“จริงรึ!” หลินเฉาเอินรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง! นี่เป็นวาทกรรมที่หลอกลวงในงานประชุมบทกวีนิพนธ์ติ้งหลงไถ เสวี่ยผานตะโกนด้วยความโกรธ “เขาพูดจาเหลวไหล! เหล่าทหารผ่านศึกเกราะดำตามล่าทหารม้าชาวหวงโดยใช้อาวุธวิเศษที่ตัดเหล็กได้ดั่งโคลน หากดาบหลายร้อยเล่มนั้นถูกหลอมจากเหล็กอุกาบาต เช่นนั้นต้องใช้เวลานากว่าร้อยปี!” “เช่นนั้นท่านลองไปถามทหารผ่านศึกชุดเกราะดำดูไหมเล่า? อย่างไรก็ตาม ข้าไม่รู้เรื่อง!” หวังหยวนหันกลับและยกกำปั้นของเขา “ขันทีหลิน ข้าไม่ใช่ทหาร เป็นเพราะคำเชิญของแม่ทัพหนุ่มเท่านั้น ข้าจึงเข้าร่วมค่ายทหารเพื่อช่วยชั่วคราว ตอนนี้เมื่อป้ายทองอาญาสิทธิ์กลับมาแล้ว ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกิจการค่ายทหารอีกต่อไป ข้าขอตัวก่อน!” “ท่านเสนาธิการทหาร!” ด้านนอกกระโจนใหญ่ อู๋หลิงและทหารจำนวนมากรีบไปที่ประตูด้านหน้าด้วยความโกรธ! หากไม่มีท่านเสนาธิการทหาร พวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้กีบเหล็กของคนป่าเถื่อน ต่อสู้ด้วยความหวาดกลัวตลอดทั้งวัน! ตอนนี้พวกเขาได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่แล้ว ราชสำนักไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะให้รางวัลท่านเสนาธิการทหารเท่านั้น แต่ยังบังคับเขาให้ออกไปอีกด้วย! ดวงตาของห
หลังจากที่หวังหยวนออกจากค่ายทหาร เพื่อลดอำนาจของอู๋หลิง เสวี่ยผานในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงออกคำสั่งว่าห้ามผู้ใดที่ไม่มีสถานะทางทหารเข้าค่ายทหารเป็นอันขาด! ทหารผ่านศึกเกราะดำเกือบร้อยคนก็ถูกบีบบังคับให้ออกไปเช่นกัน! ผู้ดูแลกองทัพหลินเฉาเอินเฝ้าดูโดยไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้เสวี่ยผานทำสิ่งตรงข้าม! ทหารผ่านศึกเกราะดำต่างเดือดดาล! ทหารม้าเหล็กของชาวหวงหลายแสนคนปิดล้อมเมือง และพวกเขาก็รีบไปช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงอันตราย! เพิ่งจะสู้รบตัวตายและชนะศึก ต่างก็ถูกไล่ออกจากค่ายทหาร และไม่สามารถพบอู๋หลิงได้อีก ในลานบ้านตระกูลเว่ย ทหารผ่านศึกเกราะดำกลุ่มหนึ่งกำลังหน้าบูดบึ้งและดื่มเหล้า ในหมู่พวกเขามีเอ้อหู่ที่เคยตัดหัวของขุนพลหลู่เฉิงเย่ผู้ก่อกบฏ! ในการรบครั้งนั้น เขาได้สังหารศัตรูไปแปดสิบแปดคน รองจากบิดาและแม่ทัพหนุ่มเท่านั้น เหล่าแม่ทัพและขุนพลในกองทัพยิ้มเมื่อเห็นเขา ส่วนเฉียนจ๋งและทูตทหารต่างก็ต้องก้มลงทักทาย! เดิมทีคิดว่าหลังจากศึกใหญ่ครั้งนี้ เขาจะสามารถเป็นขุนพลได้ แต่สุดท้ายเขาก็เข้าค่ายทหารไม่ได้ด้วยซ้ำ “ห้าปีผ่านไปแล้ว ต้าเย่ก็ยังคงอ่อนแอเช่นนี้ ยิ่งเราชนะมากเท
“ชิ้ง!” หูเมิ่งอิ๋งยิ้ม ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนเป็นสีแดง และหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว! หวังหยวนหาว “เอาล่ะ รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกัน!” “เจ้าค่ะ!” หูเมิ่งอิ๋งก้มหน้าลงแล้วเดินออกจากห้องนอน ในใจนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย! หวังหยวนนอนลงบนเตียงใหญ่! ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ “ท่านเสนาธิการทหาร แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” ... เมืองจิ่วซาน ภายในกระโจนของค่ายทหาร! หลินเจาเอินหัวเราะด้วยความโทสะ “เจ้าเด็กสารเลว เจ้าละโมบโลภมากกว่าข้าเสียอีก ค่าจ้างทหารที่แจกจ่ายไปยังเอากลับมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!” เสวี่ยผานเลิกคิ้ว “ค่าจ้างทหารอะไรกัน นั่นคือเงินของข้า เป็นเพราะหวังหยวนเจ้าสารเลวนั้นที่ใช้ประโยชน์จากอำนาจชั่วคราว และริบข้าวของของข้า เป็นเรื่องถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย!” “เอาล่ะ ในเมื่อได้เงินคืนมาแล้ว ก็หยุดเป็นปีศาจได้แล้ว!” หลินเจาเอินหรี่ตา “เจ้าคงรู้เจตนาของฝ่าบาที่แต่งตั้งเจ้าและส่งทหารของเรามาดูแลกองทัพ” “ข้ารู้!” เสวี่ยผานกระแอม “ฝ่าบาทไม่อาจไว้วางใจอู๋หลิงได้ ท่านกลัวว่าเขาจะมีกองกำลังมากเกินไป และมีเจตนาชั่ว
“ฆ่าคนผิด ดีกว่าปล่อยให้หนีไปได้!” หลินเจาเอินหรี่ตาลงและพูดว่า “นี่เป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดการพวกเขา!” “ไม่ ไม่ได้!” อู๋หลิงต่อต้านอย่างหนักแน่น! แม้ว่านี่จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด แต่กองทหารต้าเย่นับหมื่นคนก็ไม่มีความผิด! เขาลงมือทำไม่ได้! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกองเชลยทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นนายเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในแผนยุทธศาสตร์ของท่านเสนาธิการทหารในการเอาชนะชาวหวง หลินเจาเอินเดินออกจากค่าย ป้ายทองอาญาสิทธิ์ก็เปล่งประกาย “ทหาร จับตาดูแม่ทัพหนุ่มเอาไว้” เมื่อมองไปที่ป้ายทองอาญาสิทธิ์ ทหารหลายคนก็ตัวสั่น และเดินไปหาอู๋หลิงโดยไม่รู้ตัว! ป้ายทองอาญาสิทธิ์เทียบเท่ากับฝ่าบาทเสด็จมาด้วยตนเอง ไม่เชื่อฟังคำสั่งก็เท่ากับทรยศ! แม้ว่าพวกเขาจะชื่นชมแม่ทัพหนุ่ม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง! อู๋หลิงสั่นไปทั้งตัวแต่ไม่กล้าขัดขืน เขาแค่ตะโกน “ขันทีหลิน ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ มันอันตรายเกินไปและจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่!” หลินเจาเอินไม่สนใจเขา และปล่อยให้อู๋หลิงถูกนำตัวไป จากนั้นกล่าวว่า “รวบรวมนายพลทั้งสี่คน ให้พวกเขาจัดกองกำลังม้าเตรียมคันธนูและหน้าไม้ให้พร้อม แล้วตามข
เพื่อที่จะประกาศอำนาจของเขาในฐานะผู้บัญชาการ เสวี่ยผานจึงสั่งให้เปลี่ยนทหารที่ดูแลเมือง และทหารทั้งหมดที่ดูแลเมืองจะถูกแทนที่ด้วยทหารที่พ่ายแพ้! อู๋หลิงและขุนนางทั้งสี่พยายามขัดขวางเขาอย่างเต็มที่ จึงมีทหารที่พ่ายแพ้เพียงพันคนเท่านั้นที่ขึ้นไป! กองทหารที่พ่ายแพ้นับพันถูกนำโดยหนิวเวย ซึ่งถูกส่งไปยังกำแพงเมืองประตูทิศเหนือ ครั้งก่อนถูกหวังหยวนโบยด้วยไม้ทหารยี่สิบไม้ และหลังจากการรักษาตัวนานกว่าครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บของเขาก็หายดีแล้ว!เมื่อมองดูทหารที่สวมชุดเกราะอีกครั้ง และกองทหารที่พ่ายแพ้ สายตาของหนิวเวยก็ไม่แน่ใจ! ทันทีที่เขายอมรับโชคชะตา เขาก็ได้รับคำสั่งลับจากองครักษ์เหยี่ยวดำ และเหล่าชาวหวงก็เข้าโจมตีเมืองในเวลากลางคืน! ขอให้เขาร่วมมือในการยึดเมือง! หากเขานำกองทหารที่พ่ายแพ้นับพันเหล่านี้ในเมื่อก่อน เขาคงจะมั่นใจว่าจะทำสำเร็จ! ทว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ท่านเสนาธิการทหารที่สมควรตายนั่น เอาแต่จัด 'การประชุมล้างแค้น' ในค่ายทหารที่พ่ายแพ้ทุกวัน เชลยทหารหลายคนเกลียดชังชาวหวงเข้ากระดูก พวกเขายอมตายดีกว่าทำงานให้กับชาวหวง ทหารหนึ่งร้อยคน ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาสามา
หน้าไม้ซานกงฉวงและหน้าไม้จูเก่อพร้อมแล้ว ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าของขันทีหลินเจาเอินดูน่ากลัวราวกับหมาป่า เขาแสดงสีหน้าเยือกเย็นและไร้ความปรานี “ข้าจะให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ ถอดชุดเกราะของเจ้าออกทั้งหมด ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าให้หมด!” “ขันทีบ้านั้นต้องการจะฆ่าเรา ซ้ำยังสั่งให้เราปลดชุดเกราะลง ท่านคิดว่าเราโง่หรือไง” “หากเจ้าต้องการฆ่าพวกเราก็เข้ามา สังหารหนึ่งคนได้ทุนคืน สังหารสองคนได้กำไร!” “ขันทีสารเลว คนไม่เอาไหน ท่านเสนาธิการทหารบอกว่าจะปล่อยเราไป แต่ท่านกลับต้องการจะฆ่าพวกเรา!” “ท่านใต้เท้า ข้าไม่ได้เป็นกบฏชาวหวง ข้าหนีกลับมาจากด่านหัวมังกร!” “เหตุใดท่านถึงอยากฆ่าพวกเรา ด่านหัวมังกรพังไม่ใช่ความผิดของเราด้วยซ้ำ!” ทหารจำนวนมากในค่ายต่างตะโกนด่าและร้องไห้! คิ้วสีขาวของหลินเจาเอินสั่นไหว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เขาชูป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้น “โจมตี!” “ขอรับ!” อู๋หยวน, เว่ยชิงซาน, และเจิ้งฝาเป่ย ขุนพลทั้งสามต่างกำหมัดและก้มศีรษะแล้วสั่งการ “โจมตี!” พวกเขาไม่อยากสั่งการเช่นกัน มีทหารเกือบหนึ่งหมื่นนายในค่ายนี้ แม้ว่าบุกโจมตีเข้าเกล่ากำลังทหารก็จะพ่ายแพ้อยู่ดี! ในเมืองมีท
หลินเจาเอินหันกลับไปดู! หอคอยทางทิศเหนือลุกเป็นไฟ และเสียงคำรามแห่งการสังหารดังขึ้น! สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก! ม้าเร็ววิ่งเข้ามา “ท่านขันที เกิดเรื่องแล้ว หนิวเวยและเชลยทหารก่อกบฏ กองทัพชาวหวงได้เข้ามาในเมืองแล้ว ขุนพลหวางห่าวได้นำกองกำลังของเขาไปต่อต้านและส่งข้ามาขอความช่วยเหลือ!” “ชาวหวงบุกเข้ามาในเมืองแล้ว!” สีหน้าของหลินเจาเอินเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบสั่งการ “ขุนพลเว่ย ขุนพลเจิ้ง พวกเจ้าตามข้าไปต่อต้านกองทัพของชาวหวง ขุนพลอู๋ เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อฆ่าเชลยทหารชาวหวงเหล่านี้ อย่าปล่อยให้พวกเขาโจมตีประสานกันทั้งศึกในและศึกนอก!” หลังจากพูดจบ เขาก็เพิกเฉยต่อหวังหยวน และจากไปอย่างรวดเร็ว เว่ยชิงซานและเจิ้งฝาเป่ยก็ติดตามพร้อมกับกองกำลังของพวกเขา คนกลุ่มหนึ่งเดินไปสองช่วงตึกอย่างเร่งรีบ! สีหน้าของเจิ้งฝาเป่ยเปลี่ยนไปและเขาหยุด “ท่านขันที เราไปสนับสนุนที่ประตูทิศเหนือเถอะ เราไม่ควรใช้ถนนสายนี้ ท่านไปผิดทางหรือไม่?” หลินเจาเอินยังคงเดินทางต่อไป “กองทัพชาวหวงได้เข้ามาในเมืองแล้ว พวกเขามีทหารม้ามากกว่าเจ็ดหมื่นนาย รวมกับกองเชลยทหารหนึ่งหมื่นกว่านายในเมืองแล้ว เรามีคนเพียง
อู๋หยวนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม "ยิงหน้าไม้และหน้าไม้ยักษ์ซะ อย่าปล่อยให้พวกมันบุกเข้ามา!"ทหารพ่ายศึกหลายหมื่นคนรีบวิ่งพุ่งเข้ามา พวกเขามีแค่พันคนเท่านั้น จำนวนขนาดนี้พวกเขาถูกข่มกลับได้ทันที!ทหารพ่ายศึกนวนมากในค่ายล่าถอยกลับไปใครก็ตามที่รีบออกไปก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับการกระหน่ำยิงเครื่องยิงหน้าไม้ยักษ์และหน้าไม้จนต้องตายหมดเป็นแน่!"หยุดซะ!"หวังหยวนตะโกนด้วยเสียงทุ้ม ทหารจำนวนมากก็หยุดลงทันที เขาหันกลับแล้วพูดต่อไปว่า "อู๋หยวนเจ้าพาทหารไปเสริมกำลังการป้องกันที่ประตูเมือง ที่นี่ไว้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!"อู๋หยวนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร!หากเป็นก่อนหน้านั้นเขาเคยฟังคำสั่งของหวังหยวนมาก่อน แต่ตอนนี้เสวี่ยผานและหลินเจาเอินเป็นคนกุมอำนาจไว้ในขณะนั้นผู้ส่งสารของเจิ้งฝาเป่ยรีบวิ่งเข้ามาและตะโกนว่า "แม่ทัพอู๋ ขันทีหลินหนีไปพร้อมกับแม่ทัพเว่ยแล้ว แม่ทัพเจิ้งไปที่ประจำประตูเมืองแล้ว เขาให้ข้าบอกแม่ทัพหนุ่มและท่านเสนาธิการทหารว่าเขาจะสู้ตาย ให้พวกท่านก็อย่ายอมแพ้ด้วยเช่นกัน!”"ว่าไงนะ!"อู๋หยวนอึ้งจนทำตัวไม่ถูกชาวหวงเข้ามาในเมือง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ หลินเจาเอินกับเว่ยชิงซา
“ต่อให้คนธรรมดาทำงานหนักทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ของเหมือนที่อยู่ในห้องข้าได้!”แม่นางหรูเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงไปด้วยความรำคาญทว่าตั้งแต่เข้ามาในห้อง หวังหยวนก็จ้องมองแม่นางหรูเยียนตลอดเวลา พิจารณาแม้แต่ท่าทางการพูดของนางแม้ว่าแม่นางหรูเยียนจะแสร้งทำเป็นหยิ่งผยองและทำท่าทางเย็นชา แต่หวังหยวนรู้สึกได้ว่านางไม่ใช่คนเช่นนี้แน่นอน นางกำลังจงใจเล่นละครเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง!แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หวังหยวนยังไม่สามารถค้นพบความลับของนางได้โชคดีที่เขายังมีเวลาอีกมากพอที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ค่อย ๆ ขุดคุ้ยความลับเบื้องหลังของแม่นางหรูเยียน!เวลาผ่านไปทีละวินาทีแม่นางหรูเยียนก็แอบมองหวังหยวนเป็นระยะ นางคาดเดาความคิดของชายผู้นี้อยู่ในใจพลางครุ่นคิด“เขาคงไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรอกใช่หรือไม่?”“เขาต้องการอะไรกันแน่?”“ข้ากับเขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยว่าเคยพบเขามาก่อน?”ส่วนหวังหยวนก็นั่งจิบชาเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสบายใจทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ตามมาด้วยเสียงสนทนาของชายหญิงดังเข้ามาในห้อง“คุณชายเฉิน! ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“ว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?” สตรีผู้นี้มีวิทยายุทธไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ นางจะซ่อนเร้นให้รอดพ้นสายตาของหวังหยวนไปได้อย่างไร?ที่นี่คือเมืองอู่เจียง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเขา ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นนี้ปรากฏตัวได้! แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรี หวังหยวนก็จำต้องระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด!แม่นางหรูเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วจ่อไปที่ลำคอของตนเอง ทำท่าทางเหมือนพร้อมจะสละชีพ!“ได้!”“ถือว่าข้าโชคร้ายเองที่ได้พบเจ้า!”“หากเจ้ายังคงบีบบังคับข้าต่อไป ข้าจะตายตรงหน้าเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!”หลังจากพูดจบ แม่นางหรูเยียนก็พร้อมที่จะใช้ปิ่นปักผมแทงเข้าที่คอของตนเอง!โชคดีที่หวังหยวนตาไว คว้าปิ่นปักผมออกจากมือของนางได้ทัน แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาเล่นละครตบตากับข้า!”แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้าง!สตรีผู้นี้ช่างบ้าคลั่งนัก กล้าลงมือกับตนเองเช่นนี้!ช่างโหดเหี้ยมนัก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เว้น!“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?” ใบหน้าของแม่นางหรูเยียนบึ้งตึง วิทยายุทธของหวังหยวนนั้นสูงส่งแล
ก่อนที่แม่นางหรูเยียนจะทันได้ตั้งตัว มือของหวังหยวนก็สัมผัสผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว!เห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงผ้าคลุมหน้าออก!แต่ที่หวังหยวนไม่คาดคิดก็คือแม่นางหรูเยียนมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก เห็นได้ชัดว่านางมีวรยุทธ!นางรีบยกมือขึ้นมาสกัดกั้นมือของหวังหยวน แล้วถอยหลังอย่างรวดเร็วไปยังเตียงนอนนางคว้ามีดสั้นออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางน่าเกรงขาม!“มีวรยุทธด้วยหรือ?”หวังหยวนหรี่ตาแล้วยกยิ้ม เรื่องราวยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่นางหรูเยียนช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ นางมีความลึกลับซ่อนอยู่มากมาย!เพียงชั่วพริบตาเดียว หวังหยวนก็เข้าต่อสู้กับแม่นางหรูเยียน!แม้ว่าหวังหยวนจะระวัง แต่กระบวนท่าโจมตีอันทรงพลังของแม่นางหรูเยียนนั้นรุนแรงมาก เห็นได้ชัดว่านางต้องการสังหารหวังหยวนให้ได้!โชคดีที่หวังหยวนหลบหลีกได้ทัน สามารถเลี่ยงการโจมตีของนางได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!“เจ้าเป็นสตรี เหตุใดถึงได้โหดร้ายเช่นนี้?”หวังหยวนส่ายหน้าขณะพูดแม่นางหรูเยียนขมวดคิ้ว “นั่นก็เพราะท่านชั่วร้ายเกินไปไม่ใช่หรือ?”“ท่านรู้เรื่องที่ควรจะรู้แล้ว แต่ท่านยังคงหยาบคาย เห็นได้ชัด
“ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ต้องการสนทนากับเจ้าเท่านั้น” ริมฝีปากของหวังหยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่าได้กลับมาถึงบ้านของตนเองต่อจากนั้น หวังหยวนก็นั่งลงรินน้ำชาให้ตนเอง แล้วโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าคิดจะเรียกคนมาช่วย ข้ารับรองว่าได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ข้าสามารถทำให้เจ้าเสียโฉมได้แน่นอน”“หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”หวังหยวนยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าฝาถ้วยชามาอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อใด เป็นการเตือนแม่นางหรูเยียนอย่างชัดเจนแม่นางหรูเยียนสีหน้าซีดเผือด นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกข่มขู่ ในหอชิงสุ่ยนี้ ชายแทบทุกคนต่างปรารถนาจะได้ใกล้ชิดนาง แต่ก็ไม่มีใครได้โอกาสและไม่มีใครกล้าล่วงเกินนางแม้แต่ข่มขู่นางก็ไม่เคยมีมาก่อนหวังหยวนเป็นคนแรกที่ทำเช่นนี้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางหรูเยียนจึงขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านต้องการอะไร?”ขณะที่พูด แม่นางหรูเยียนก็รักษาระยะห่างจากหวังหยวน ไม่ได้เข้าใกล้เขาแม้แต่น้อยแต่สามารถเห็นได้ชัดจากแววตาของนางว่านางก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะหวังหยวนเป็นคนแรกที่เข้ามาในห้องนี้!แต่ที่ไม่คาดคิดก
เกาเล่อไม่ได้สนใจ เพียงแค่ดื่มสุราต่อไปในสายตาของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายหลอกล่อลูกค้าเท่านั้นเพียงแค่เสนอราคาให้เหมาะสม เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าหญิงสาวที่นี่จะรักนวลสงวนตัว!มันเป็นเพียงเรื่องน่าขัน!ทันใดนั้นชายหลายคนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา“เจ้าคิดว่ามีเงินแล้วจะยิ่งใหญ่นักหรือ?”“ที่อื่นอาจจะได้ แต่ที่นี่ไม่ได้หรอกนะ!”“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนอยากดื่มสุราร่วมกับแม่นางหรูเยียนกี่คน?”“มากมายจนถ้าต่อแถวแล้ว แถวคงยาวออกไปนอกเมือง!”“ในบรรดาคนเหล่านั้นมีคุณชายจากตระกูลชั้นสูง แต่แม่นางหรูเยียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขา”“ส่วนเจ้าก็คงไม่ต่างกัน!”ทุกคนต่างหัวเราะกันครื้นเครงหวังหยวนไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา หลังจากเก็บทองบนโต๊ะกลับคืนมาแล้ว เขาก็โบกมือให้เสี่ยวเอ้อออกไปเสี่ยวเอ้อสบถ เดิมทีคิดว่าหวังหยวนจะให้เงินทอง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย…ช่างน่าโมโหนักหวังหยวนมองไปที่เกาเล่อ แล้วกระซิบว่า “เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องราวของแม่นางหรูเยียนที ข้าค่อนข้างสนใจนาง”“ท่านผู้นำ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่ขอรับ?”“ท่านเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกเขาหรือ?”“ข้าสงสัยว่านางคนนั้น
หวังหยวนประหลาดใจ ที่นี่มีกฎเกณฑ์ด้วยงั้นหรือ? ขณะที่เกาเล่อกำลังจะแสดงความไม่พอใจ แต่หวังหยวนรีบส่งสัญญาณให้เขาด้วยสายตา เกาเล่อจึงไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ยังคงยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นอยู่ด้านหลังของหวังหยวน แต่ดวงตาของเกาเล่อแสดงถึงความไม่สบอารมณ์“เหตุใด?”“หรือว่าเจ้าจะคิดทำร้ายคน?”หญิงสาวที่เพิ่งสนทนากับหวังหยวนเบ้ปากใส่เกาเล่อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “หากไม่ได้มาเพื่อความสนุกสนานก็จงรีบออกไปจากที่นี่เสีย!”“อย่ามาขวางทาง อย่าทำให้พวกข้าเสียเวลา!”“พวกข้ายังต้องทำมาหากิน!”หญิงคนนั้นก็ชนไหล่ของหวังหยวนแล้วเดินผ่านไปที่หน้าประตู หญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ตามมาก็ทำเช่นเดียวกัน“พวกนางช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!”“หากพวกนางรู้ถึงตัวตนของท่าน คงต้องคุกเข่าขอความเมตตาจากท่าน”เกาเล่อบ่นพึมพำ“เช่นนั้นอย่าให้พวกนางรู้ถึงตัวตนของข้าดีกว่า”“ข้าไม่อยากมีเรื่องกับพวกนาง”หวังหยวนกล่าวติดตลกแล้วเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับเกาเล่อ เลือกที่นั่งแล้วมองไปยังเวทีกลางพลางพิจารณาหอชิงสุ่ยอย่างละเอียดต้องยอมรับว่าที่นี่ตกแต่งได้อย่างหรูหราอลังการอาคารหลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่าง
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ในวันเดียวหากต้องการให้เมืองอู่เจียงกลายเป็นเมืองสำคัญทางคมนาคมคงต้องใช้เวลาอีกสองสามปีจึงจะสมบูรณ์หวังหยวนเองก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เขาพยายามค้นหาคนที่เหมาะจะเป็นผู้ว่าราชการคนใหม่ในเมืองอู่เจียง แต่ก็ยังหาไม่พบณ หอชิงสุ่ยเมื่อค่ำคืนนี้มาเยือน หวังหยวนกำลังไปเดินเล่นชมเมืองและบังเอิญมาถึงหอชิงสุ่ยที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและผู้คนพลุกพล่าน“ที่นี่คือที่ใด?” หวังหยวนถามเกาเล่อผู้ติดตามอยู่ข้างกาย“ที่นี่คือสถานที่แห่งความสุขทางโลกขอรับ”“ท่านผู้นำสนใจจะเข้าไปดูหรือไม่ขอรับ?”เกาเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม“ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้...”“อีกอย่างซื่อหานก็รอข้าอยู่ที่บ้าน หากข้ามมัวเมาสุราอยู่ที่นี่ แล้วพวกผู้หญิงในบ้านรู้เข้าคงต้องมีเรื่องวุ่นวายเป็นแน่”หวังหยวนส่ายหน้า หลี่ซื่อหานนั้นยังเข้าใจได้และจะไม่พูดอะไรมาก แต่สำหรับหวงเจียวเจียว...นั่นคือคนที่ยากจะรับมือเกาเล่อหัวเราะ แล้วกล่าวต่อ “ท่านผู้นำอาจเข้าใจผิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างที่ท่านคิดหรอกนะขอรับ”“ข้าเคยสืบเรื่องที่นี่มาแล้ว”“เท่าที่ข้าทราบ เจ้าของที่นี่มีเบื้
ในไม่ช้าหวังหยวนพร้อมคณะก็กลับมายังที่ว่าการเมืองอู่เจียงฉุนอวี๋อันเฝ้ารอมาพักใหญ่แล้ว“ท่านผู้นำ ข้าสั่งให้เหล่าแรงงานเตรียมพร้อมแล้ว พวกเขาพร้อมจะเริ่มงานได้ทุกเมื่อขอรับ!”“ข้าได้แจกจ่ายแบบแปลนให้แก่พวกเขาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง...”ฉุนอวี๋อันพูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป สีหน้าบ่งบอกถึงความลำบากใจ“ต้องการเงินเท่าใด?”หวังหยวนทราบความคิดของเขาในทันทีจึงเอ่ยถามออกไป“ท่านผู้นำฉลาดหลักแหลมยิ่งนักขอรับ!”“ใช่แล้วขอรับ เพียงแค่ต้องการเงินจำนวนหนึ่ง!”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมืองอู่เจียงไม่ได้มีเงินทองมากมาย จึงไม่เพียงพอที่จะใช้ในการก่อสร้างครั้งนี้”“ข้าจึงจำต้องมาแจ้งเรื่องนี้กับท่านผู้นำขอรับ...”ฉุนอวี๋อันรีบกล่าว“เจ้าไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว ต้องการเงินเท่าใดก็บอกมาเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้”หวังหยวนไม่ได้ขาดแคลนเงินทองนั่นคือเรื่องเดียวที่เขาได้เปรียบในบรรดาอาณาจักรทั้งสี่ฉุนอวี๋อันรีบนำบัญชีรายรับรายจ่ายที่รวบรวมไว้มาให้หวังหยวน “ข้าได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดไว้แล้ว ท่านผู้นำโปรดพิจารณา หากไม่มีปัญหาอะไรก็โปรดอนุมัติตามจำนวนนี้ด้วยขอรับ”หวังหยวนรับม
ถ้อยคำของตงฟางฮั่นมีความหมายแฝงอยู่ แต่หวังหยวนก็เข้าใจในทันที“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านหมายถึงพรรคทมิฬใช่หรือไม่?”ตงฟางฮั่นยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วพยักหน้า“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนที่ข้าคิด สามารถสังเกตเห็นพรรคทมิฬได้เร็วถึงเพียงนี้!”เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ สีหน้าของเกาเล่อก็เปลี่ยนไปเช่นกันหลังจากจับกุมสาวกของพรรคทมิฬได้หลายคน เกาเล่อและหวังหยวนก็รู้เรื่องของพรรคทมิฬมากขึ้น และในช่วงนี้เกาเล่อก็ได้ส่งคนจำนวนมากไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพรรคทมิฬแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์มากนักแสดงให้เห็นว่าคนของพรรคทมิฬนั้นเหมือนพวกหนูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด!การขุดคุ้ยเรื่องคนเหล่านี้ต้องใช้เวลา!“แล้วเหตุใดคนของพรรคทมิฬถึงได้ทำร้ายท่านเล่า?” “หรือว่าพวกท่านเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน?”หวังหยวนเคาะโต๊ะเบา ๆ สายตาจ้องมองไปที่ตงฟางฮั่นอีกครั้งตงฟางฮั่นส่ายหน้าแล้วยิ้มเยาะ “ข้าจะไปเข้าร่วมกับคนพวกนั้นได้อย่างไร?” “ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินชื่อของข้ามาจากไหน จึงได้มาติดต่อข้า หวังว่าข้าจะเข้าร่วมพรรคทมิฬ!” “แต่ข้าได้ปฏิเสธพวกเขามาหลายครั้งแล้ว” “แต่พวกเขาก็ยังคงตามติดไม่เลิก ก่อนหน้านี้พวกเขาย