ทว่าพละกำลังของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมหาศาล เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถทลายหินก้อนใหญ่ที่ขวางหน้าจนแหลกละเอียดได้“ฮึ่ม! อย่าได้ขลาดกลัวเหมือนหนูที่คอยหลบซ่อนอยู่เช่นนี้เลย ข้ารู้สึกน่าเบื่อหน่ายนัก เจ้าไม่ได้เอาชนะนายน้อยตระกูลเจิ้งไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดเมื่อมาเผชิญหน้ากับข้าจึงอ่อนแอเช่นนี้เล่า?”เด็กหนุ่มผู้นี้ร่อนสู่พื้นอย่างมั่นคงพลางถือดาบประจำกายไว้ในมือเขาจ้องมองหวังหยวนด้วยแววตาเหยียดหยาม หวังให้หวังหยวนใช้พลังทั้งหมดเมื่อต่อสู้กับเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการให้ความสำคัญหวังหยวนไม่ได้ปรารถนาจะต่อสู้กับเขา จึงคิดจะอธิบายเหตุผลให้กระจ่างทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับโจมตีเข้ามาอีกครั้ง และทุกการโจมตีล้วนตรงไปยังจุดสำคัญของเขา มุ่งหมายจะเอาชีวิตเขาให้ได้ ช่างอำมหิตยิ่งนัก!“พวกเจ้าเหล่าคนจากแปดตระกูลใหญ่ไม่เคยรับฟังคำพูดของผู้อื่นบ้างเลยหรือไร? หรือว่าหูหนวก? บางทีอาจจะไร้สมองมากกว่า เหตุใดข้าจะไม่สามารถอยู่รอดในป่ามรณะเพียงลำพังได้สามวัน สำหรับพวกเจ้าแล้วอาจเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับข้าผู้ผ่านประสบการณ์มามากมายแล้วย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย”หวังหยวนก็รู้สึกหงุดหงิดเพรา
แม้ว่ามันจะไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร แต่เขาก็ช่วยให้พวกมันรอดพ้นจากอันตรายมาได้หากวันหน้าได้พบกันอีกครั้ง มันจะต้องตอบแทนบุญคุณชายที่ช่วยชีวิตมันให้ได้!ขณะที่หมาป่าขาวกำลังคาบลูก ๆ ของตนเตรียมจะหนีออกไป องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็นพวกมันจึงรีบขวางทางไว้แม้ว่าหมาป่าขาวจะมีพละกำลังมาก แต่ก็มีเพียงตัวเดียว ลูก ๆ ของมันยังเล็กเกินกว่าจะเข้าร่วมต่อสู้ได้ หากต้องต่อสู้กับปรมาจารย์หลายคนเช่นนี้ก็คงเป็นเรื่องยาก“กรรซ์! กรรซ์!”หมาป่าขาวส่งเสียงคำรามเตือนผู้คนเหล่านี้ว่าอย่าได้ก้าวเข้ามาอีก และอย่าได้ทำร้ายพวกมัน ไม่เช่นนั้นจะต้องต่อสู้กับมันจนตัวตาย“ฮ่าฮ่าฮ่า! หมาป่าขาวตัวนี้ช่างงดงามนัก หากแม่มันตายไปตัวหนึ่ง ตัวลูกก็คงจะอยู่ต่อกันได้ใช่หรือไม่? หรือเราจะบอกนายน้อยว่าลูกหมาป่าสามตัวนี้ตายไปสองตัว แล้วเราเก็บไว้เองสองตัวก็คงไม่เป็นอะไร!”หัวหน้าองครักษ์เกิดความโลภ เขาคิดจะฆ่าแม่หมาป่าขาวแล้วเลี้ยงลูกหมาป่าไว้สองตัว จากนั้นก็มอบตัวหนึ่งให้กับนายน้อยแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงองครักษ์ แต่ก็มีวิทยายุทธ์ที่เก่งกาจไม่แพ้หวังหยวน พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นปรมาจารย์ขั้นต้น การต่อสู้กับห
สายตาของหวังหยวนเย็นชา เขามองไปยังผู้ไม่เกรงกลัวความตายเหล่านี้ จากนั้นมือของเขาก็ค่อย ๆ ออกแรงมากขึ้นนายน้อยเริ่มกลอกตาไปมา มีอาการหายใจไม่ออกเล็กน้อย“อย่าทำร้ายนายน้อยเลย เจ้าต้องการอะไร พวกข้าจะให้ทั้งหมด ขอเพียงปล่อยนายน้อยของพวกข้าไป เมื่อกลับไปแล้วพวกข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น แน่นอนว่าจะไม่ตามรังควานเจ้าอีกแล้วด้วย โปรดปล่อยนายน้อยของพวกข้าไปเถิด!”นายน้อยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ แต่เหล่าองครักษ์กลับสนใจเพียงความโลภของตนเองหากกลับไปแล้วถูกใต้เท้าหวังตำหนิ ต่อให้พวกเขาจะต้องเอาชีวิตทั้งครอบครัวมาชดใช้ก็คงไม่เพียงพอ!ตอนนี้คงทำได้เพียงแค่ทำให้หวังหยวนสงบลง แล้วปกป้องชีวิตของนายน้อยไว้ให้ได้ก่อน“ให้ข้าปล่อยเขาไปก็ได้ แต่พวกเจ้าห้ามคิดจะทำร้ายหมาป่าขาวเหล่านั้นอีก ตอนนี้รีบออกไปจากป่ามรณะเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าให้ข้าได้เห็นพวกเจ้าอีก ถ้าหากข้าเจอนายน้อยของพวกเจ้าอีก ข้าจะฆ่าเขาให้ตาย!”หวังหยวนเองก็ไม่อยากให้ตนเองและตระกูลเสวี่ยต้องเดือดร้อน จึงไม่อาจลงมือสังหารนายน้อยได้โดยง่ายก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่ขู่ให้กลัวเพื่อให้เขาได้เรียนรู้บทเรียนเท่านั้น“ได้ ได้ ได้! พวกเราจะไม่พูดเ
เขาเดินไปหาหมาป่าขาวช้า ๆ“หงิงหงิง...” อาจเป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากหวังหยวนถึงสองครั้ง แม่หมาป่าจึงลดความระแวดระวังที่มีต่อหวังหยวนลงไปเสียงร้องของมันครั้งนี้ไม่เหมือนกับเสียงเห่าหรือขู่อย่างดุร้ายก่อนหน้านี้ กลับมีนัยของการอ้อนวอนขอความช่วยเหลือที่แฝงอยู่หวังหยวนมองไปที่แม่หมาป่า บาดแผลของมันรุนแรงเกินไป เกรงว่าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันพรุ่งนี้แล้ว แต่ข้างตัวมันยังมีลูกน้อยสามตัวที่กำลังหิวโหยหวังหยวนอยากจะช่วยเหลือมันมาก แต่ตอนนี้เขายังอยู่ในช่วงทดสอบ ไม่มีสมุนไพรใด ๆ ติดตัวเลย มีเพียงเครื่องมือธรรมดาสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถช่วยชีวิตมันได้ แม้แต่ช่วยพันแผลให้มันก็ยังทำไม่ได้เลย“ขอโทษนะ ข้าไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้”หมาป่าเหล่านี้ล้วนมีความฉลาดเฉลียว พวกมันจึงเข้าใจในสิ่งที่หวังหยวนพูดมันมองไปที่ลูก ๆ ของตนเองด้วยความเจ็บปวด ลูกของมันยังไม่โต ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการการดูแล หากมันจากไปแล้ว ลูก ๆ ของมันจะทำอย่างไรหวังหยวนเข้าใจว่ามันคิดอะไรอยู่แม้จะไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เขาก็ไม่ต้องการเห็นลูกหมาป่าสามตัวนี้ตายไป เพราะพวกมันฉล
หวังหยวนอุ้มลูกหมาป่าตัวน้อยไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างลูบหัวของเสวี่ยเชียนหลงเบา ๆ“อืม ไปกันเถิด”ทั้งสามคนกลับมายังจวนเสวี่ยพร้อมกัน ผู้นำของแปดตระกูลใหญ่และเสวี่ยโส่วจุนรอคอยพวกเขามานานแล้ว ทุกคนนั่งอยู่ในห้องประชุมหวังหยวนส่งลูกหมาป่าให้เสวี่ยเชียนหลง แล้วตบหลังมือของนางเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องกังวล เขาจะรีบกลับมา จากนั้นเดินตามนักพรตชิงอีไปเมื่อมาถึงหน้าห้องประชุม“ไม่ต้องกังวล ผ่อนคลายเข้าไว้ เมื่อผ่านการทดสอบแล้ว นับจากวันนี้เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้าแล้ว เราจะวางตัวกันตามสถานการณ์ หากอยู่ข้างนอกเจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์ แต่เมื่ออยู่กันตามลำพัง เจ้าค่อยเรียกข้าว่าพี่ชายได้”พี่ชิงอียักคิ้วให้หวังหยวน หวังหยวนพยักหน้า จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้วยกันในห้องประชุมมีโต๊ะขนาดใหญ่ มีผู้นำแปดตระกูลนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนด้านหน้าสุดคือเสวี่ยโส่วจุนเมื่อเห็นหวังหยวนเข้ามา เสวี่ยโส่วจุนก็ลุกขึ้นยืนทันที“หวังหยวน ขอแสดงความยินดีที่เจ้าผ่านการทดสอบทั้งสามขั้นตอน เจ้าพิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่าเจ้ามีความสามารถ นับจากวันนี้เจ้าคือศิษย์ของนักพรตชิงอีและเป็นสมาชิก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจหวังหยวนเช่นกัน แต่ก็จะไม่ทำตัวแย่เหมือนกับคนตระกูลหวังตอนนี้ผู้นำตระกูลหวังเถียงไม่ออกแล้ว สีหน้าของเสวี่ยโส่วจุนยิ่งแย่ลงไปอีก เขาตบโต๊ะทันที“พอแล้ว! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อผู้นำตระกูลหวังกลับไปแล้ว ขอให้สั่งสอนลูกชายคนเล็กของตนเองให้ดี ไม่เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้คนอื่นมาช่วยสั่งสอนแทนแล้ว!”เสวี่ยโส่วจุนไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนของแปดตระกูลใหญ่ได้โดยตรง ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้เพื่อเตือนผู้นำตระกูลหวัง“รับทราบขอรับ”ผู้นำตระกูลหวังก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิดเมื่อเขาหันไปมองหวังหยวน ความแค้นในดวงตาของเขาไม่อาจซ่อนเร้นได้แต่หวังหยวนเพียงแค่ยิ้มเยาะอย่างไม่ใส่ใจเรื่องราวในวันนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเทียนไว่เทียนต่างรู้กันว่าหวังหยวนได้ผ่านการทดสอบสามขั้นตอน ที่เสนอโดยแปดตระกูลใหญ่และเสวี่ยโส่วจุนสำเร็จแล้ว เขากลายเป็นศิษย์คนแรกจากโลกมนุษย์ที่เข้าร่วมเทียนไว่เทียน!“ไม่คิดว่าหวังหยวนจะประสบความสำเร็จจริง ๆ! แต่บทกวีของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ครั้งแรกที่ได้ยินบทกวีที่เขาแต่ง ใจของข้าเต้นแรงไปหมด!”“เก่งกาจมากจริง ๆ ผ่าน
เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ประโยคเดียวก็ทำให้หัวใจของหวังหยวนรู้สึกอบอุ่นในใจแล้ว จากนั้นเขาก็ยิ้มตอบนางทั้งสองยืนยิ้มให้กันท่ามกลางแสงแดด ขณะที่นักพรตชิงอียืนอยู่ข้าง ๆ และแทบจะทนมองต่อไปไม่ไหว“ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ พวกเจ้าทั้งสองช่วยทำเรื่องเหล่านี้ในที่ลับไม่ได้หรือ”หลังจากได้ยินคำพูดของนักพรตชิงอี ใบหน้าของเสวี่ยเชียนหลงก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งช่วงหลังมานี้เหมือนว่านางจะหน้าแดงบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ“ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้...”เสียงของเสวี่ยเชียนหลงค่อย ๆ เบาลง จนในที่สุดก็ไม่มีเสียงใดเหลือเลยทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงห้าว“น้องสาว เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”ผู้มาเยือนคือพี่ชายของเสวี่ยเชียนหลง เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกเคล็ดวิชาจนแทบไม่ได้กลับบ้าน วันนี้ที่กลับมาก็เพราะได้ยินข่าวว่าผู้ที่สามารถช่วยชีวิตเสวี่ยเชียนหลงได้ ถูกนักพรตชิงอีพากลับมาด้วย เขาจึงมาดูจากที่ได้ยินมาจากข้างนอก เขาได้ยินเรื่องราวมากมาย แต่ก็ต้องรอจนได้พบตัวจริงถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไรเขาได้สอบถามที่อยู่ของหวังหยวนจากคนรับใช้ จากนั้นก็รีบตรงมาทันทีผลก็คือ
“วางใจเถิด พี่ใหญ่เสวี่ย ข้าจะไม่ยกเชียนหลงให้กับชายอื่นอย่างง่ายดายแน่นอน และพวกเขาก็ช่วยเชียนหลงไม่ได้ด้วย แม้ว่าจะแต่งงานกันแล้วก็จะทำให้เชียนหลงต้องสูญเสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าในที่สุดข้าจะไม่ชนะการประลองยุทธ์เพื่อหาคู่ ข้าก็จะคิดหาวิธีพาเชียนหลงหนีไปอย่างแน่นอน จะไม่ปล่อยให้นางต้องจบชีวิตลงตรงนี้เป็นแน่!”เมื่อหวังหยวนพูดถ้อยคำเหล่านี้ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นพี่ใหญ่เสวี่ยรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น แม้ว่าหวังหยวนจะไม่ชนะการประลองยุทธ์เพื่อหาคู่ เขาก็ยังจะพาเชียนหลงหนีไปนี่ก็เป็นสิ่งที่พี่ใหญ่เสวี่ยอยากเห็นเช่นกัน คงเป็นไปตามที่บิดาวางแผนไว้จึงได้ส่งองครักษ์ไปช่วยเหลือหวังหยวนในที่ลับ“ดี ข้าชอบนิสัยเช่นนี้ของเจ้า ข้ารับเจ้าเป็นน้องเขยของข้าแล้ว”พี่ใหญ่เสวี่ยหัวเราะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็โอบไหล่หวังหยวนแรงขึ้นอีกเล็กน้อยหวังหยวนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพี่ใหญ่เสวี่ยคิดอย่างไรเมื่อครู่นี้ยังบอกว่าจะไม่ยอมรับเขาเป็นน้องเขย แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็ยอมรับเสียอย่างนั้น“มีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้ามีภรรยาสามคน ภรรยาสามคนของเจ้าอนุญาตให้เจ้าแต่งงานอีกครั้งได้หรือไม่?”