คนเช่นนี้ยังจำเป็นต้องให้พวกเขาคอยปกป้องอีกหรือ?“ไม่เช่นนั้นเราก็กลับไปกันเถิด ดูจากลักษณะเขาแล้วไม่น่าจะต้องการให้เราปกป้องเลยนะ!”“ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุน เราจึงควรเฝ้ารออยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เราปกป้องก็ตาม เราก็ต้องอยู่ที่นี่”เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขาถกเถียงกันว่าควรจะจากไปดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุนได้ในดินแดนรกร้างเช่นนี้ หากปราศจากหินเหล็กไฟ ก็ทำได้เพียงแต่พยายามใช้ไม้ก่อไฟเท่านั้นไม่เหมือนกับในยุคสมัยที่เขาเคยอาศัยอยู่ที่มีไฟแช็กเครื่องมือขนาดเล็กที่สะดวกสบาย เพียงพกไว้ในกระเป๋าก็สามารถนำติดตัวไปได้ทุกหนแห่งแต่บัดนี้เขาต้องพกหินหนัก ๆ สองก้อนไว้กับตัว และยังต้องเอามากระทบกันอยู่นานกว่าจะติดไฟหวังหยวนใช้มีดสั้นถลกหนังหมูป่าที่ตายแล้วออกและปล่อยเลือดออก จากนั้นก็หั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆแล้วใช้กิ่งไม้ที่เก็บมาได้เสียบชิ้นเนื้อที่หั่นไว้ทีละชิ้น แล้วนำไปวางบนเตาปิ้งย่างที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆเตาปิ้งย่างนี้ทำขึ้นอย่างหยาบ ๆ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดใหญ่จำ
เหล่าองครักษ์กลุ่มนี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง แต่พวกเขาก็ยังชื่นชมหวังหยวนอย่างมากหากให้พวกเขาไปอยู่ในป่ามรณะ พวกเขาก็คงนึกวิธีเหล่านี้ไม่ออก และคงไม่สามารถอยู่รอดได้ถึงสามวันเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หวังหยวนจึงดูเก่งกาจยิ่งกว่า จนทำให้พวกเขาตัดสินใจว่าเมื่อออกไปแล้วจะต้องขอให้หวังหยวนเป็นอาจารย์แม้ว่าหวังหยวนจะไม่ยินยอม พวกเขาก็จะอ้อนวอนจนกว่าหวังหยวนจะยอมรับพวกเขาเป็นศิษย์!ในที่สุดวันแรกก็ผ่านพ้นไป หวังหยวนปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำอย่างปลอดภัยตอนกลางคืน เขาหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วปีนขึ้นไปนอนวิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าที่ออกหากินในตอนกลางคืนมาพบเขาข่าวดีเรื่องที่หวังหยวนผ่านวันแรกไปได้ถูกเหล่าองครักษ์นำกลับไปรายงานยังจวนเสวี่ย“เจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าหวังหยวนจะต้องไม่เป็นอะไร เขาอยู่อย่างมีความสุขด้วยความฉลาดหลักแหลมของเขาเอง สมองของเขาปราดเปรื่องมาก เขาจะไม่สามารถผ่านวันแรกไปได้ได้อย่างไร?”ช่วงนี้นักพรตชิงอีอยู่กับเสวี่ยเชียนหลงตลอดเวลา เนื่องจากเสวี่ยเชียนหลงกังวลเรื่องหวังหยวนมากเกินไป จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเสวี่ยโส่วจุนก็เป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงเช่นกัน จึงได้เรียกนักพรต
“พวกเราเสียงดังกันมากไปหรือเปล่า? เหตุใดจึงรู้สึกราวกับว่าเขาหงุดหงิดมาก?”เหล่าองครักษ์ได้ติดตามคุ้มกันท่านเสวี่ยโส่วจุนมาหลายปีจึงมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่น่าจะทำผิดพลาดเล็กน้อยเช่นนี้ได้มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการหนึ่งคือหวังหยวนมีฝีมือที่เก่งกาจมาก แต่ระดับการบ่มเพาะของหวังหยวนนั้นไม่ได้สูงกว่าพวกเขา หรืออาจจะยังไม่ถึงระดับของพวกเขาด้วยซ้ำอีกประการหนึ่งคือหูของหวังหยวนไวมากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองประการจะไม่ชัดเจนนัก แล้วหวังหยวนรู้ว่ามีพวกเขาได้อย่างไร?หวังหยวนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ องครักษ์เหล่านี้ไม่สามารถพูดเบา ๆ กันได้หรือไร แม้ว่าจะพูดคุยกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดังเช่นนี้แต่หวังหยวนไม่รู้ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกันนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ได้อย่างไรหวังหยวนเดินอยู่ในป่ามรณะราวกับว่าไม่มีใครอยู่ด้วย เขาได้เห็นสัตว์ป่าดุร้ายหลายตัวที่มีเขี้ยวเล็บ แต่พวกมันกลับไม่มีแรงที่จะวิ่งเข้ามาหาหวังหยวน“ขอโทษด้วยจริง ๆ เพื่อที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ ข้าจึงต้องทำให้พวกเจ้าลำบาก ข้าอาจจะใส่ยาแรงเกินไปสักหน่อย
ชายชุดดำสองคนนี้ช่างพูดมาก พวกเขาไม่รู้หรือว่าตัวร้ายที่พูดมากมักจะตายก่อน?หากยังพูดต่อไป หวังหยวนคิดว่าวันนี้พวกเขาคงไม่สามารถทำสำเร็จได้หวังหยวนหาวอีกครั้ง โดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อยเป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำทั้งสองคนถูกปฏิบัติเช่นนี้จึงรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา พวกเขาชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่หวังหยวนแต่หวังหยวนไม่ได้ลงมือ กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็มีองครักษ์หลายคนวิ่งออกมายืนขวางหน้าหวังหยวนไว้“บังอาจ นี่คือด่านที่สามที่ท่านเสวี่ยโส่วจุนประกาศใช้ พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาปฏิบัติเช่นนี้! พวกเจ้าเป็นคนของใคร?”“ใต้เท้า อย่ากลัวเลย พวกเราจะปกป้องท่านเองขอรับ!”เหล่าองครักษ์เหล่านี้ไม่เคยพูดคุยกับบุคคลที่ตนปกป้องมาก่อนครั้งนี้เป็นเพราะหวังหยวนหล่อเหลาเกินไปและเก่งกาจเกินไป จึงทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาปกป้องอย่างใกล้ชิดชายชุดดำสองคนก็ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ หวังหยวนไม่เพียงแต่มีฝีมือสูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีองครักษ์คอยปกป้องอีกด้วย“หวังหยวน เจ้าซ่อนตัวอยู่หลังพวกเขาแล้วจะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร เหตุใดไม่ออกมาต่อสู้กับพวกข้าสองคนล่ะ?”พวกเขาสองคนไม่มีหนท
ตอนนี้เหล่าองครักษ์ยืนคำนับต่อหน้าหวังหยวนอย่างนอบน้อม จนหวังหยวนค่อนข้างรู้สึกอึดอัดเขายกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเอง“ข้าต้องขอบคุณท่านเสวี่ยโส่วจุนเป็นอย่างมาก”หลังจากที่หวังหยวนกล่าวจบ เขาก็สั่งให้เหล่าองครักษ์ถอยไป เพราะหากพวกเขายังอยู่ใกล้ก็อาจมีสายตาของผู้อื่นสอดส่องเข้ามาเห็นได้“รับทราบขอรับ!”เหล่าองครักษ์ตะโกนเสียงดัง จากนั้นหายตัวไปจากตรงหน้าหวังหยวนในพริบตาคนเหล่านี้วิ่งได้รวดเร็วเหลือเกินวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว จากที่เห็นก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดใหญ่หลวงนักหวังหยวนยืดเส้นยืดสาย เตรียมตัวเดินทางต่อไปแท้จริงแล้วป่ามรณะนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยภารกิจที่เขาต้องทำในเวลานี้ คือการผ่านด่านเพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าร่วมการประลองยุทธ์ชิงตัวเสวี่ยเชียนหลง ดังนั้นเขาจึงยังไม่รีบสำรวจบัดนี้ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดมาก การเดินเล่นไปพลาง ๆ จึงดีเหมือนกันหวังหยวนเดินอยู่เพียงลำพังในป่ามรณะ โดยมีเหล่าองครักษ์คอยปกป้องเขาอยู่ในมุมมืดวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เสวี่ยเชียนหลงเป็นห่วงความปลอดภัยของหวังหยวนมาก นางจึงมักจะมาปรึกษากับนักพรตชิงอีทุกวันทว่าผู้ที่
“ไม่คิดว่าจะมีหมาป่าที่ไม่ฉลาดตัวหนึ่งจริง ๆ ปกติแล้วหมาป่ามักจะฉลาดและเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เกิด แต่กลับให้กำเนิดลูกหมาป่าโง่เขลาเช่นนี้”หวังหยวนบ่นพึมพำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงเชือกเส้นนั้นเข้ามา หมูย่างจึงใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆเมื่อลูกหมาป่าตัวนั้นเกือบจะงับหมูย่าง จู่ ๆ แม่หมาป่าขาวก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นหมูย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันจึงเกิดความสงสัย รีบกระโดดเข้าไปคาบลูกหมาป่าขาวแล้วโยนกลับไปคราวนี้แย่แล้ว แม่หมาป่าขาวคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายดายแน่นอน มันค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหมูย่าง แล้วก็เห็นเชือกเส้นนั้นที่ผูกติดอยู่!“กรรซ์!”แม่หมาป่าขาวส่งเสียงคำรามขึ้นฟ้า เสียงคำรามนี้เป็นการเตือนหวังหยวนไม่ให้ก้าวเข้ามาอีก และไม่ให้ทำร้ายลูก ๆ ของมันแต่ตอนนี้แม่หมาป่าขาวอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ มันสามารถรับรู้ได้ถึงระดับพลังยุทธ์ของหวังหยวน จึงรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหวังหยวนด้วย มันจึงไม่ไม่กล้าเอาชีวิตของตนเองและลูก ๆ มาเสี่ยง! เมื่อหวังหยวนเตรียมจะถอยหนีก็มีเสียงดังกึกก้องดังมาจากนอกถ้ำ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างโจมตีถ้ำนี้ จากนั้นถ้ำก็เริ่มพังทลายลงมาในทันทีแม่หมาป่าขาวไม่ห่วงชีวิตต
ทว่าพละกำลังของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมหาศาล เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถทลายหินก้อนใหญ่ที่ขวางหน้าจนแหลกละเอียดได้“ฮึ่ม! อย่าได้ขลาดกลัวเหมือนหนูที่คอยหลบซ่อนอยู่เช่นนี้เลย ข้ารู้สึกน่าเบื่อหน่ายนัก เจ้าไม่ได้เอาชนะนายน้อยตระกูลเจิ้งไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดเมื่อมาเผชิญหน้ากับข้าจึงอ่อนแอเช่นนี้เล่า?”เด็กหนุ่มผู้นี้ร่อนสู่พื้นอย่างมั่นคงพลางถือดาบประจำกายไว้ในมือเขาจ้องมองหวังหยวนด้วยแววตาเหยียดหยาม หวังให้หวังหยวนใช้พลังทั้งหมดเมื่อต่อสู้กับเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการให้ความสำคัญหวังหยวนไม่ได้ปรารถนาจะต่อสู้กับเขา จึงคิดจะอธิบายเหตุผลให้กระจ่างทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับโจมตีเข้ามาอีกครั้ง และทุกการโจมตีล้วนตรงไปยังจุดสำคัญของเขา มุ่งหมายจะเอาชีวิตเขาให้ได้ ช่างอำมหิตยิ่งนัก!“พวกเจ้าเหล่าคนจากแปดตระกูลใหญ่ไม่เคยรับฟังคำพูดของผู้อื่นบ้างเลยหรือไร? หรือว่าหูหนวก? บางทีอาจจะไร้สมองมากกว่า เหตุใดข้าจะไม่สามารถอยู่รอดในป่ามรณะเพียงลำพังได้สามวัน สำหรับพวกเจ้าแล้วอาจเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับข้าผู้ผ่านประสบการณ์มามากมายแล้วย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย”หวังหยวนก็รู้สึกหงุดหงิดเพรา
แม้ว่ามันจะไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร แต่เขาก็ช่วยให้พวกมันรอดพ้นจากอันตรายมาได้หากวันหน้าได้พบกันอีกครั้ง มันจะต้องตอบแทนบุญคุณชายที่ช่วยชีวิตมันให้ได้!ขณะที่หมาป่าขาวกำลังคาบลูก ๆ ของตนเตรียมจะหนีออกไป องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็นพวกมันจึงรีบขวางทางไว้แม้ว่าหมาป่าขาวจะมีพละกำลังมาก แต่ก็มีเพียงตัวเดียว ลูก ๆ ของมันยังเล็กเกินกว่าจะเข้าร่วมต่อสู้ได้ หากต้องต่อสู้กับปรมาจารย์หลายคนเช่นนี้ก็คงเป็นเรื่องยาก“กรรซ์! กรรซ์!”หมาป่าขาวส่งเสียงคำรามเตือนผู้คนเหล่านี้ว่าอย่าได้ก้าวเข้ามาอีก และอย่าได้ทำร้ายพวกมัน ไม่เช่นนั้นจะต้องต่อสู้กับมันจนตัวตาย“ฮ่าฮ่าฮ่า! หมาป่าขาวตัวนี้ช่างงดงามนัก หากแม่มันตายไปตัวหนึ่ง ตัวลูกก็คงจะอยู่ต่อกันได้ใช่หรือไม่? หรือเราจะบอกนายน้อยว่าลูกหมาป่าสามตัวนี้ตายไปสองตัว แล้วเราเก็บไว้เองสองตัวก็คงไม่เป็นอะไร!”หัวหน้าองครักษ์เกิดความโลภ เขาคิดจะฆ่าแม่หมาป่าขาวแล้วเลี้ยงลูกหมาป่าไว้สองตัว จากนั้นก็มอบตัวหนึ่งให้กับนายน้อยแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงองครักษ์ แต่ก็มีวิทยายุทธ์ที่เก่งกาจไม่แพ้หวังหยวน พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นปรมาจารย์ขั้นต้น การต่อสู้กับห