“ฝ่าบาท เราจะถอยทัพหรือ...”สายตาของไป๋ฝูซานมองไปที่ไป๋ชิงชาง รอคอยคำตอบจากเขาหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิงชางจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าจงกลับไปที่ค่ายทหารก่อน จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย อย่าเพิ่งถอยทัพ!”“ข้ารู้ว่าเจ้าแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ขอให้เจ้าจดจำความอับอายไว้และตั้งใจต่อสู้ ข้าเชื่อว่าครั้งหน้าเจ้าจะไม่พ่ายแพ้เช่นนี้อีก!”“แม้ว่าจะมีหวังหยวนเข้ามาแทรกแซง แต่เหล่าขุนนางในราชสำนักก็ยังคงมีอคติต่อเจ้ามากนัก แต่ข้ายังคงให้ความสำคัญกับเจ้า!”“ดังนั้น ต่อไปนี้อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีก”ไป๋ฝูซานรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความขอบคุณไม่ว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักจะมองอย่างไร ตราบใดที่ไป๋ชิงชางยังคงอยู่ข้างเขาเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่สำคัญไม่นานเขาก็ได้เอ่ยลาไป๋ชิงชาง แล้วเดินทางไปยังค่ายทหาร“หวังหยวน เจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจนัก”“ตอนนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งนี้ หากเจ้าแตะต้องผลประโยชน์ของข้าหรือของอาณาจักร ข้าก็ไม่อาจไว้ชีวิตเจ้าได้...”“ยิ่งกว่านั้น เบื้องหลังข้ายังมีซานไว่ซาน ข้ามีเรื่องให้กังวลใจมากมายพออยู่แล้ว”ไป๋ชิงชางนวดขมับของตนเองพลางพึ
“ได้เจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่หน้าประตูห้อง ตามมาด้วยการปรากฏตัวของหลี่ซื่อหาน หวงเจียวเจียว และหูเมิ่งอิ๋งเดินเข้ามา“สามีจะออกไปข้างนอกหรือ?”หลี่ซื่อหานเป็นผู้เอ่ยถามก่อนพวกนางเพิ่งจะเดินผ่านห้องของเสวี่ยเชียนหลง ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอยู่ในห้อง จึงตัดสินใจเดินเข้ามาหวังหยวนไม่ได้ปิดบังสิ่งใด จึงยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงอธิบายสั้นๆ“ถูกต้อง พวกเราสองคนจะออกไปที่ซานไว่ซาน”“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องพานางกลับบ้านก่อน”“ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่ได้จัดการที่ซานไว่ซานและเทียนไว่เทียน ก่อนหน้านี้ที่จากมานั้นรีบร้อนเกินไป”“ดังนั้นคราวนี้จึงต้องกลับไปจัดการให้เรียบร้อย”ยังมีความลับซ่อนอยู่อีก นั่นคือเรื่องราวของราชวงศ์ทั้งสองบัดนี้หวังหยวนมั่นใจแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดในเวลานี้ล้วนเกี่ยวพันกับผู้คนจากซานไว่ซาน และซานไว่ซานยังได้ส่งผู้ที่มีฝีมือมาช่วยไป๋ชิงชางในการควบคุมราชวงศ์ ในขณะเดียวกันก็ส่งกองกำลังไปยังต้าเย่!เรื่องราวทั้งหมดนี้จำเป็นต้องทำให้กระจ่างเสียก่อนจึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด“เจ้าค่ะ
“วางใจเถิด แม้ว่าข้าจะต้องตาย ข้าก็จะปกป้องเหล่าภรรยาแสนสวยของท่านให้ดีขอรับ”เกาเล่อกอดอกพลางพูดด้วยรอยยิ้มหวังหยวนกลอกตาไปหนึ่งรอบ “เจ้าคนนี้ อย่าพูดจาเหลวไหลได้หรือไม่? จะพูดถึงความตายอยู่เสมอไปเพื่ออะไร? จะเป็นลางไม่ดีหรือไม่?”เห็นว่าจะออกเดินทางแล้ว หวังหยวนจะรู้สึกดีได้อย่างไรเมื่อได้ยินเกาเล่อพูดเช่นนี้ต้าหู่และเอ้อหู่ต่างก็ยิ้มแหยเกาเล่อเกาหัว เมื่อเห็นว่าหวังหยวนโกรธจริง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น เหตุใดถึงต้องจริงจังเช่นนี้ด้วยเล่าขอรับ?”แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของเขากลับรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษหวังหยวนปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่น้องที่แท้จริง จึงได้ตักเตือนเขา“เอาล่ะ เรื่องราวต่าง ๆ ได้สั่งการให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรกับพวกเจ้าอีกแล้ว”“พวกเจ้าทุกคนเป็นพี่น้องของข้า ข้าไม่เชื่อใจผู้ใด แต่ข้ากลับเชื่อใจพวกเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข”ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกซาบซึ้งใจหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หวังหยวนก็ออกเดินทางพร้อมกับเสวี่ยเชียนหลง โดยมุ่งหน้าไปยังเทียนไว่เทียนดังนั้นการกระทำของผู้คนจากกองกำลังต่าง ๆ จึงยังอยู่ในขอบเขตการควบคุมของเ
เสวี่ยเชียนหลงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็โอบกอดแขนหวังหยวนเอาไว้ พลางซบหน้าลงบนไหล่ของเขาในตอนนี้ความสุขที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างหากสามารถหยุดเวลาวินาทีนี้ไว้ได้ก็จะไม่มีความโศกเศร้าหรือความสุขในโลกนี้อีก มีเพียงแค่การอยู่เคียงข้างคนรักก็นับว่าเป็นความโชคดีในชีวิตแล้ว!หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งสองก็ได้เดินทางกลับมาถึงเทียนไว่เทียนแล้วเจิ้งอู๋หมิ่นซึ่งได้รับข่าวล่วงหน้าว่าหวังหยวนและเสวี่ยเชียนหลงกำลังเดินทางกลับมา ได้มาเฝ้ารออยู่ที่ทางเข้าเทียนไว่เทียน เมื่อเห็นเงาของทั้งสอง เขาก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มก่อนหน้านี้เขาพยายามต่อต้านหวังหยวนทุกวิถีทาง แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะความไม่พอใจเท่านั้นแต่เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกันก็ได้เปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรจนกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน“ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้พบท่านอีกครั้ง”“ดูเหมือนท่านจะมีมโนธรรมอยู่บ้างจึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้”“คืนนี้เราทั้งสองต้องเมาจนไม่รู้สึกตัวด้วยกันให้ได้!”เจิ้งอู๋หมิ่นเอ่ยขึ้นสองสามประโยค จากนั้นก็โผเข้ากอดหวังหยวนหวังหยวนโบกมือแล้วกล่าวว่า “คืน
แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยความรู้สึกเปลี่ยนไปเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจแม้ว่าหวังหยวนจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา แต่กลับไม่ได้ใส่ใจ กลับยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะกล่าวต่อว่า “เพราะว่าผู้คนจากซานไว่ซานได้เคลื่อนไหวแล้วอย่างไรเล่าขอรับ”“แม้กระทั่งแทรกแซงเรื่องราวระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง”“ข้ากังวลว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขาอีกต่อไปขอรับ”“ไม่สู้ฉีกหน้ากันไปเลยดีกว่า ท่านเสวี่ยโส่วจุนคิดเห็นอย่างไรขอรับ?”เมื่อพูดจบ สายตาของหวังหยวนก็จับจ้องไปที่เสวี่ยโส่วจุนแม้ว่าเขาจะเป็นเสวี่ยโส่วจุนที่สูงส่ง แต่หวังหยวนก็ไม่มีความเกรงกลัวหรือความกังวลใด ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเพราะอย่างไรเสีย ตนก็ไม่ได้ถูกคนอื่นควบคุมอยู่ดี แล้วมีอะไรจะต้องหวาดกลัว?เสวี่ยโส่วจุนมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะกล่าวว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพูดเช่นนี้?”คำพูดเช่นนี้ไม่สามารถพูดมั่วได้ ไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายระหว่างเทียนไว่เทียนและซานไว่ซาน หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา ผลลัพธ์คงจะเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง!เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นแม้ว่าเขาจะเป็นเสว
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หวังหยวนก็พยักหน้าโดยไม่ลังเลยามนี้ทำได้เพียงเท่านี้“ข้าจะรอข่าวจากท่านขอรับ”“แต่ท่านต้องรีบตอบกลับข้าโดยเร็วที่สุด อย่าให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย หากมันเกินการควบคุมขึ้นมาแล้วจะไม่ใช่เรื่องที่ท่านหรือข้าจะรับมือได้นะขอรับ”หลังจากทิ้งคำพูดสองประโยคไว้ หวังหยวนก็พาเสวี่ยเชียนหลงจากไปส่วนเสวี่ยโส่วจุนนั้นยังคงนั่งอยู่ในห้องโถงเช่นเดิม ขณะเดียวกันก็จมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความคิดก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อคำพูดของหวังหยวนเลยดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในซานไว่ซานและเทียนไว่เทียนล้วนเป็นตระกูลนักรบทั้งสิ้น และเมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไม่ว่าในกรณีใด!ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้ทำลายสมดุลในโลกมนุษย์แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพลังวิเศษที่จะย้ายภูเขาถมทะเลได้ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพย่อมเก่งกาจกว่าคนธรรมดาหลายเท่าหากพวกเขาก้าวเข้าสู่สนามรบ แม้แต่ทหารสวมเกราะหลายสิบนายก็คงไม่อาจต้านทานการโจมตีของพวกเขาเพียงคนเดียวได้!แต่เมื่อได้ยินหวังหยวนเอ่ยถึงชื่อซือถูอวี่แล้ว เขาก็อดใจหายวาบไม่ได้
แต่เมื่อมีการตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว!แต่คนจากตระกูลเจิ้งแห่งไท่หยวนกลับหัวเราะออกมาสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ“ข้ากลับคิดว่าหวังหยวนไม่ได้หลอกเรา”“ข้าว่าพวกท่านต่างหากที่กำลังหลอกตัวเองอยู่ ใช่หรือไม่?”“หรือว่าพวกท่านไม่รู้สถานะของซือถูอวี่ในซานไว่ซาน?”“ไม่ว่าเมื่อใด เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งซานไว่ซาน!”“ดังนั้นการกระทำของเขาย่อมเป็นตัวแทนของซานไว่ซานได้ ตอนนี้เขาได้นำเหล่ายอดฝีมือในยุทธภพเข้าสู่ราชวงศ์ต้าเป่ยแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ได้หรอกหรือ?”“เห็นได้ชัดว่าผู้คนในซานไว่ซานมีแผนการบางอย่าง!”“แต่สิ่งที่ทำให้ข้าขบขันก็คือหวังหยวนเดินทางมาไกลเพื่อนำข่าวมาบอกเรา ให้เราเตรียมตัวรับมือแต่เนิ่น ๆ หรือแม้กระทั่งฉวยโอกาสแย่งชิงความได้เปรียบ แต่พวกท่านกลับไม่เชื่อในความปรารถนาดีของเขา แถมยังกล้ามาพูดจาจาบจ้วงที่นี่?”“ข้าไม่อยากร่วมมือกับพวกท่านเลย!”แม้ว่าตระกูลเจิ้งแห่งไท่หยวนจะเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้งอู๋หมิ่นกับหวังหยวนก็ดีมาก จึงทำให้ตระกูลเจิ้งให้ความสำคัญกับหวังหยวนมากขึ้น!และพวกเขาก็เ
ขณะนี้หวังหยวนกับเสวี่ยเชียนหลงกำลังดื่มสุรากับเจิ้งอู๋หมิ่นในโรงเตี๊ยมเดิมคิดว่าจะไม่มีเวลาสนทนากับพี่น้อง แต่เสวี่ยโส่วจุนยังคงให้เขารอต่อไป จึงได้โอกาสมาดื่มสุราสนทนากันแล้วเหตุใดจะไม่ทำเล่า?“ท่านน่าจะเป็นหวังหยวนใช่หรือไม่?”“เสวี่ยโส่วจุนส่งข้ามา บัดนี้คนจากแปดตระกูลใหญ่ได้มารวมตัวกันที่จวนแล้ว กำลังรอท่านอยู่”“หวังว่าท่านหวังจะไปกับพวกเรา”ชายหนุ่มสองคนในชุดสีขาวมายืนอยู่ที่โต๊ะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแม้ดูเหมือนจะให้ความเคารพหวังหยวน แต่ถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยความดูถูกเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับหวังหยวนเลยแต่คิดดูก็คงจริงอยู่ พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง แม้จะอายุยังน้อย แต่ย่อมมีฐานะสูงกว่าหวังหยวนและพวกพ้องในสายตาของจอมยุทธ์เหล่านี้ ชาวบ้านธรรมดาอย่างหวังหยวนก็คงเป็นเพียงมดปลวกไร้ค่าเท่านั้น ไม่คู่ควรให้ชายตามองด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะเสวี่ยโส่วจุน พวกเขาคงไม่แม้แต่จะสนใจหวังหยวน“ปรากฏว่าท่านเสวี่ยโส่วจุนเชิญแล้วงั้นหรือ?”“ดูเหมือนเรื่องราวคงจะได้ข้อสรุปแล้ว เช่นนั้นเราไปพบท่านกันเถิด”“ข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าผู้คนจากแปดตระกูลใหญ่จะว่า