นายน้อยแห่งตระกูลเจิ้งไม่ได้หันกลับมามอง เขาเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูในอดีตจะกลายมาเป็นมิตรได้เขายกยิ้มแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับหวังหยวน“นับว่าเราได้รู้จักกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้จักกันมานานแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้บอกชื่อของข้าเลย ข้าชื่อเจิ้งอู๋หมิ่น หวังหยวน เจ้าจงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถเป็นสหายกันได้ในเร็ววันนี้ แต่ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้พบกันอีก”หลังจากที่เจิ้งอู๋หมิ่นพูดจบ เขาก็หันหลังโบกมือลาแล้วเดินจากไปหวังหยวนมองตามหลังเขา มุมปากปรากฏรอยยิ้มจาง“เอ๊ะ พวกท่านลืมข้าไปแล้วหรือไร? หากไม่มีอะไรแล้ว เราก็กลับกันเถิด ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีอยู่เสมอเมื่ออยู่ในจวนตระกูลเจิ้ง การแข่งขันรอบที่สามจะประกาศในเร็ว ๆ นี้แล้ว จึงควรกลับไปเตรียมตัวเจ้าค่ะ”เสวี่ยเชียนหลงก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกได้ถึงความวังเวงน่ากลัว ราวกับมีกลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ไปทั่ว เมื่อนางอยู่ในจวนตระกูลเจิ้ง ทั้งที่มีแสงแดดส่องสว่างสดใส เสียงนกร้องไพเราะ และมีดอกไม้ป่างามตาขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่งเมื่อหวังหยวนหันไปมองเสวี่ยเชียนหลง เขาก็เห็นว่าคิ้วของนางขมวดเข้า
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หวังหยวนก็รู้สึกแปลกใจก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หรือว่าเสียงนินทาเหล่านั้นเคยทำให้เชียนหลงรู้สึกแย่ จึงทำให้นางรู้สึกไวต่อคำติฉินนินทามากถึงเพียงนี้?พี่ชิงอีเดินไปยืนข้างหวังหยวนพลางมองตามหลังเสวี่ยเชียนหลงที่เดินจากไป แล้วก็เดินกลับไปพร้อมกับหวังหยวนอย่างตลอดทางทั้งสองพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับอดีตของเชียนหลง รวมถึงเรื่องที่นางป่วยเป็นโรคหนาวสั่นหวังหยวนไม่รู้ พี่ชิงอีก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่องเมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลเสวี่ย หวังหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วมาก แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเขาเข้าใจว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการบาดเจ็บภายในคงเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงมากเกินไปเขาเดินไปที่หน้าห้องของเสวี่ยเชียนหลงและต้องการจะเคาะประตู แต่สุดท้ายก็เดินจากไป เขาคิดว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปเมื่อเขาได้เป็นผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์เพื่อสู่ขอแล้ว เขาจะมาสู่ขอเสวี่ยเชียนหลงอย่างเปิดเผย และบอกกับนางว่าโรคหนาวสั่นนั้นไม่ได้น่ากลัว เขาจะช่วยนางเอง!เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันก็มาถึงและการแข่งขันรอบสุดท้ายก็มาถึ
เมื่อรับของเหล่านั้นแล้ว หวังหยวนก็หันหลังเตรียมจะเริ่มออกเดินทางจะมีคนรับใช้พาเขาไปยังป่ามรณะแต่ก่อนจะก้าวออกจากประตู หวังหยวนก็หันกลับไปมองเสวี่ยเชียนหลงราวกับมีกระแสจิต เขาจึงรู้สึกว่าเสวี่ยเชียนหลงเป็นห่วงเขา เขายิ้มเพื่อบอกให้เสวี่ยเชียนหลงไม่ต้องกังวล เพียงแค่รอให้เขากลับมาอย่างสบายใจก็พอเมื่อส่งยิ้มให้แล้ว หวังหยวนก็หันหลังจากไปเขาขี่ม้าติดตามคนรับใช้ไปนานเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดก็มาถึงป่ามรณะ“เห็นป้ายนี้หรือไม่ ข้างหน้าคือป่ามรณะ เมื่อก้าวเข้าไปที่นั่นจะมีสัตว์ป่ามากมายมาโจมตีท่าน ข้าจะบอกเพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีขอรับ”คนรับใช้ได้เห็นการแข่งขันสองครั้งก่อนหน้าของหวังหยวนแล้ว จึงรู้สึกว่าหวังหยวนก็เป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากด้วยความเสียดายคนที่มีความสามารถ เขาจึงเตือนด้วยความหวังดีเมื่อคนรับใช้จากไปแล้ว หวังหยวนก็ไม่ลังเลที่จะถือข้าวของเดินเข้าไปยังป่ามรณะเมื่อก้าวข้ามป้ายนั้นไปแล้ว เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไป ปรากฏว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเทียนไว่เทียนหลังจากการประชุมเล็ก ๆ สิ้นสุดลง เสวี่ยเชียนหลงและนักพรตช
เขารู้สึกหิวโหยนักจึงจำต้องหาของกินมาประทังชีวิต ไม่เช่นนั้นตนอาจสิ้นใจลงก่อนที่จะได้ลงมือกระทำการใดด้วยซ้ำด้วยความที่เขาเดินทางข้ามเวลามาจากยุคสมัยใหม่ จึงชอบดูคลิปวิดีโอของชายนามว่าแบร์ กริลส์มาก คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้นำความรู้ดังกล่าวมาใช้ในสถานที่เช่นนี้ เขาสร้างกับดักง่าย ๆ ตามวิธีที่แบร์ กริลส์เคยสอนทำในคลิปวิดีโอ บัดนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาเหยื่อล่อมาทว่าจะหามาได้จากที่ใดเล่า?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงใบหญ้าเสียดสีกันก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้ข้างกายเขาตึงเครียดขึ้นทันใด กำมีดสั้นไว้ในมือแน่น หากมีสัตว์ป่าปรากฏตัวขึ้น เขาก็พร้อมจะสู้ตาย!ทว่ากระต่ายป่าตัวหนึ่งกลับกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหวังหยวนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์ป่าอื่นซ่อนตัวอยู่อีก หวังหยวนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นเขาก็ได้มองไปยังกระต่ายป่าตัวน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้าตนโชคดีนักที่เหยื่อล่อมาหาถึงที่หวังหยวนจึงจับกระต่ายป่ามาได้โดยง่ายดาย จากนั้นเขาก็ใช้เลือดกระต่ายป่าที่มีกลิ่นคาวล่อสัตว์ป่าในบริเวณใกล้เคียงบริเวณโดยรอบมีพุ่มไม้มากมาย หวังหยวนจึงได้หาโคลนมาพอกที่ตัวเพื่อกลบกลิ่นต
คนเช่นนี้ยังจำเป็นต้องให้พวกเขาคอยปกป้องอีกหรือ?“ไม่เช่นนั้นเราก็กลับไปกันเถิด ดูจากลักษณะเขาแล้วไม่น่าจะต้องการให้เราปกป้องเลยนะ!”“ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุน เราจึงควรเฝ้ารออยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เราปกป้องก็ตาม เราก็ต้องอยู่ที่นี่”เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขาถกเถียงกันว่าควรจะจากไปดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุนได้ในดินแดนรกร้างเช่นนี้ หากปราศจากหินเหล็กไฟ ก็ทำได้เพียงแต่พยายามใช้ไม้ก่อไฟเท่านั้นไม่เหมือนกับในยุคสมัยที่เขาเคยอาศัยอยู่ที่มีไฟแช็กเครื่องมือขนาดเล็กที่สะดวกสบาย เพียงพกไว้ในกระเป๋าก็สามารถนำติดตัวไปได้ทุกหนแห่งแต่บัดนี้เขาต้องพกหินหนัก ๆ สองก้อนไว้กับตัว และยังต้องเอามากระทบกันอยู่นานกว่าจะติดไฟหวังหยวนใช้มีดสั้นถลกหนังหมูป่าที่ตายแล้วออกและปล่อยเลือดออก จากนั้นก็หั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆแล้วใช้กิ่งไม้ที่เก็บมาได้เสียบชิ้นเนื้อที่หั่นไว้ทีละชิ้น แล้วนำไปวางบนเตาปิ้งย่างที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆเตาปิ้งย่างนี้ทำขึ้นอย่างหยาบ ๆ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดใหญ่จำ
เหล่าองครักษ์กลุ่มนี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง แต่พวกเขาก็ยังชื่นชมหวังหยวนอย่างมากหากให้พวกเขาไปอยู่ในป่ามรณะ พวกเขาก็คงนึกวิธีเหล่านี้ไม่ออก และคงไม่สามารถอยู่รอดได้ถึงสามวันเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หวังหยวนจึงดูเก่งกาจยิ่งกว่า จนทำให้พวกเขาตัดสินใจว่าเมื่อออกไปแล้วจะต้องขอให้หวังหยวนเป็นอาจารย์แม้ว่าหวังหยวนจะไม่ยินยอม พวกเขาก็จะอ้อนวอนจนกว่าหวังหยวนจะยอมรับพวกเขาเป็นศิษย์!ในที่สุดวันแรกก็ผ่านพ้นไป หวังหยวนปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำอย่างปลอดภัยตอนกลางคืน เขาหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วปีนขึ้นไปนอนวิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าที่ออกหากินในตอนกลางคืนมาพบเขาข่าวดีเรื่องที่หวังหยวนผ่านวันแรกไปได้ถูกเหล่าองครักษ์นำกลับไปรายงานยังจวนเสวี่ย“เจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าหวังหยวนจะต้องไม่เป็นอะไร เขาอยู่อย่างมีความสุขด้วยความฉลาดหลักแหลมของเขาเอง สมองของเขาปราดเปรื่องมาก เขาจะไม่สามารถผ่านวันแรกไปได้ได้อย่างไร?”ช่วงนี้นักพรตชิงอีอยู่กับเสวี่ยเชียนหลงตลอดเวลา เนื่องจากเสวี่ยเชียนหลงกังวลเรื่องหวังหยวนมากเกินไป จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเสวี่ยโส่วจุนก็เป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงเช่นกัน จึงได้เรียกนักพรต
“พวกเราเสียงดังกันมากไปหรือเปล่า? เหตุใดจึงรู้สึกราวกับว่าเขาหงุดหงิดมาก?”เหล่าองครักษ์ได้ติดตามคุ้มกันท่านเสวี่ยโส่วจุนมาหลายปีจึงมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่น่าจะทำผิดพลาดเล็กน้อยเช่นนี้ได้มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการหนึ่งคือหวังหยวนมีฝีมือที่เก่งกาจมาก แต่ระดับการบ่มเพาะของหวังหยวนนั้นไม่ได้สูงกว่าพวกเขา หรืออาจจะยังไม่ถึงระดับของพวกเขาด้วยซ้ำอีกประการหนึ่งคือหูของหวังหยวนไวมากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองประการจะไม่ชัดเจนนัก แล้วหวังหยวนรู้ว่ามีพวกเขาได้อย่างไร?หวังหยวนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ องครักษ์เหล่านี้ไม่สามารถพูดเบา ๆ กันได้หรือไร แม้ว่าจะพูดคุยกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดังเช่นนี้แต่หวังหยวนไม่รู้ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกันนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ได้อย่างไรหวังหยวนเดินอยู่ในป่ามรณะราวกับว่าไม่มีใครอยู่ด้วย เขาได้เห็นสัตว์ป่าดุร้ายหลายตัวที่มีเขี้ยวเล็บ แต่พวกมันกลับไม่มีแรงที่จะวิ่งเข้ามาหาหวังหยวน“ขอโทษด้วยจริง ๆ เพื่อที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ ข้าจึงต้องทำให้พวกเจ้าลำบาก ข้าอาจจะใส่ยาแรงเกินไปสักหน่อย
ชายชุดดำสองคนนี้ช่างพูดมาก พวกเขาไม่รู้หรือว่าตัวร้ายที่พูดมากมักจะตายก่อน?หากยังพูดต่อไป หวังหยวนคิดว่าวันนี้พวกเขาคงไม่สามารถทำสำเร็จได้หวังหยวนหาวอีกครั้ง โดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อยเป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำทั้งสองคนถูกปฏิบัติเช่นนี้จึงรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา พวกเขาชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่หวังหยวนแต่หวังหยวนไม่ได้ลงมือ กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็มีองครักษ์หลายคนวิ่งออกมายืนขวางหน้าหวังหยวนไว้“บังอาจ นี่คือด่านที่สามที่ท่านเสวี่ยโส่วจุนประกาศใช้ พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาปฏิบัติเช่นนี้! พวกเจ้าเป็นคนของใคร?”“ใต้เท้า อย่ากลัวเลย พวกเราจะปกป้องท่านเองขอรับ!”เหล่าองครักษ์เหล่านี้ไม่เคยพูดคุยกับบุคคลที่ตนปกป้องมาก่อนครั้งนี้เป็นเพราะหวังหยวนหล่อเหลาเกินไปและเก่งกาจเกินไป จึงทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาปกป้องอย่างใกล้ชิดชายชุดดำสองคนก็ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ หวังหยวนไม่เพียงแต่มีฝีมือสูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีองครักษ์คอยปกป้องอีกด้วย“หวังหยวน เจ้าซ่อนตัวอยู่หลังพวกเขาแล้วจะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร เหตุใดไม่ออกมาต่อสู้กับพวกข้าสองคนล่ะ?”พวกเขาสองคนไม่มีหนท
นอกจากฝีมือของหวังหยวนจะจัดว่ายอดเยี่ยมแล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสักครู่นี้นางยังบังเอิญเห็นปืนคาบศิลาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของหวังหยวน นางจึงรู้ตัวตนของหวังหยวนแล้วทันใดนั้นแม่นางหรูเยียนก็ยกยิ้มจาง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นหวังหยวนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังใช่หรือไม่?”“เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร?” หวังหยวนตกตะลึง“คนมีชื่อเสียงเช่นนี้ ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” แม่นางหรูเยียนกอดอกและกล่าวช้า ๆ ว่า “จากอาวุธลับในแขนเสื้อของท่าน ก็สามารถบอกตัวตนของท่านได้แล้ว”“ดังนั้น…” หวังหยวนจงใจลากเสียงยาว “เจ้าเป็นคนของอาณาจักรต้าเป่ยใช่หรือไม่? หรือว่าอาณาจักรต้าเย่ ไม่ก็คนเมืองหวงใช่หรือเปล่า?”ในปัจจุบัน แผ่นดินของดินแดนทั้งเก้าถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เขาครอบครองส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกสามส่วนถูกครอบครองโดยอีกสามคนแม้ว่าจะยังไม่รบกันในตอนนี้ แต่ก็ต้องมีสงครามเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นแต่คนที่สามารถจดจำอาวุธลับในมือเขาได้ก็มีไม่มาก นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าแม่นางหรูเยียนต้องมีความเกี่ยวข้องกับหนึ่งในกองกำลังเหล่านี้ จึงสามารถจำต
หวังหยวนที่กำลังจะก้าวออกไปชะงักฝีเท้าทันที แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เฉินเทียนอับอาย ในสายตาของหวังหยวนนั้น ชายคนนี้ก็เป็นเพียงชายเจ้าสำราญคนหนึ่งที่ประพฤติตนไร้สาระ จึงไม่สมควรได้รับการใส่ใจทว่าเหตุผลที่เขาก้าวออกไปนั้น ไม่ใช่เพราะหันหลังให้ความทุกข์ยาก แต่เป็นเพราะเชื่อมั่นว่าแม่นางหรูเยียนจะสามารถจัดการเรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยฝีมือของแม่นางหรูเยียน เพียงแค่นายน้อยขี้เมาคนหนึ่งจะมีความหมายอะไร? แต่เฉินเทียนกลับกล้าเอ่ยวาจาท้าทายเขาต่อหน้า ซ้ำยังใช้คำหยาบคายอย่างยิ่ง หวังหยวนจึงไม่อาจปล่อยวางได้! ไม่เช่นนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?ทันใดนั้น หวังหยวนก็หันมาถีบเข้าที่อกของเฉินเทียนอย่างแรง! ในวินาทีต่อมา ร่างของเฉินเทียนก็กระเด็นไปหลายวาเหมือนลูกบอล ก่อนจะหยุดลง... เลือดไหลทะลักออกมาจากจมูก!ดูสภาพแล้วน่าเวทนาเหลือเกิน! แม่นางหรูเยียนที่อยู่ข้าง ๆ ยกมือปิดปากหัวเราะเบา ๆหวังหยวนปัดฝุ่นบนมือ และพูดอย่างใจเย็นว่า “งาช้างไม่งอกออกจากปากสุนัข!” “มอบโอกาสให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่า ยังกล้าพูดจาเยาะเย้ยต่อหน้าข้าอีก สมควรตายนัก!”ด้วยเหตุใดไม่ทราบ แม่
“ได้! ข้ายินยอม!”แม่นางหรูเยียนจำต้องยอมจำนนดังที่หวังหยวนคาดการณ์ไว้ นางยังคงมีจุดประสงค์ของตนเอง จึงไม่สามารถยอมแพ้ในสถานการณ์นี้ได้ ส่วนเรื่องความแค้นกับหวังหยวน ภายหลังค่อยแก้แค้นภายหลังยังไม่สาย…“ถูกต้อง”เมื่อแม่นางหรูเยียนตอบตกลง หวังหยวนจึงลุกขึ้นยิ้ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ทุกคนเข้าใจผิดแล้วจริง ๆ”“ข้ากับแม่นางหรูเยียนเป็นเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี ครั้งนี้ข้ามาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องบางอย่างกับนาง”“หากเราจะทำอะไรกันจริง เราจะนั่งห่างกันถึงเพียงนี้หรือ?”หวังหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มผู้คนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา คำพูดนี้ยังไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือนักหวังหยวนเหลือบมอง และกล่าวอีกครั้ง “ทุกคน! คงไม่รู้ว่าข้าแต่งงานแล้วใช่หรือไม่?”“ภรรยาของข้ารอข้าอยู่ที่บ้าน และนางก็รู้จักแม่นางหรูเยียน นางจึงให้ข้ามาพบกับนาง”“ทุกท่านดูข้าสิ ข้าดูเหมือนคนเจ้าชู้หรือ?”ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของคนจากหอชิงสุ่ย ฝูงชนจึงค่อย ๆ แยกย้ายสลายตัวกันไป ไม่มีใครอยู่ต่อมีเพียงคนเดียวที่ยังไม่จากไปไหน นั่นคือเฉินเทียนขี้เมาสีหน้า
แม่นางหรูเยียนเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของที่นี่ เหล่าบุรุษมากมายต่างมาเยือนที่นี่เพราะนาง แต่บัดนี้เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนมากมายต่างมารวมตัวกันนอกประตู ต่างพากันกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่ขาดสาย“นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางหรูเยียนแสร้งทำเป็นสูงส่งเป็นเปลือกนอก แต่เบื้องหลังกลับเป็นเช่นนี้!”“ข้าก็พอจะเข้าใจ คนเราล้วนมีด้านมืด นางจะมาทำเป็นสูงส่งได้อย่างไร?”“นางแสร้งทำเป็นหญิงบริสุทธิ์ผุดผ่อง!”ทันใดนั้นความคิดของทุกคนที่มีต่อแม่นางหรูเยียนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลายคนบ่นว่าเงินที่เสียไปก่อนหน้านี้ไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ! หากรู้ว่านางเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะมาที่นี่เพื่ออะไร? เสียเงินทองมากมายไปกับการฟังเพลง มันช่างเป็นเรื่องไร้สาระ!สีหน้าของแม่นางหรูเยียนเปลี่ยนไป นางรีบหยิบผ้าไหมขึ้นมาปิดบังใบหน้า แล้วชี้ไปที่หวังหยวนพลางกล่าวว่า “เรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด!”“บุรุษผู้นี้เป็นเพียงคนเจ้าชู้! ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาบุกเข้ามาในห้องได้อย่างไร!”“ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว!”ทุกคนต่างหัวเราะเยาะในกลุ่มคนมีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น “แม่นางหรูเยียน เจ้าคิดว่าพวกข้
“ต่อให้คนธรรมดาทำงานหนักทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ของเหมือนที่อยู่ในห้องข้าได้!”แม่นางหรูเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงไปด้วยความรำคาญทว่าตั้งแต่เข้ามาในห้อง หวังหยวนก็จ้องมองแม่นางหรูเยียนตลอดเวลา พิจารณาแม้แต่ท่าทางการพูดของนางแม้ว่าแม่นางหรูเยียนจะแสร้งทำเป็นหยิ่งผยองและทำท่าทางเย็นชา แต่หวังหยวนรู้สึกได้ว่านางไม่ใช่คนเช่นนี้แน่นอน นางกำลังจงใจเล่นละครเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง!แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หวังหยวนยังไม่สามารถค้นพบความลับของนางได้โชคดีที่เขายังมีเวลาอีกมากพอที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ค่อย ๆ ขุดคุ้ยความลับเบื้องหลังของแม่นางหรูเยียน!เวลาผ่านไปทีละวินาทีแม่นางหรูเยียนก็แอบมองหวังหยวนเป็นระยะ นางคาดเดาความคิดของชายผู้นี้อยู่ในใจพลางครุ่นคิด“เขาคงไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรอกใช่หรือไม่?”“เขาต้องการอะไรกันแน่?”“ข้ากับเขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยว่าเคยพบเขามาก่อน?”ส่วนหวังหยวนก็นั่งจิบชาเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสบายใจทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ตามมาด้วยเสียงสนทนาของชายหญิงดังเข้ามาในห้อง“คุณชายเฉิน! ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“ว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?” สตรีผู้นี้มีวิทยายุทธไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ นางจะซ่อนเร้นให้รอดพ้นสายตาของหวังหยวนไปได้อย่างไร?ที่นี่คือเมืองอู่เจียง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเขา ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นนี้ปรากฏตัวได้! แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรี หวังหยวนก็จำต้องระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด!แม่นางหรูเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วจ่อไปที่ลำคอของตนเอง ทำท่าทางเหมือนพร้อมจะสละชีพ!“ได้!”“ถือว่าข้าโชคร้ายเองที่ได้พบเจ้า!”“หากเจ้ายังคงบีบบังคับข้าต่อไป ข้าจะตายตรงหน้าเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!”หลังจากพูดจบ แม่นางหรูเยียนก็พร้อมที่จะใช้ปิ่นปักผมแทงเข้าที่คอของตนเอง!โชคดีที่หวังหยวนตาไว คว้าปิ่นปักผมออกจากมือของนางได้ทัน แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาเล่นละครตบตากับข้า!”แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้าง!สตรีผู้นี้ช่างบ้าคลั่งนัก กล้าลงมือกับตนเองเช่นนี้!ช่างโหดเหี้ยมนัก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เว้น!“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?” ใบหน้าของแม่นางหรูเยียนบึ้งตึง วิทยายุทธของหวังหยวนนั้นสูงส่งแล
ก่อนที่แม่นางหรูเยียนจะทันได้ตั้งตัว มือของหวังหยวนก็สัมผัสผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว!เห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงผ้าคลุมหน้าออก!แต่ที่หวังหยวนไม่คาดคิดก็คือแม่นางหรูเยียนมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก เห็นได้ชัดว่านางมีวรยุทธ!นางรีบยกมือขึ้นมาสกัดกั้นมือของหวังหยวน แล้วถอยหลังอย่างรวดเร็วไปยังเตียงนอนนางคว้ามีดสั้นออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางน่าเกรงขาม!“มีวรยุทธด้วยหรือ?”หวังหยวนหรี่ตาแล้วยกยิ้ม เรื่องราวยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่นางหรูเยียนช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ นางมีความลึกลับซ่อนอยู่มากมาย!เพียงชั่วพริบตาเดียว หวังหยวนก็เข้าต่อสู้กับแม่นางหรูเยียน!แม้ว่าหวังหยวนจะระวัง แต่กระบวนท่าโจมตีอันทรงพลังของแม่นางหรูเยียนนั้นรุนแรงมาก เห็นได้ชัดว่านางต้องการสังหารหวังหยวนให้ได้!โชคดีที่หวังหยวนหลบหลีกได้ทัน สามารถเลี่ยงการโจมตีของนางได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!“เจ้าเป็นสตรี เหตุใดถึงได้โหดร้ายเช่นนี้?”หวังหยวนส่ายหน้าขณะพูดแม่นางหรูเยียนขมวดคิ้ว “นั่นก็เพราะท่านชั่วร้ายเกินไปไม่ใช่หรือ?”“ท่านรู้เรื่องที่ควรจะรู้แล้ว แต่ท่านยังคงหยาบคาย เห็นได้ชัด
“ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ต้องการสนทนากับเจ้าเท่านั้น” ริมฝีปากของหวังหยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่าได้กลับมาถึงบ้านของตนเองต่อจากนั้น หวังหยวนก็นั่งลงรินน้ำชาให้ตนเอง แล้วโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าคิดจะเรียกคนมาช่วย ข้ารับรองว่าได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ข้าสามารถทำให้เจ้าเสียโฉมได้แน่นอน”“หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”หวังหยวนยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าฝาถ้วยชามาอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อใด เป็นการเตือนแม่นางหรูเยียนอย่างชัดเจนแม่นางหรูเยียนสีหน้าซีดเผือด นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกข่มขู่ ในหอชิงสุ่ยนี้ ชายแทบทุกคนต่างปรารถนาจะได้ใกล้ชิดนาง แต่ก็ไม่มีใครได้โอกาสและไม่มีใครกล้าล่วงเกินนางแม้แต่ข่มขู่นางก็ไม่เคยมีมาก่อนหวังหยวนเป็นคนแรกที่ทำเช่นนี้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางหรูเยียนจึงขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านต้องการอะไร?”ขณะที่พูด แม่นางหรูเยียนก็รักษาระยะห่างจากหวังหยวน ไม่ได้เข้าใกล้เขาแม้แต่น้อยแต่สามารถเห็นได้ชัดจากแววตาของนางว่านางก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะหวังหยวนเป็นคนแรกที่เข้ามาในห้องนี้!แต่ที่ไม่คาดคิดก
เกาเล่อไม่ได้สนใจ เพียงแค่ดื่มสุราต่อไปในสายตาของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายหลอกล่อลูกค้าเท่านั้นเพียงแค่เสนอราคาให้เหมาะสม เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าหญิงสาวที่นี่จะรักนวลสงวนตัว!มันเป็นเพียงเรื่องน่าขัน!ทันใดนั้นชายหลายคนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา“เจ้าคิดว่ามีเงินแล้วจะยิ่งใหญ่นักหรือ?”“ที่อื่นอาจจะได้ แต่ที่นี่ไม่ได้หรอกนะ!”“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนอยากดื่มสุราร่วมกับแม่นางหรูเยียนกี่คน?”“มากมายจนถ้าต่อแถวแล้ว แถวคงยาวออกไปนอกเมือง!”“ในบรรดาคนเหล่านั้นมีคุณชายจากตระกูลชั้นสูง แต่แม่นางหรูเยียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขา”“ส่วนเจ้าก็คงไม่ต่างกัน!”ทุกคนต่างหัวเราะกันครื้นเครงหวังหยวนไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา หลังจากเก็บทองบนโต๊ะกลับคืนมาแล้ว เขาก็โบกมือให้เสี่ยวเอ้อออกไปเสี่ยวเอ้อสบถ เดิมทีคิดว่าหวังหยวนจะให้เงินทอง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย…ช่างน่าโมโหนักหวังหยวนมองไปที่เกาเล่อ แล้วกระซิบว่า “เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องราวของแม่นางหรูเยียนที ข้าค่อนข้างสนใจนาง”“ท่านผู้นำ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่ขอรับ?”“ท่านเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกเขาหรือ?”“ข้าสงสัยว่านางคนนั้น