เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หวังหยวนก็รู้สึกแปลกใจก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หรือว่าเสียงนินทาเหล่านั้นเคยทำให้เชียนหลงรู้สึกแย่ จึงทำให้นางรู้สึกไวต่อคำติฉินนินทามากถึงเพียงนี้?พี่ชิงอีเดินไปยืนข้างหวังหยวนพลางมองตามหลังเสวี่ยเชียนหลงที่เดินจากไป แล้วก็เดินกลับไปพร้อมกับหวังหยวนอย่างตลอดทางทั้งสองพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับอดีตของเชียนหลง รวมถึงเรื่องที่นางป่วยเป็นโรคหนาวสั่นหวังหยวนไม่รู้ พี่ชิงอีก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่องเมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลเสวี่ย หวังหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วมาก แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเขาเข้าใจว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการบาดเจ็บภายในคงเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงมากเกินไปเขาเดินไปที่หน้าห้องของเสวี่ยเชียนหลงและต้องการจะเคาะประตู แต่สุดท้ายก็เดินจากไป เขาคิดว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปเมื่อเขาได้เป็นผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์เพื่อสู่ขอแล้ว เขาจะมาสู่ขอเสวี่ยเชียนหลงอย่างเปิดเผย และบอกกับนางว่าโรคหนาวสั่นนั้นไม่ได้น่ากลัว เขาจะช่วยนางเอง!เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันก็มาถึงและการแข่งขันรอบสุดท้ายก็มาถึ
เมื่อรับของเหล่านั้นแล้ว หวังหยวนก็หันหลังเตรียมจะเริ่มออกเดินทางจะมีคนรับใช้พาเขาไปยังป่ามรณะแต่ก่อนจะก้าวออกจากประตู หวังหยวนก็หันกลับไปมองเสวี่ยเชียนหลงราวกับมีกระแสจิต เขาจึงรู้สึกว่าเสวี่ยเชียนหลงเป็นห่วงเขา เขายิ้มเพื่อบอกให้เสวี่ยเชียนหลงไม่ต้องกังวล เพียงแค่รอให้เขากลับมาอย่างสบายใจก็พอเมื่อส่งยิ้มให้แล้ว หวังหยวนก็หันหลังจากไปเขาขี่ม้าติดตามคนรับใช้ไปนานเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดก็มาถึงป่ามรณะ“เห็นป้ายนี้หรือไม่ ข้างหน้าคือป่ามรณะ เมื่อก้าวเข้าไปที่นั่นจะมีสัตว์ป่ามากมายมาโจมตีท่าน ข้าจะบอกเพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีขอรับ”คนรับใช้ได้เห็นการแข่งขันสองครั้งก่อนหน้าของหวังหยวนแล้ว จึงรู้สึกว่าหวังหยวนก็เป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากด้วยความเสียดายคนที่มีความสามารถ เขาจึงเตือนด้วยความหวังดีเมื่อคนรับใช้จากไปแล้ว หวังหยวนก็ไม่ลังเลที่จะถือข้าวของเดินเข้าไปยังป่ามรณะเมื่อก้าวข้ามป้ายนั้นไปแล้ว เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไป ปรากฏว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเทียนไว่เทียนหลังจากการประชุมเล็ก ๆ สิ้นสุดลง เสวี่ยเชียนหลงและนักพรตช
เขารู้สึกหิวโหยนักจึงจำต้องหาของกินมาประทังชีวิต ไม่เช่นนั้นตนอาจสิ้นใจลงก่อนที่จะได้ลงมือกระทำการใดด้วยซ้ำด้วยความที่เขาเดินทางข้ามเวลามาจากยุคสมัยใหม่ จึงชอบดูคลิปวิดีโอของชายนามว่าแบร์ กริลส์มาก คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้นำความรู้ดังกล่าวมาใช้ในสถานที่เช่นนี้ เขาสร้างกับดักง่าย ๆ ตามวิธีที่แบร์ กริลส์เคยสอนทำในคลิปวิดีโอ บัดนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาเหยื่อล่อมาทว่าจะหามาได้จากที่ใดเล่า?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงใบหญ้าเสียดสีกันก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้ข้างกายเขาตึงเครียดขึ้นทันใด กำมีดสั้นไว้ในมือแน่น หากมีสัตว์ป่าปรากฏตัวขึ้น เขาก็พร้อมจะสู้ตาย!ทว่ากระต่ายป่าตัวหนึ่งกลับกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหวังหยวนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์ป่าอื่นซ่อนตัวอยู่อีก หวังหยวนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นเขาก็ได้มองไปยังกระต่ายป่าตัวน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้าตนโชคดีนักที่เหยื่อล่อมาหาถึงที่หวังหยวนจึงจับกระต่ายป่ามาได้โดยง่ายดาย จากนั้นเขาก็ใช้เลือดกระต่ายป่าที่มีกลิ่นคาวล่อสัตว์ป่าในบริเวณใกล้เคียงบริเวณโดยรอบมีพุ่มไม้มากมาย หวังหยวนจึงได้หาโคลนมาพอกที่ตัวเพื่อกลบกลิ่นต
คนเช่นนี้ยังจำเป็นต้องให้พวกเขาคอยปกป้องอีกหรือ?“ไม่เช่นนั้นเราก็กลับไปกันเถิด ดูจากลักษณะเขาแล้วไม่น่าจะต้องการให้เราปกป้องเลยนะ!”“ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุน เราจึงควรเฝ้ารออยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เราปกป้องก็ตาม เราก็ต้องอยู่ที่นี่”เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด พวกเขาถกเถียงกันว่าควรจะจากไปดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ยังคงอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านเสวี่ยโส่วจุนได้ในดินแดนรกร้างเช่นนี้ หากปราศจากหินเหล็กไฟ ก็ทำได้เพียงแต่พยายามใช้ไม้ก่อไฟเท่านั้นไม่เหมือนกับในยุคสมัยที่เขาเคยอาศัยอยู่ที่มีไฟแช็กเครื่องมือขนาดเล็กที่สะดวกสบาย เพียงพกไว้ในกระเป๋าก็สามารถนำติดตัวไปได้ทุกหนแห่งแต่บัดนี้เขาต้องพกหินหนัก ๆ สองก้อนไว้กับตัว และยังต้องเอามากระทบกันอยู่นานกว่าจะติดไฟหวังหยวนใช้มีดสั้นถลกหนังหมูป่าที่ตายแล้วออกและปล่อยเลือดออก จากนั้นก็หั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆแล้วใช้กิ่งไม้ที่เก็บมาได้เสียบชิ้นเนื้อที่หั่นไว้ทีละชิ้น แล้วนำไปวางบนเตาปิ้งย่างที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆเตาปิ้งย่างนี้ทำขึ้นอย่างหยาบ ๆ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดใหญ่จำ
เหล่าองครักษ์กลุ่มนี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง แต่พวกเขาก็ยังชื่นชมหวังหยวนอย่างมากหากให้พวกเขาไปอยู่ในป่ามรณะ พวกเขาก็คงนึกวิธีเหล่านี้ไม่ออก และคงไม่สามารถอยู่รอดได้ถึงสามวันเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หวังหยวนจึงดูเก่งกาจยิ่งกว่า จนทำให้พวกเขาตัดสินใจว่าเมื่อออกไปแล้วจะต้องขอให้หวังหยวนเป็นอาจารย์แม้ว่าหวังหยวนจะไม่ยินยอม พวกเขาก็จะอ้อนวอนจนกว่าหวังหยวนจะยอมรับพวกเขาเป็นศิษย์!ในที่สุดวันแรกก็ผ่านพ้นไป หวังหยวนปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำอย่างปลอดภัยตอนกลางคืน เขาหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วปีนขึ้นไปนอนวิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าที่ออกหากินในตอนกลางคืนมาพบเขาข่าวดีเรื่องที่หวังหยวนผ่านวันแรกไปได้ถูกเหล่าองครักษ์นำกลับไปรายงานยังจวนเสวี่ย“เจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าหวังหยวนจะต้องไม่เป็นอะไร เขาอยู่อย่างมีความสุขด้วยความฉลาดหลักแหลมของเขาเอง สมองของเขาปราดเปรื่องมาก เขาจะไม่สามารถผ่านวันแรกไปได้ได้อย่างไร?”ช่วงนี้นักพรตชิงอีอยู่กับเสวี่ยเชียนหลงตลอดเวลา เนื่องจากเสวี่ยเชียนหลงกังวลเรื่องหวังหยวนมากเกินไป จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเสวี่ยโส่วจุนก็เป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงเช่นกัน จึงได้เรียกนักพรต
“พวกเราเสียงดังกันมากไปหรือเปล่า? เหตุใดจึงรู้สึกราวกับว่าเขาหงุดหงิดมาก?”เหล่าองครักษ์ได้ติดตามคุ้มกันท่านเสวี่ยโส่วจุนมาหลายปีจึงมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่น่าจะทำผิดพลาดเล็กน้อยเช่นนี้ได้มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการหนึ่งคือหวังหยวนมีฝีมือที่เก่งกาจมาก แต่ระดับการบ่มเพาะของหวังหยวนนั้นไม่ได้สูงกว่าพวกเขา หรืออาจจะยังไม่ถึงระดับของพวกเขาด้วยซ้ำอีกประการหนึ่งคือหูของหวังหยวนไวมากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองประการจะไม่ชัดเจนนัก แล้วหวังหยวนรู้ว่ามีพวกเขาได้อย่างไร?หวังหยวนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ องครักษ์เหล่านี้ไม่สามารถพูดเบา ๆ กันได้หรือไร แม้ว่าจะพูดคุยกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดังเช่นนี้แต่หวังหยวนไม่รู้ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกันนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ได้อย่างไรหวังหยวนเดินอยู่ในป่ามรณะราวกับว่าไม่มีใครอยู่ด้วย เขาได้เห็นสัตว์ป่าดุร้ายหลายตัวที่มีเขี้ยวเล็บ แต่พวกมันกลับไม่มีแรงที่จะวิ่งเข้ามาหาหวังหยวน“ขอโทษด้วยจริง ๆ เพื่อที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ ข้าจึงต้องทำให้พวกเจ้าลำบาก ข้าอาจจะใส่ยาแรงเกินไปสักหน่อย
ชายชุดดำสองคนนี้ช่างพูดมาก พวกเขาไม่รู้หรือว่าตัวร้ายที่พูดมากมักจะตายก่อน?หากยังพูดต่อไป หวังหยวนคิดว่าวันนี้พวกเขาคงไม่สามารถทำสำเร็จได้หวังหยวนหาวอีกครั้ง โดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อยเป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำทั้งสองคนถูกปฏิบัติเช่นนี้จึงรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา พวกเขาชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่หวังหยวนแต่หวังหยวนไม่ได้ลงมือ กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วก็มีองครักษ์หลายคนวิ่งออกมายืนขวางหน้าหวังหยวนไว้“บังอาจ นี่คือด่านที่สามที่ท่านเสวี่ยโส่วจุนประกาศใช้ พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาปฏิบัติเช่นนี้! พวกเจ้าเป็นคนของใคร?”“ใต้เท้า อย่ากลัวเลย พวกเราจะปกป้องท่านเองขอรับ!”เหล่าองครักษ์เหล่านี้ไม่เคยพูดคุยกับบุคคลที่ตนปกป้องมาก่อนครั้งนี้เป็นเพราะหวังหยวนหล่อเหลาเกินไปและเก่งกาจเกินไป จึงทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาปกป้องอย่างใกล้ชิดชายชุดดำสองคนก็ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ หวังหยวนไม่เพียงแต่มีฝีมือสูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีองครักษ์คอยปกป้องอีกด้วย“หวังหยวน เจ้าซ่อนตัวอยู่หลังพวกเขาแล้วจะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร เหตุใดไม่ออกมาต่อสู้กับพวกข้าสองคนล่ะ?”พวกเขาสองคนไม่มีหนท
ตอนนี้เหล่าองครักษ์ยืนคำนับต่อหน้าหวังหยวนอย่างนอบน้อม จนหวังหยวนค่อนข้างรู้สึกอึดอัดเขายกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเอง“ข้าต้องขอบคุณท่านเสวี่ยโส่วจุนเป็นอย่างมาก”หลังจากที่หวังหยวนกล่าวจบ เขาก็สั่งให้เหล่าองครักษ์ถอยไป เพราะหากพวกเขายังอยู่ใกล้ก็อาจมีสายตาของผู้อื่นสอดส่องเข้ามาเห็นได้“รับทราบขอรับ!”เหล่าองครักษ์ตะโกนเสียงดัง จากนั้นหายตัวไปจากตรงหน้าหวังหยวนในพริบตาคนเหล่านี้วิ่งได้รวดเร็วเหลือเกินวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว จากที่เห็นก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดใหญ่หลวงนักหวังหยวนยืดเส้นยืดสาย เตรียมตัวเดินทางต่อไปแท้จริงแล้วป่ามรณะนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยภารกิจที่เขาต้องทำในเวลานี้ คือการผ่านด่านเพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าร่วมการประลองยุทธ์ชิงตัวเสวี่ยเชียนหลง ดังนั้นเขาจึงยังไม่รีบสำรวจบัดนี้ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดมาก การเดินเล่นไปพลาง ๆ จึงดีเหมือนกันหวังหยวนเดินอยู่เพียงลำพังในป่ามรณะ โดยมีเหล่าองครักษ์คอยปกป้องเขาอยู่ในมุมมืดวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เสวี่ยเชียนหลงเป็นห่วงความปลอดภัยของหวังหยวนมาก นางจึงมักจะมาปรึกษากับนักพรตชิงอีทุกวันทว่าผู้ที่