“สวรรค์โปรด ไม่รู้ว่าใครไปจ้างนักฆ่ามาฆ่าคนอีกแล้ว รีบหนีไปเร็วเข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเรา!”“สวรรค์ช่างกลั่นแกล้ง ข้าแค่เดินทางก็ยังมาเจอเรื่องเช่นนี้อีก ดูสิ ช่างโหดเหี้ยมกันยิ่งนัก!”ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็หลบเลี่ยง หรือไม่ก็ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นเหล่าชายชุดดำเหล่านั้นถูกโจมตีจนถอยร่นไปทีละก้าว พวกเขาเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าฝีมือของหวังหยวนที่อยู่ตรงหน้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประมาทเกินไปแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งสองไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นฝีมืออีกต่อไป รีบจัดการพวกก่อกวนให้เร็วที่สุดจะดีกว่าหวังหยวนมองไปทางพี่ชิงอีปรากฏว่าพี่ชิงอีก็ได้ปราบปรามนักฆ่าของฝ่ายตรงข้ามไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถเล่นสนุกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรีบจัดการคนเหล่านี้อย่างน้อยก็ต้องเค้นให้พวกเขาบอกออกมาให้ได้ว่าใครเป็นคนส่งพวกเขามา“ฮึ่ม พวกหนูสกปรกกล้ามาอาละวาดต่อหน้าพวกข้าได้อย่างไร!”หวังหยวนใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็จัดการยอดฝีมือทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างต่อเนื่องชายชุดดำที่เป็นหัวหน้ากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก และให้ลูกน้อง
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ค่ายกลซึ่งพวกเขาฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจะถูกสองคนนี้ทำลายได้อย่างง่ายดายแต่ทันทีที่พูดจบ ก็มีคนหนึ่งในกลุ่มยืนไม่ไหวแล้วเขาล้มลงไปอย่างหมดแรง เพราะหวังหยวนโจมตีที่อวัยวะส่วนล่างของเขาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส“แค่นี้เองหรือ”หวังหยวนและพี่ชิงอีโจมตีร่วมกัน ทั้งสี่คนที่เป็นเสาหลักตรงกลางทนไม่ไหวแล้ว จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และปล่อยมือที่ประคองกันอยู่ หลังจากที่ค่ายกลนี้ถูกทำลาย ชายชุดดำคนอื่น ๆ ก็กระอักเลือดออกมาแล้วล้มหมดสติลงไปนอนบนพื้นทีละคนหวังหยวนไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคนเพื่อความสนุก แต่ชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าคนนี้พูดจาหยาบคาย ฉะนั้นเริ่มถามเขาคนแรกเลยดีกว่า“บอกมา! ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา หัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าคือใคร ถ้าเจ้าบอกข้า ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า!”หวังหยวนคว้าคอเสื้อของเขา และวางกระบองไว้ที่คอของเขาชายชุดดำเพิ่งตระหนักว่าความตายอยู่ใกล้ตัวเพียงใด ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยทำผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียวและไม่เคยพ่ายแพ้ในการทำภารกิจใด ๆ เลย เพราะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของท่านผู้นั้นแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนเก่งกว่าจะมีอยู่จ
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายกล่าวแสดงความยินดีกับอาจารย์ชิงอีแล้ว พวกเขาก็สังเกตเห็นหวังหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เช่นกันหวังหยวนแสดงท่าทีเป็นธรรมชาติ ไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวเลย แม้จะได้พบกับบุคคลสำคัญมากมาย“ท่านผู้นำตระกูลทั้งหลาย! ผู้น้อยมีนามว่าหวังหยวน ข้าได้มาที่นี่วันนี้เพื่อขอร้องเพียงเรื่องเดียว ได้ยินมาว่าสตรีสูงศักดิ์แห่งเทียนไว่เทียนกำลังจะจัดการประลองยุทธ์หาคู่ ข้าจึงปรารถนาที่จะเข้าร่วมด้วยขอรับ”หวังหยวนคำนับอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเริ่มพูดคุยกันอย่างโจ่งแจ้งไม่ต้องพูดถึงสถานะของหวังหยวนที่พวกเขายังไม่แน่ใจ เพียงแค่หวังหยวนมาจากภายนอก ไม่ใช่คนของเทียนไว่เทียน ก็นับเป็นเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ให้หวังหยวนเข้าร่วมประลองยุทธ์หาคู่ได้แล้ว“เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ จะเข้าร่วมประลองยุทธ์หาคู่ของสตรีสูงศักดิ์ของเราได้อย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”“ถูกแล้ว เจ้าคิดว่าสตรีสูงศักดิ์ของเราเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าเทียนไว่เทียนของเราเป็นอะไรกัน?”“เจ้าหนุ่ม เจ้าจงกลับไปที่ที่เจ้าจากมาเถิด อย่ามายุ่งกับเรื่องของเราเลย
อันที่จริงแล้ววิธีนี้ก็ใช้ได้ แม้ว่าอาจารย์ชิงอีจะเป็นอาจารย์ของสตรีสูงศักดิ์และอาศัยอยู่ในเทียนไว่เทียนของพวกเขา แต่ก็ยังคงเป็นตัวแปรที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ การใช้สถานการณ์นี้จัดการกับเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในภายหลัง พวกเขาก็สามารถขอให้อาจารย์ชิงอีช่วยได้หวังหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แผนการของคนเหล่านี้ช่างดีเหลือเกินเดิมทีการประลองยุทธ์หาคู่ครองของสตรีสูงศักดิ์นั้นเน้นที่ความสามารถเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะเข้าร่วมก็ไม่มีปัญหา แต่กลับมีอคติต่อเขามากมายเพียงเพราะว่าเขาเป็นคนที่อาจารย์ชิงอีตามหาทั่วทั้งหมื่นขุนเขาและสายน้ำพวกเขาไม่รู้ว่าความสามารถของหวังหยวนเป็นอย่างไรบ้าง การใช้สถานการณ์นี้จะทำให้สามารถดูความสามารถที่แท้จริงของหวังหยวนได้ ซึ่งพวกเขาจะได้ตัดสินใจ“ดี! หากเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องเข้าร่วมการประลองสามรอบนี้ แต่ข้าหวังว่าหลังจากการประลองสามรอบจบลงแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายจะทำตามที่ตกลงกันไว้ด้วยการให้เขาเข้าร่วมประลองยุทธ์หาคู่ อย่าได้ขัดขวาง”อาจารย์ชิงอีนึกดูถูกในใจ ผู้อาวุโสเหล่านี้แม้จะดูเหมือนทำเพื่อเทียนไว่เทียน แต่แท้จริงแล้วก็
“ศิษย์ขอคารวะและยินดีต้อนรับท่านอาจารย์กลับมาเจ้าค่ะ! ขอคารวะคุณชายเจ้าค่ะ”เสวี่ยเชียนหลงคำนับพ่อ อาจารย์และหวังหยวน จากนั้นก็ยืนเคียงข้างพวกเขา“เชียนหลง เจ้าอย่ากังวลไปเลย อาจารย์ของเจ้ากลับมาแล้ว และยังพาชายหนุ่มผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาสุริยันมาด้วย เจ้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!”เสวี่ยโส่วจุนไม่ได้ยิ้มอย่างเบิกบานเช่นนี้มานานแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขามาจากใจจริงหลายปีที่แสวงหาหนทางช่วยเหลือลูกสาว แต่บัดนี้ความช่วยเหลือมาถึงแล้วต่างจากเสวี่ยโส่วจุนที่มีรอยยิ้ม เสวี่ยเชียนหลงกลับไม่อาจยิ้มได้กล่าวได้ว่า เมื่อนางได้รับข่าวในตอนแรกก็ยินดีปรีดา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นความกังวล“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้เขาเข้าร่วมการประลองหาคู่ของข้าเจ้าค่ะ”ขณะที่เสวี่ยเชียนหลงเอ่ยประโยคนี้ อาจารย์ชิงอี หวังหยวน และเสวี่ยโส่วจุนต่างก็ตะลึงงันเกิดอะไรขึ้น?ไม่ใช่ว่าได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ? หวังหยวนต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่เพื่อช่วยชีวิตนาง แล้วเหตุใดจึงไม่อยากให้เขาเข้าร่วม?หวังหยวนยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำใด แต่มองหน้าเสวี่ยเชียนหลงราวกับต้องการมองทะลุจิตใจนางเสวี่ยเชียนหลงหลบสายตา
เมื่ออาจารย์ชิงอีจากไปแล้ว เสวี่ยเชียนหลงก็พยักหน้าเบา ๆ ให้กับหวังหยวน เป็นสัญญาณให้หวังหยวนเดินตามนางมา จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องของนางเพราะหากสนทนากันข้างนอกอาจมีคนแอบฟังได้“เชียนหลง เจ้าเป็นอะไรไป? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ? ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า เจ้าอย่ากังวลเลย ข้าจะไม่จากไปไหน!”หวังหยวนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าเหตุใดเชียนหลงจึงเปลี่ยนใจกะทันหันเมื่อได้พบหน้าเขาเสวี่ยเชียนหลงไม่ได้หันกลับมา แต่หันหลังพูดกับหวังหยวนว่า “อย่าเลยเจ้าค่ะ ถึงตอนนี้ ข้าไม่ได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ข้าไม่อาจให้ท่านต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องเช่นนี้เพราะข้าเพียงคนเดียว”เสวี่ยเชียนหลงรู้เรื่องราวของเทียนไว่เทียนและซานไว่ซานมาตั้งแต่เด็ก นางจึงรู้ดีถึงความอันตราย ทำให้ไม่ต้องการให้คุณชายเสี่ยงอันตรายเพื่อตนหวังหยวนขมวดคิ้วเดินไปตรงหน้าเสวี่ยเชียนหลง เพราะต้องการมองใบหน้าของนาง และฟังนางพูดด้วยตนเอง แต่เสวี่ยเชียนหลงกลับหลบสายตา“คุณชาย ท่านคิดว่าด้วยวิชาของท่านในตอนนี้ จะสามารถชนะการประลองหาคู่ในเทียนไว่เทียนได้หรือเจ้าคะ? ข้ารู้ว่าคุณชายมีความสามารถ แต่เทียนไว่เทียนไม่เหมือนที่ใดที่ท่านเค
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ปัญญาทึบเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเมื่อได้พบกับเชียนหลงแล้วจึงกลับโง่งงมไปเสียแล้วเล่า? ที่นางกล่าวเช่นนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อเจ้าหรอกหรือ?”หวังหยวนไม่ได้ตอบ“สตรีผู้นั้นเพียงไม่ต้องการให้เจ้าเข้าร่วมการประลองยุทธ์หาคู่แล้วต้องสิ้นชีพ ที่แห่งนี้มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น ดังนั้นนางจึงหวังให้เจ้าจากไป จึงได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นเพื่อทำร้ายจิตใจเจ้า หากเจ้าเชื่อคำของนางจริง ข้าคงรู้สึกว่าหวังหยวนที่ข้ารู้จักก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนตัวไปเสียแล้ว”เมื่อได้ฟังคำพูดของพี่ชิงอี ในที่สุดหวังหยวนจึงคิดได้อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วคิดไม่ทัน เขาจึงได้เข้าใจผิดไป“พี่ชิงอี วางใจเถิด แม้ข้าจะโกรธเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่จะให้ข้าไม่สนใจนางได้อย่างไร แม้เราทั้งสองจะไม่อาจเป็นสามีภรรยากันได้ แต่นางก็เป็นเหมือนน้องสาวของข้า ข้าจะต้องช่วยชีวิตนางอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงที่ฟังดูเก้อเขินแสดงถึงความรู้สึกในใจของหวังหยวนในขณะนี้หลังจากที่ทั้งสองได้พูดคุยกันแล้ว หวังหยวนก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่เทียนไว่เทียนต่อเพื่อช่วยเหลือเสวี่ยเชียนหลง และเขาก็ไม่ต้อ
“จิบชาพูดคุยถึงฟ้าดิน ชมดอกไม้รู้ถึงความไม่เที่ยงของชีวิต”บทกวีสองประโยคง่าย ๆ นี้ได้ทำให้ผู้คนในที่แห่งนี้ตกใจจนอ้าปากค้างอาจารย์ชิงอีเป็นคนแรกที่ปรบมือ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ตอบสนองเดิมทีคิดว่าหวังหยวนจะเป็นบุคคลหยาบคายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ไม่คาดคิดว่าความสามารถทางวรรณกรรมจะสูงส่งเช่นนี้ เพียงแค่พูดออกมาก็เป็นบทกวีที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนแล้ว“ยอดเยี่ยม! แต่งบทกวีจากชาตรงหน้าได้ดีมาก”หลังจากที่เสวี่ยโส่วจุนชมเชยหวังหยวนแล้ว ก็ได้ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเช่นกัน ชาถ้วยนี้เป็นชารสเลิศจริง ๆ“แต่ก็เป็นเพียงบทกวีสองประโยคที่พูดถึงชาเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ หากต้องการเข้าร่วมการประลองยุทธ์หาคู่ เช่นนี้คงไม่ได้ ข้าจะออกโจทย์ให้สักข้อก็แล้วกัน”ชายหนุ่มผู้มีความสามารถคนหนึ่งลุกขึ้นจากด้านข้าง จากนั้นโบกพัดเดินเข้าหาหวังหยวนอย่างช้า ๆ นัยน์ตาฉายแววท้าทายเขาเดินไปหยุดตรงหน้าหวังหยวน แล้วนั่งขัดสมาธิลงที่โต๊ะใครจะคิดว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร หวังหยวนก็ลุกขึ้นทันทีแล้วเดินไปเจ็ดก้าวในสมัยโบราณมีกวีนามว่าเฉาจื๋อที่แต่งบทกวีเจ็ดก้าว วันนี้หวังหยวนจะขอยืมบทกวีของบร