจะทุบเขา แต่พอนึกถึงแผงอกแข็งแกร่งนั้นแล้ว ทุบไปก็เจ็บมือเปล่า จึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากอย่างโมโห “ไหนๆ เจ้าก็เปิดตัวเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อนแบบนี้แล้ว คืนน
นางแปลกใจที่เขาไม่ห้ามปราม นั่นนับว่าเป็นเรื่องดี นางจึงพยักหน้ารับ ไม่นานอาหารก็ถูกยกเข้ามา เขายังคงกินอาหารเรียบง่าย ดูไม่ยุ่งยาก มือนางเองก็ไม่เจ็บอะไรนัก เขาไม่จำเป็นต้องช่วยป้อนข้าวให้นางอีก เพียงแต่ยังคีบกับข้าววางในชามของนางให้เหมือนที่เคยเป็นมา “เจ้าว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร” นางเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย กลืนอาหารในปากลงคอไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ในส่วนที่ข้าทำอยู่ก็เห็นว่ายังไม่น่าหวาดวิตกอันใด คนเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุ คนป่วยก็เจ็บป่วยด้วยโรคหวัด ยังไม่มีวี่แววจะเกิดโรคระบาด แต่กระนั้นเราก็ยังวางใจมิได้ เรื่องแบบนี้ป้องกันได้ก็ควรป้องกัน อากาศเย็นชื้น ผู้คนจะป่วยง่าย อาหารการกินควรสะอาด สุกใหม่ ให้ร่างกายอบอุ่น” “หัวหน้าแพทย์ทหารก็พูดคล้ายๆกับเจ้า” เขายกน้ำชาขึ้นดื่ม “ทหารจากวังหลวงรายงานมา อีกสองวันขบวนขององค์ชายไท่หยางจะเสด็จมาถึง ข้าจำเป็นต้องย้ายเข้าไปอยู่ในจวนผู้ว่า ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยขององค์ชาย เจ้าก็ติดตามข้าไปด้วย” “นี่คำสั่งรึ” นางเอียงคอมองหน้าเขา “อยู่ที่นี่เจ้าเป็นอาฟาง เพราะฉะนั้นคำพูด
กว่าหมอมู่หยางซัวจะมาถึงก็บ่ายคล้อย ต้าซื่อมาส่งด้วยตนเองถึงจวนผู้ว่าอิ่น ผู้ว่าอิ่นพอรู้ว่าเป็นองครักษ์ประจำองค์ชายไท่หยางมาถึง ก็รีบออกมาต้อนรับ “ร่างกายขององค์ชายไท่หยางทรงอ่อนแอ เดินทางช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ข้ามาตรวจดูความปลอดภัยล่วงหน้าก่อน” ต้าซื่อเอ่ยบอกกับผู้ว่าอิ่นง่ายๆ “ข้าน้อยเตรียมห้องหับรับรองแล้ว แต่ด้วยสภาพบ้านเมืองเช่นนี้ อาจทำการต้อนรับได้ไม่เต็มที่” “เรื่องนั้นอย่าได้ใส่ใจ ไม่ทราบว่ารองแม่ทัพจ้าวจิ่นสืออยู่ที่ใด” “รองแม่ทัพจ้าวคุมทหารซ่อมสะพานอยู่ขอรับ” ต้าซื่อเพียงพยักหน้ารับแล้วหันไปทางหมอมู่หยางซัว “ท่านอยากพักผ่อนก่อนหรือไม่” “ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าอยากเจอลูกสาวก่อน” ต้าซื่อพยักหน้ารับ หันไปถามผู้ว่าเรื่องจุดที่แพทย์ทหารทำการตั้งกระโจมรักษาคนเจ็บป่วย แล้วจึงพาท่านหมอเดินไปพร้อมกัน เขาไม่ขัดความต้องการของท่านหมอมู่ แต่ไหนแต่ไรก็รู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้รักและหวงลูกสาวคนเดียวมากเพียงใด ระหว่างทางได้พูดคุยกันเขา จึงเพิ่งทราบเรื่องที่มู่ฟางเหนียงกับท่านหมอมู่ถูกลอบทำร้ายจนกระทั่งพ
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด