“ไม่ต้องๆ ข้าจัดการตัวเอง ขอน้ำร้อนให้ข้า ข้าจะเช็ดตัวเสียหน่อย เมื่อคืนข้ามีไข้เหงื่อออกท่วมตัว” จัดการเช็ดตัวเองเสร็จก็อยากไปทำอาหารเช้าให้ท่านพ่อ ให้หญิงรับใช้พาไป แต่พอถึงห้องครัวก็ถูกปฏิเสธ นางถึงได้เดินหน้ามุ่ยมาตามหาเขาเช่นนี้ เห็นเขาร่ายรำเพลงกระบี่แต่เช้าตรู่ นี่เขา... ไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไรจ้าวจิ่นสือรู้นานแล้วว่านางยืนดูเขาอยู่ แต่เห็นนางเหม่อลอยจึงยังรำกระบี่ต่อไปจนจบเพลง หางตาเห็นดอกไป๋ฉาน (ดอกพุดซ้อน) สีขาวคลี่กลีบรับน้ำค้าง เขาตวัดปลายกระบี่ตัดดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมนั่นแล้วยื่นให้นาง“ข้านึกว่าเจ้าจะตื่นสายกว่านี้” เขายิ้มกริ่มมู่ฟางเหนียงรับดอกไม้จากเขาแก้เก้อ มิใช่ครั้งแรกที่เห็นแผ่นอกของเขาเสียหน่อย แต่จะว่าไปก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นชัดๆ เพราะเวลานั้นนางหลับตาอยู่ ไม่กล้ามองเขาตรงๆโอ๊ย! แย่แล้ว! มู่ฟางเหนียงเอ๋ย! ไยเจ้าเป็นคนหมกมุ่นเรื่องกามารมณ์เช่นนี้นะ!เห็นท่าทางประหลาดของนางแล้วเขาก็อดสาวเท้าเข้าไปใกล้ไม่ได้ ยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผาก ร่างกายนางอุ่นเป็นปกติไม่ได้เป็นไข้ ที่หน้าแดงคงเพราะเรื่องก่อนฟ้าสางสินะ ก็เพราะนางนั่นแหละ อุตส่าห์ข่มใจนอนกอดได้ทั้งคืน แต่พ
ทุกวันนี้เขายังคิดเลยว่า ตนเองไม่ได้เก่งกาจเท่าปลายเล็บของท่านพ่อด้วยซ้ำ แม้จะพยายามสร้างผลงานมากเท่าไหร่ ก็คล้ายว่าผู้อื่นจะมองว่าที่มีทุกวันนี้เพราะอำนาจของบิดา “เจ้าลืมไปหรือไม่ พ่อเองก็เป็นคนธรรมดา ชาติตระกูลไม่ได้สูงส่ง เพียงแต่พ่อหมั่นเพียรสร้างผลงานจึงได้มีทุกวันนี้” บิดาเอ่ยย้ำอีกครั้ง “เช่นนั้นแล้วพ่อจะไปรังเกียจแม่นางมู่ทำไม ความจริงนางควรได้รับความดีความชอบไม่น้อยไปกว่าเจ้า นางช่วยรักษาคนเจ็บป่วยก่อนที่โรคประหลาดนั้นจะระบาดไปทั่วมิใช่รึ” คนเป็นลูกได้แต่สูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยออกมา “นางเป็นของลูกแล้ว อย่างไรลูกก็ไม่มีทางทอดทิ้งนาง” “เรื่องนั้นพ่อมั่นใจว่าเจ้าไม่ทิ้งนาง แต่เจ้าจะให้นางอยู่ฐานะใด เจ้าถามความสมัครใจของนางแล้วรึ” สุดท้ายก็ต้องเอ่ยถามกันอย่างตรงไปตรงมา ต้องมีฐานะใดกันอีกเล่า เขาต้องการนางเพียงผู้เดียว มีนางข้างกายเขา เขาก็ไม่ปรารถนาหญิงใดอีก แม่ทัพจ้าวส่ายหน้าไปมา“นี่พ่อคิดว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ อีกไม่กี่ปีถ้าเจ้าขยันขันแข็งหมั่นสร้างผลงาน เจ้าย่อมได้เป็นแม่ทัพใหญ่แทนพ่อได้ในไม่
“ขอรับ” พ่อบ้านหมุนตัวกลับออกไป เขาสั่งเด็กรับใช้ให้เตรียมน้ำชาและของว่าง แล้วตนเองก็เดินย้อนกลับไปรายงานให้บิดาทราบ พ่อบ้านพาองครักษ์หน้าตาดุดันเข้ามา เขาประสานมือคารวะแม่ทัพจ้าวและคุณชาย“ข้าน้อยต้าซื่อ เป็นองครักษ์ประจำกายองค์ชายไท่หยางขอรับ” เมื่อแน่ใจแล้วว่าในห้องไม่มีผู้อื่นก็ยื่นจดหมายส่งให้แม่ทัพจ้าว แม่ทัพจ้าวคลี่กระดาษออก กวาดตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งให้จ้าวจิ่นสือแล้วเอ่ยขึ้น“ตอนนี้ท่านหมอมู่พักอยู่กับข้า จริงๆ อีกวันสองวันก็จะเดินทางไปทางเมืองซูโจวอยู่แล้ว” แม่ทัพจ้าวเอ่ยออกมาก่อน การขอยืมหมอไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ยืมตัวไปรักษาคนสำคัญขององค์ชายไท่หยางนั้น เป็นเรื่องที่อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ หากรักษาผิดพลาดขึ้นมา ชีวิตท่านหมอมู่ ว่าที่พ่อตาของบุตรชายเขาจะเป็นอันตรายหรือไม่ “ช่วยคนรั้งรอไม่ได้ ขอท่านแม่ทัพโปรดเมตตาด้วย อีกอย่างท่านหมอมู่เคยรักษาองค์ชายไท่หยางมาก่อนแล้ว”“แท้จริงรู้จักกันมาก่อนแล้วอย่างนั้นรึ” แม่ทัพจ้าวเริ่มเบาใจ “เจ้ามาเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พักสักหน่อยเถอะ รอท่านหมอมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน เด็กๆ จัดอาหารและดูแลองครักษ์ผู้นี้ด้วย”“ขอบคุณท่านแม่ทัพจ้าว”แม่ทัพจ้า
“อ้าว แม่นางมู่ก็อยู่ที่นี่รึ” พ่อบ้านเดินเข้ามาในครัวแล้วทักหญิงสาว“พ่อบ้านมีอะไรกับข้าหรือเปล่า” มู่ฟางเหนียงอดถามไม่ได้“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ” เขาส่ายหน้าไปมา แล้วหันไปสั่งแม่ครัวให้จัดเตรียมข้าวปลาส่งไปให้องครักษ์ขององค์ชายไท่หยาง“เอ่อ... ไม่ทราบว่าจิ่นสือ เอ่อ... คุณชายจ้าวอยู่หรือไม่เจ้าคะ” มู่ฟางเหนียงถามขึ้นเบาๆ น้ำเสียงมีความลังเลอยู่ ไม่รู้เขาอยู่ที่จวนหรือไปข้างนอกแล้ว“อยู่ขอรับ แม่นางมู่มีอะไรหรือไม่ หรือจะให้ข้าพาแม่นางไปพบคุณชาย...”“ไม่ๆ” นางโบกมือไปมาดูเงอะงะชอบกล “คือข้าจะรบกวนพ่อบ้านให้ยกน้ำชาสมุนไพรนี้ไปให้คุณชายจ้าว”“ได้สิ แล้วไยแม่นางมู่ไม่ยกไปให้เองล่ะ” ถ้านางไปเอง คุณชายของเขาต้องดีใจเป็นแน่“ไม่ดีกว่า” นางก้มหน้า เมื่อเช้าเขาหันหลังไม่กลับมามองนางเลยสักนิด เป็นนางที่ยืนมองเขาจนรู้สึกว่ารอบข้างว่างเปล่าแล้ว “อ้อ! จริงสิ พ่อบ้านรู้จักคนเยอะ พอจะทราบไหมว่าแถวนี้มีบ้านเช่าหลังเล็กๆ ราคาถูกๆ หรือไม่”“บ้านเช่า? เป็นผู้ใดต้องการรึ” พ่อบ้านถามอย่างแปลกใจ“เป็นข้ากับท่านพ่อเอง” นางยิ้มแต่แฝงรอยเศร้าอยู่เต็มแววตา“เกิดอะไรขึ้น พวกเราดูแลท่านสองคนพ่อลูกไม่ดีหรือไรกัน ห
“เพราะเขาชอบเจ้า จะยกเจ้าเป็นเมียเอกไงเล่า” นางกระชากผมยาวของมู่ฟางเหนียงอย่างแรง “ข้าต้องกำจัดผู้หญิงมากี่คนแล้ว เขาก็ยังเว้นตำแหน่งเมียเอกไว้ ไม่ว่าข้าจะเพียรทำดีแค่ไหน ก็ยังเป็นได้แค่อนุ! ข้าจะไม่ยอมเป็นอนุไปตลอดชีวิตหรอก! นังแพศยา นังแมวขโมย!”“หยุดเดี๋ยวนี้! จิวฉิง!”“ท่าน! ท่านกู่หลิน!”จิวฉิงง้างมือค้าง เห็นหน้าคนที่นางรักสุดจิตสุดใจมองนางด้วยสายตารังเกียจ เขาคงได้ยินหมดแล้ว ความลับที่นางเก็บมาเนิ่นนานถูกเปิดเผยก็เพราะผู้หญิงคนนี้!“เจ้าปล่อยแม่นางมู่เดี๋ยวนี้!” เศรษฐีกู่หลินได้ข่าวการกลับมาของมู่ฟางเหนียง ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมนางเสียหน่อยแต่ก็เห็นอนุของตนแอบติดตามมู่ฟางเหนียงที่ออกจากจวนแม่ทัพจ้าวเพียงลำพัง พอตามมาถึงได้ยินเรื่องที่จิวฉิงพูด เขาไม่นึกเลยว่าคนที่เขาไว้ใจ จะเป็นคนที่ร้ายกาจเพียงนี้“ปล่อยนางไปรักกับท่านรึ” จิวฉิงแหงนหน้าหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ใช้แขนรัดรอบคอของมู่ฟางเหนียงแน่น แขนขวาทั้งแขนของนางตอนนี้ปวดจนชาไปหมด จะยกขึ้นมาป้องกันตัวเองก็ไม่ได้เลย“จิวฉิง ปล่อยนาง!” กู่หลินตวาดลั่นเดือดดาล แทบจะพุ่งเข้าไปช่วยมู่ฟางเหนียง แต่จิวฉิงกลับกดปลายแหลมของปิ่นที่ลำคอของมู่
“ท่าน... ต้าซื่อ” นางทักชายผู้นั้น มู่ฟางเหนียงรู้เพียงว่าเขาเป็นผู้อารักขาคุณชายเฉินที่บิดาเคยตรวจรักษา และก่อนหน้านี้คุณชายเฉินถูกพิษจนดวงตาเกือบบอด แต่ก็รอดมาได้เพราะมีผู้นำไข่มุกหมื่นราตรีมาถอนพิษและเดินทางกลับเมืองหลวงไป แต่นางไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคุณชายเฉินที่นางกับพ่อรู้จักเป็นถึงองค์ชายไท่หยาง พระโอรสองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว แต่ไม่เอ่ยอะไร“ดีจริงได้เจอแม่นางมู่อีกครั้ง ข้ามาเรียนเชิญท่านหมอมู่ไปรักษาคนอยู่พอดี”“มีผู้ใดเป็นอะไรรึ” นางอดถามไม่ได้ต้าซื่อมองดูแล้วว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่มีผู้อื่น เรื่องสำคัญก็จริง แต่คนเบื้องหน้าก็คือคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เป็นพี่น้องกับแม่นางเคอหลิ่งหลิน แม่นางมู่ก็เป็นบุตรสาวท่านหมอมู่หยางซัว ส่วนพ่อบ้านตู้นั้นก็คนคุ้นเคย เก็บเรื่องลับได้ดีอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยตอบมู่ฟางเหนียงไปตามตรง“แม่นางเคอได้รับพิษจากที่ไปนำไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาองค์ชายไท่หยาง แม้จะถูกขับออกมาแล้ว แต่พิษนั้นยังหลงเหลืออยู่ จำเป็นต้องใช้วิชาเข็มเงินของท่านหมอมู่ฝังเข็มช่วยขับลิ่มเลือดเพื่อให้กลับฟื้นร่างกายใช้กำลังภายในได้ดั่งเดิม”“ท่านพ่อต้องเดินทางไปกั
แล้วนางล่ะ นางจะกลายเป็นแบบจิวฉิงหรือไม่ นางไม่ได้ใฝ่สูง แต่นางไม่รู้ว่าตนเองจะใจกว้างพอที่ใช้สามีร่วมกับผู้อื่นหรือไม่ หญิงสาวเหม่อลอยทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอน หวาดกลัวกับความคิดของตนเอง เสียงกรีดร้องของจิวฉิงยังดังในหัวของนาง ประตูห้องนอนถูกเปิดออกอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้น เห็นจ้าวจิ่นสือเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง “พ่อของเจ้าออกไปกับองครักษ์ผู้นั้นแล้ว”“อืม” นางพยักหน้ารับ“ดูท่าทางเจ้าสนิทสนมกับเขาดีนะ”“เขาเป็นผู้อารักขาคุณชายเฉิน แล้วคุณชายเฉินก็เป็นคนป่วยที่ท่านพ่อรักษาอยู่ตั้งสองปี ข้าเลยพลอยรู้จักต้าซื่อไปด้วย”“เขาชื่อต้าซื่อเรอะ”“อืม ก็ข้าพูดไปแล้วนี่”นางจ้องหน้าเขา เห็นแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางก็ขมวดคิ้วทบทวนว่าตนเองพูดอะไรผิดไป แล้วนางก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง กรุ่นไอโทสะจากตัวเขาทำให้นางเลิ่กลั่กหาทางหนี เขายืนประจันหน้านางอยู่ ทำให้ร่างเล็กปีนขึ้นเตียงแล้วหาทางหลบหนี แต่มือใหญ่กระตุกเท้าของนางไว้แล้วปีนขึ้นมาคร่อมร่างกักขังนางไว้“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาพยายามข่มโทสะไม่ให้นางหวาดกลัว แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้ว “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”เพราะน้ำเสียงดุดันของเขาทำให้นางไม่กล
เขากระซิบถาม เนื้อตัวเปียกราวกับตากฝน แต่เป็นเหงื่อร้อนจากการปรนเปรอทรมานนาง ไม่ใช่เพียงแค่นางหรอก ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่เพราะอยากได้ยินเสียงวิงวอน เขาจึงต้องสู้รบกับนาง แม้จะเป็นการสู้รบบนเตียงนอนเล็กๆนี่ ก็เถอะ“จิ่นสือ...” นางแทบขาดใจอยู่แล้ว “ข้า....”“ขอร้องข้าสิ” เขากระซิบ มือหนึ่งบีบเคล้นทรวงอกของนาง อีกมือก็ไล้วนจุดอ่อนไหวเล็กๆ ที่กึ่งกลางอิสตรี แต่นางก็ยังปากแข็งไม่ยอมพูดออกมา เบือนหน้าหลบ มีแต่ทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง เขาถอนนิ้วเรียวออกแล้วขยับสะโพกบดเบียดนางอย่างเย้ายวน แท่งศิลาร้อนปัดผ่านกลีบดอกไม้ที่ฉ่ำน้ำหวานทำไมเขาไม่ฆ่านางเสีย! ทรมานนางเช่นนี้เท่ากับตายทั้งเป็นอยู่แล้ว!“ข้า...” “ว่าอย่างไร” เขาพูดเสียงพร่า แทบจะกลั้นใจไม่ไหวอยู่แล้ว“ข้า... ต้องการท่าน ข้าขอร้องท่าน”นางพูดเสียงเบาหวิว แต่กลับแจ่มชัด ทำให้อีกฝ่ายแทรกแก่นกายลงไปอย่างรวดเร็ว นางหวีดร้อง แต่เขาก้มลงมาประกบริมฝีปาก ดูดกลืนเสียงนางจนสิ้น นางต้องการเขา ต้องการชายผู้นี้ เรียวลิ้นนุ่มแลกกันอย่างดุเดือด มือใหญ่จับเอวนางเพื่อรองการสอดใส่รวดเร็ว ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความซ่านเสียว แผ่นหลังกว้างราวก
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด