“โรงน้ำชาลมโชยแห่งนี้ช่างหรูหรายิ่งนัก”“ไม่เพียงแต่มีคนเล่าเรื่องเท่านั้น แต่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าชั้นสองยังมีคนเล่นกู่ฉินด้วย คงจะมีนักปราชญ์และกวีมากมายที่ชอบมาที่นี่ใช่หรือไม่?”“เจ้าเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น คิดได้อย่างรอบคอบจริง ๆ”“นักปราชญ์และกวีเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกคุยโว ถึงแม้ว่าในแต่ละวันจะเหมือนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าหากมีคนมาหาเรื่องที่โรงน้ำชาลมโชย คนเหล่านี้ก็คงจะไม่นิ่งเฉย ข้าพูดถูกหรือไม่?”หวังหยวนมองสำรวจทุกสิ่งในโรงน้ำชาลมโชยไม่มีอะไรที่หลุดรอดสายตาของเขาไปได้เกาเล่อเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยคำใดหวังหยวนมอบหมายให้เขารับผิดดูแลเครือข่ายสายลับ เขาก็จะไม่ยอมให้สายลับเกิดความผิดพลาดใด ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สมกับที่หวังหยวนไว้วางใจเขาหวังหยวนคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เรื่องนี้เขาจะไม่มีวันลืมขณะที่กำลังคุยกัน พนักงานก็พาพวกเขามาที่ห้องห้องหนึ่งด้านหลัง เมื่อพนักงานเคาะประตู ประตูก็เปิดออกช้า ๆแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงที่มีแดดจ้า แต่ภายในห้องกลับมืดมิด และเนื่องจากคนที่อยู่ในห้องเปิดประตูไว้เพียงเล็กน้อย จึงมองไม่เห็นสถานการณ์ภายในได้ช่างน่าลึกล
“เจ้าเล่ามาให้ละเอียดหน่อยเถิด เรื่องนี้คงจะมีที่มาที่ไป ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น โดยไม่มีข่าวลือมาก่อน แล้วก็เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่?”หวังหยวนรีบสอบถามสิ่งที่ผิดปกติย่อมมีเหตุผลเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่คนอื่นไม่รู้ จึงได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ แล้วก็เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ชายวัยกลางคนเพิ่งสังเกตเห็นหวังหยวนที่นั่งอยู่ข้าง ๆเมื่อสักครู่นี้เขาสนใจแต่เกาเล่อ จนไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินตามเกาเล่อเข้ามาด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นตระหนกมากแค่ไหนเขาเผลอหันไปมองเกาเล่อ ราวกับจะถามว่าหวังหยวนเป็นใคร“ท่านผู้นี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังองค์กรเครือข่ายผีเสื้อ หวังหยวน คงจะเคยได้ยินชื่อกระมัง?”ชื่อเสียงติดฟ้า ดั่งเงาไม้ยืนยงเกาเล่อพูดเพียงประโยคเดียว ชายวัยกลางคนก็รู้ตัวตนของหวังหยวนแล้ว เขารีบก้มลงคุกเข่าต่อหน้าหวังหยวน แล้วพูดอย่างรีบร้อน “ปรากฏว่าเป็นท่านหวังมาด้วยตนเอง”“ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ!”หวังหยวนโบกมือคล้ายจะไม่ถือสา เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วเริ่มเข้าสู่ประเด็น “พูดมาตามตรงเถิด เมื่อไม่นานมานี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นหรือ
“ฝ่ายตรงข้ามลงมืออย่างรวดเร็วและเฉียบขาด สมาชิกองค์กรเครือข่ายผีเสื้อทั้งหมดถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาเป็นอย่างดี”“หลังจากนั้น ข้าก็สืบหาอยู่เบื้องหลัง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น ข้าจึงไม่กล้าประกาศให้รู้โดยทั่วกัน การเคลื่อนไหวของข้ายังไม่เพียงพอ จึงไม่พบเบาะแสใด...”“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเองขอรับ!”เกาเล่อไม่ได้เอ่ยคำใด สายตาของเขากลับมองไปที่หวังหยวนในตอนนี้ อำนาจการตัดสินใจทั้งการให้ชีวิตและความตาย ล้วนตกอยู่ในมือของหวังหยวน จะปล่อยให้ชายตรงหน้ามีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหวังหยวนหวังหยวนโบกมือช้า ๆ “ไม่เป็นอะไร เจ้าทำถูกแล้ว เมื่อเราเปิดเผยฐานที่มั่นแห่งหนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถเปิดเผยฐานที่มั่นที่เหลือให้คนอื่นล่วงรู้ได้”“โรงน้ำชาลมโชยก็ถือว่าเป็นหูเป็นตาของข้าในเมืองหลวง ตอนนี้เจ้ามีความกดดันมากขึ้นแล้ว ข่าวสารทั้งหมดก็ต้องพึ่งพาเจ้าในการรวบรวม”“แต่จำไว้ว่า ถ้าหากพบว่าตัวเองถูกคนอื่นล่วงรู้เบาะแส ให้รีบออกจากเมืองหลวงทันที ข่าวสารนั้นสำคัญ แต่ชีวิตคนสำคัญกว่า!”คำพูดของหวังหยวนทำให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าถึงกับ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ที่หน้าประตูวังหลวงหวังหยวนยืนสบาย ๆ อยู่หน้าทหารรักษาเมืองสองสามนาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “รีบไปบอกฮองเฮาไป๋ว่าเพื่อนเก่าอย่างหวังหยวนมาขอพบ หวังว่านางจะให้เกียรติข้าด้วยการออกมาพบหน้าสักหน่อย”ทหารนายหนึ่งพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในวังหลวงถ้าหากเป็นคนอื่นกล้าเรียกชื่อของฮองเฮาในที่สาธารณะคงจะไม่รอดตัวไปง่าย ๆแต่ตอนนี้คนที่พูดคือหวังหยวน สถานะย่อมต่างออกไป พวกเขาเองก็รู้ว่าหวังหยวนเป็นใคร จึงยินดีเปิดทางให้ผ่านไปชั่วธูปหนึ่งดอกไหม้หมด ทหารนายนั้นก็พาหวังหยวนไปที่วังหลวงชั้นในเพียงไม่นาน หวังหยวนและไป๋เหยียนเฟยก็ได้พบกันเพียงแต่ว่าตอนนี้ไป๋เหยียนเฟยได้เปลี่ยนมาสวมชุดสีเหลือง ดูสง่างามเป็นอย่างมาก“ดูเหมือนว่าท่านเตรียมจะขึ้นครองราชย์แล้วใช่หรือไม่?”ทันทีที่ได้พบหน้า หวังหยวนก็ถามขึ้นมา“ขึ้นครองราชย์แล้วจะเป็นอย่างไร? ใครบอกว่าสตรีจะครองราชย์ไม่ได้?”ไป๋เหยียนเฟยถามกลับ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามของผู้ที่มีอำนาจตอนนี้นางไม่เหมือนเดิมแล้วก่อนหน้านี้ในราชวงศ์ต้าเย่ยังมีจีหย่งคอยต่อต้านนาง แต่ตอนนี้ นางได้กำจัดคนที่ขวางทางนางทั้
“ถ้าหากท่านยังไม่บอกความจริงกับข้า ก็อย่าโทษข้าที่ทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ...”ท่าทีของหวังหยวนก็แข็งกร้าวขึ้นมาไม่น้อยแม้ว่าไป๋เหยียนเฟยจะไม่เหมือนเดิม แต่เขาก็ยังเป็นหวังหยวนคนเดิมไป๋เหยียนเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโบกมือให้ข้าราชบริพารและนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ ออกไป แล้วจึงเดินมาหาหวังหยวน และกล่าวว่า “บางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะยุ่งได้...” “เหมือนกับคนที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าเป่ย”“ที่ไป๋ชิงชางสามารถควบคุมราชวงศ์ต้าเป่ยได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนก็รู้ว่าเบื้องหลังของเขาคืออะไร”“และตอนนี้ข้าก็เป็นเช่นนั้น ข้าเองก็มีกองกำลังที่ท่านไม่สามารถเทียบได้อยู่เบื้องหลังเช่นกัน”“พวกเขาไม่ได้ต้องการลงมือกับคนของท่าน และข้ากับพวกเขาก็ไม่ได้เจตนาที่จะเป็นศัตรูกับท่าน ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษคนของท่านที่ไม่รู้จักกาลเทศะ พวกเขายื่นมือมาไกลเกินไป จึงทำให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้...”“พูดแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ข้าจะไม่พูดอะไรอีก...”“รู้มากเกินไปก็ไม่ดีกับท่านหรอก ดังนั้นท่านรีบออกไปได้ซะเถอะ”สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ไป๋เหยียนเฟยถือว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้วหวังหยวนยืนนิ่งอึ้งอ
“ไม่อร่อยเลยสักนิด”เมื่อได้เคี้ยวข้าวสาลีผสมถั่ว หวังหยวนวางชามดินเผาลง รู้สึกเหมือนกินแกลบไม่มีผิด ตอนนี้ใครมาบอกว่าการข้ามกาลเวลามันดี เขาก็พร้อมที่จะบอกความในใจให้พวกเขา ข้ามกาลเวลามาถึงช่วงราชวงศ์ต้าเย่ คล้ายช่วงยุคสมัยโบราณของจีน เจ้าของร่างเดิมเป็นเป็นเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มข้าวฟ่าง เที่ยงได้กินข้าวผสมข้าวฟ่าง ตอนเย็นได้กินเซาปิ่งพร้อมธัญพืชผสม ทุก ๆ สิบวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในเมือง ถึงจะได้กลับมากินให้หายอยากได้สำหรับคนทั่วไป แต่ละวันกินข้าวต้มข้าวฟ่าง หรือข้าวสาลีผสมถั่ว ส่วนเนื้อนั้นในช่วงปกติอย่าไปคิดถึงมันเลย คงมีแค่ช่วงฉลองตรุษจีนเท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อบ้าง ส่วนแป้งและข้าวสารนั้นเป็นที่นิยมของเจ้าของที่ดิน คหบดีและขุนนาง นึกถึงพวกไข่ เนื้อหมู ไก่ ปลา บนโลกที่ถูกทิ้ง หวังหยวนอดที่จะตีตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ขอโทษนะ ในบ้านไม่มีข้าวฟ่างแล้ว ให้ท่านที่เป็นบัณฑิตเพิ่งหายป่วยกินข้าวสาลีผสมถั่วเช่นนี้?” แววตาของหวังหยวนมีประกายขึ้นมา สาวน้อยคนสวยที่ท่าทางขี้ขลาดยืนอยู่หน้าห้องโ
หวังหยวนเลิกคิ้ว "ถ้าข้าทำได้ล่ะ?" หลิวโย่วไฉเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ "ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่คิดดอกเบี้ย! แต่ถ้าทำไม่ได้ เจ้าจะต้องขายตัวเองเป็นคนรับใช้นายของข้า ว่าอย่างไรบ้าง?" หลี่ซื่อหานหน้าถอดสี “ท่านพี่ อย่ารับปากนะ!” เจ้าของที่ใจดำคนนี้ต้องการให้เขาขายตัวเองเป็นทาส หวังหยวนโกรธมาก แต่เขาเดินไปเขียนสัญญาสองฉบับและหยิบแผ่นหมึกสีแดงออกมา "เขียนชื่อและประทับนิ้วซะ!" “ได้!” หลังจากเขียนชื่อด้วยลายมือน่าเกลียด และประทับลายนิ้วมือสีแดงแล้ว หลิวโย่วไฉก็เดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ คนเสเพลเช่นนี้ เขาไม่มีหาเงินสี่สิบกว้านได้ภายในสามวันอย่างแน่นอน แม้ว่าครอบครัวของสาวน้อยจะร่ำรวย แต่พวกเขาก็อยากให้นางทิ้งคนเสเพลพรรค์นี้อยู่เสมอ ดังนั้นการยืมเงินคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ การเดิมพันครั้งนี้ จะได้ทาสมาฟรี ๆ และสามารถขายได้ต่อในราคาหลายสิบกว้านด้วย! เข้าใกล้เป้าหมายที่ตระกูลหลิวจะครอบครองที่ดินพันหมู่ไปอีกหนึ่งเก้า 'สามีภรรยา' ยืนอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้าน “ซื่อหาน” หวังหยวนอยากจะปลอบนาง หลี่ซื่อหานเช็ดน้ำตา และรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน หวังหยวนเข้าใจว่านี่เป็นทำร้าย
งานที่เหลือใช้แรงออกน้อยกว่ามาก แค่ล้างรากหญ้าแล้วบดในครกหิน หลังจากทำงานยุ่งมานาน หวังหยวนรู้สึกเหนื่อยมากจนปวดหลังไปหมด เขาจึงเอารากหญ้าที่ตำใส่ถังน้ำ จึงค่อย ๆ เดินทอดน่องไปที่ริมแม่น้ำ หวังหยวนเห็นพวกปลาแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ เขาจึงโรยแป้งหมี่ถั่วเหลืองและน้ำลงไป ด้วยเหยื่อที่วางลงไป จำนวนปลาที่รุมเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ หวังหยวนค่อย ๆ เทของเหลวที่ได้จากการตำรากหญ้าลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อน้ำที่ได้จากการตำรากหญ้านั้นกระจายตัว ปลาที่ค่อย ๆ ลอยหงายท้องขึ้นมาจากน้ำ หนึ่งตัว! สองตัว! ... หลังจากนั้นสักพัก หวังหยวนก็จับปลาตัวใหญ่ได้แปดตัว และตัวเล็กอีกสิบห้าตัว ปลาตัวใหญ่หนักประมาณสองกิโลครึ่ง ตัวเล็กหนักประมาณสองร้อยห้าสิบกรัม ปลาที่เล็กกว่านี้ก็ปล่อยมันไป เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หวังหยวนก็กลับบ้านด้วยของที่เต็มตะกร้า ผ่านกระท่อมมุงหลังคาจากสี่หลัง คอกวัวและลานเล็ก ๆ ที่ล้อมรั้วทางด้านตะวันออกของหมู่บ้าน “ลุงหานซาน!” หวังหยวนตะโกนเรียกเขา เด็กน้อยน่ารักที่เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยสวมเสื้อคลุมยัดนุ่นวิ่งออกมาจากเรือน ไปมองดูหวังหยวนในชุดคลุมตัวอย่างสงสัยและเขินอาย "หวั