“ศิษย์ขอคารวะและยินดีต้อนรับท่านอาจารย์กลับมาเจ้าค่ะ! ขอคารวะคุณชายเจ้าค่ะ”เสวี่ยเชียนหลงคำนับพ่อ อาจารย์และหวังหยวน จากนั้นก็ยืนเคียงข้างพวกเขา“เชียนหลง เจ้าอย่ากังวลไปเลย อาจารย์ของเจ้ากลับมาแล้ว และยังพาชายหนุ่มผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาสุริยันมาด้วย เจ้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!”เสวี่ยโส่วจุนไม่ได้ยิ้มอย่างเบิกบานเช่นนี้มานานแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขามาจากใจจริงหลายปีที่แสวงหาหนทางช่วยเหลือลูกสาว แต่บัดนี้ความช่วยเหลือมาถึงแล้วต่างจากเสวี่ยโส่วจุนที่มีรอยยิ้ม เสวี่ยเชียนหลงกลับไม่อาจยิ้มได้กล่าวได้ว่า เมื่อนางได้รับข่าวในตอนแรกก็ยินดีปรีดา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นความกังวล“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้เขาเข้าร่วมการประลองหาคู่ของข้าเจ้าค่ะ”ขณะที่เสวี่ยเชียนหลงเอ่ยประโยคนี้ อาจารย์ชิงอี หวังหยวน และเสวี่ยโส่วจุนต่างก็ตะลึงงันเกิดอะไรขึ้น?ไม่ใช่ว่าได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ? หวังหยวนต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่เพื่อช่วยชีวิตนาง แล้วเหตุใดจึงไม่อยากให้เขาเข้าร่วม?หวังหยวนยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำใด แต่มองหน้าเสวี่ยเชียนหลงราวกับต้องการมองทะลุจิตใจนางเสวี่ยเชียนหลงหลบสายตา
เมื่ออาจารย์ชิงอีจากไปแล้ว เสวี่ยเชียนหลงก็พยักหน้าเบา ๆ ให้กับหวังหยวน เป็นสัญญาณให้หวังหยวนเดินตามนางมา จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องของนางเพราะหากสนทนากันข้างนอกอาจมีคนแอบฟังได้“เชียนหลง เจ้าเป็นอะไรไป? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ? ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า เจ้าอย่ากังวลเลย ข้าจะไม่จากไปไหน!”หวังหยวนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าเหตุใดเชียนหลงจึงเปลี่ยนใจกะทันหันเมื่อได้พบหน้าเขาเสวี่ยเชียนหลงไม่ได้หันกลับมา แต่หันหลังพูดกับหวังหยวนว่า “อย่าเลยเจ้าค่ะ ถึงตอนนี้ ข้าไม่ได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ข้าไม่อาจให้ท่านต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องเช่นนี้เพราะข้าเพียงคนเดียว”เสวี่ยเชียนหลงรู้เรื่องราวของเทียนไว่เทียนและซานไว่ซานมาตั้งแต่เด็ก นางจึงรู้ดีถึงความอันตราย ทำให้ไม่ต้องการให้คุณชายเสี่ยงอันตรายเพื่อตนหวังหยวนขมวดคิ้วเดินไปตรงหน้าเสวี่ยเชียนหลง เพราะต้องการมองใบหน้าของนาง และฟังนางพูดด้วยตนเอง แต่เสวี่ยเชียนหลงกลับหลบสายตา“คุณชาย ท่านคิดว่าด้วยวิชาของท่านในตอนนี้ จะสามารถชนะการประลองหาคู่ในเทียนไว่เทียนได้หรือเจ้าคะ? ข้ารู้ว่าคุณชายมีความสามารถ แต่เทียนไว่เทียนไม่เหมือนที่ใดที่ท่านเค
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ปัญญาทึบเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเมื่อได้พบกับเชียนหลงแล้วจึงกลับโง่งงมไปเสียแล้วเล่า? ที่นางกล่าวเช่นนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อเจ้าหรอกหรือ?”หวังหยวนไม่ได้ตอบ“สตรีผู้นั้นเพียงไม่ต้องการให้เจ้าเข้าร่วมการประลองยุทธ์หาคู่แล้วต้องสิ้นชีพ ที่แห่งนี้มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น ดังนั้นนางจึงหวังให้เจ้าจากไป จึงได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นเพื่อทำร้ายจิตใจเจ้า หากเจ้าเชื่อคำของนางจริง ข้าคงรู้สึกว่าหวังหยวนที่ข้ารู้จักก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนตัวไปเสียแล้ว”เมื่อได้ฟังคำพูดของพี่ชิงอี ในที่สุดหวังหยวนจึงคิดได้อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วคิดไม่ทัน เขาจึงได้เข้าใจผิดไป“พี่ชิงอี วางใจเถิด แม้ข้าจะโกรธเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่จะให้ข้าไม่สนใจนางได้อย่างไร แม้เราทั้งสองจะไม่อาจเป็นสามีภรรยากันได้ แต่นางก็เป็นเหมือนน้องสาวของข้า ข้าจะต้องช่วยชีวิตนางอย่างแน่นอน!”น้ำเสียงที่ฟังดูเก้อเขินแสดงถึงความรู้สึกในใจของหวังหยวนในขณะนี้หลังจากที่ทั้งสองได้พูดคุยกันแล้ว หวังหยวนก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่เทียนไว่เทียนต่อเพื่อช่วยเหลือเสวี่ยเชียนหลง และเขาก็ไม่ต้อ
“จิบชาพูดคุยถึงฟ้าดิน ชมดอกไม้รู้ถึงความไม่เที่ยงของชีวิต”บทกวีสองประโยคง่าย ๆ นี้ได้ทำให้ผู้คนในที่แห่งนี้ตกใจจนอ้าปากค้างอาจารย์ชิงอีเป็นคนแรกที่ปรบมือ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ตอบสนองเดิมทีคิดว่าหวังหยวนจะเป็นบุคคลหยาบคายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ไม่คาดคิดว่าความสามารถทางวรรณกรรมจะสูงส่งเช่นนี้ เพียงแค่พูดออกมาก็เป็นบทกวีที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนแล้ว“ยอดเยี่ยม! แต่งบทกวีจากชาตรงหน้าได้ดีมาก”หลังจากที่เสวี่ยโส่วจุนชมเชยหวังหยวนแล้ว ก็ได้ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเช่นกัน ชาถ้วยนี้เป็นชารสเลิศจริง ๆ“แต่ก็เป็นเพียงบทกวีสองประโยคที่พูดถึงชาเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ หากต้องการเข้าร่วมการประลองยุทธ์หาคู่ เช่นนี้คงไม่ได้ ข้าจะออกโจทย์ให้สักข้อก็แล้วกัน”ชายหนุ่มผู้มีความสามารถคนหนึ่งลุกขึ้นจากด้านข้าง จากนั้นโบกพัดเดินเข้าหาหวังหยวนอย่างช้า ๆ นัยน์ตาฉายแววท้าทายเขาเดินไปหยุดตรงหน้าหวังหยวน แล้วนั่งขัดสมาธิลงที่โต๊ะใครจะคิดว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร หวังหยวนก็ลุกขึ้นทันทีแล้วเดินไปเจ็ดก้าวในสมัยโบราณมีกวีนามว่าเฉาจื๋อที่แต่งบทกวีเจ็ดก้าว วันนี้หวังหยวนจะขอยืมบทกวีของบร
“เพียงเพราะเจ้ามองโลกแคบเกินไป ไม่ค่อยได้รู้จักผู้คนในโลกมนุษย์ จึงไม่รู้ว่าข้าได้เผยแพร่บทกวีออกไปข้างนอกแล้ว หากเจ้าได้ลองทำความเข้าใจ เจ้าจะรู้ว่าในโลกนี้ยังมีผู้เก่งกล้าอีกมากมาย!”หวังหยวนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา คนเช่นนี้มีตาหามีแววไม่ เขาไม่ใส่ใจอยู่แล้ว“เมื่อครู่ได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินที่บทกวีเหล่านี้ใดมาก่อน ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเป็นบทกวีของหวังหยวนเอง” ก่อนหน้านี้เสวี่ยเชียนหลงเคยเห็นหวังหยวนแต่งบทกวีมาก่อน แต่ไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้ คงเป็นเพราะคราวนี้หวังหยวนจริงจังมากเนื่องจากมีผู้ที่ไม่ยอมรับหวังหยวนมากมาย พวกเขาทั้งหลายต่างคิดว่าตนเองเก่งกล้ากว่าหวังหยวน จึงสมควรได้เข้าร่วมการประลองยุทธ์เพื่อหาคู่มากกว่า จึงยังคงให้มีการประลองต่อไป“หวังหยวน เจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก เพียงแค่แต่งบทกวีได้สองบทเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถแต่งบทกวีได้ดีกว่าเจ้าในทันที หากเจ้ามีความสามารถจริงก็จงแต่งบทกวีออกมาอีกหลาย ๆ บทเลยสิ!”“ถูกต้องแล้ว ให้พวกข้าได้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อย! เจ้าว่าตนเองมีความสามารถล้นเหลือ แต่ความสามารถนั้นอยู่ที่ใดกันเล่า?”“ให้เวลาเจ้า
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก น่าอัศจรรย์เหลือเกิน!”“ข้าไม่เคยพบผู้ใดที่มีความสามารถเช่นหวังหยวนมาก่อน ข้าเห็นด้วย! ข้าเห็นด้วยให้เขาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เพื่อหาคู่กับสตรีสูงศักดิ์!”“ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน เก่งกาจเกินไปแล้ว ยอมแพ้ราบคาบ!”“บทกวีห้าบท หากเป็นข้า คิดทั้งปีก็คงคิดไม่ออก แต่เขาสามารถแต่งบทกวีทั้งห้าบทได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”“ก่อนหน้านี้ข้าคิดเสมอว่าตนเองเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากบนโลกนี้จนกระทั่งได้พบกับหวังหยวน เมื่อได้ฟังบทกวีห้าบทที่เขาแต่ง ข้าจึงรู้ว่าข้าคิดผิด!”หวังหยวนรับฟังคำสรรเสริญของผู้คน จากนั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าเสวี่ยโส่วจุน“ภายในครึ่งชั่วยาม ข้าได้แต่งบทกวีทั้งห้าบทนี้เสร็จแล้ว ไม่ทราบว่าจะผ่านการทดสอบด่านแรกได้หรือไม่ขอรับ”นอกจากหวังหยวนจะแต่งบทกวีห้าบทได้ภายในครึ่งชั่วยามแล้ว เขายังได้รับความชื่นชมจากนักปราชญ์ทั้งหลายในที่แห่งนี้ด้วยเขาได้กลายเป็นผู้ที่มีความสามารถทางวรรณกรรมสูงสุดในที่แห่งนี้ จึงสมควรผ่านการทดสอบของด่านแรก“ผ่านสิ! เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ชิงอี ด้านการฝึกยุทธ์คงจะเชี่ยวชาญอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าความสามารถทางวรรณกรรมจะยอดเย
“ได้เลย”หลังจากที่หวังหยวนตอบรับ ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกันดีอาจเป็นเพราะครั้งก่อนที่เสวี่ยเชียนหลงพูดจาไม่ค่อยดีนัก จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง“ใช่แล้ว พ่อของข้าให้ข้ามาบอกท่านว่าช่วงนี้ให้ท่านพักอยู่ที่จวนเสวี่ยก่อน เพราะหากท่านพักที่อื่น ท่านอาจจะถูกคนลอบสังหารได้ คนพวกนั้นไม่ใช่คนดีนัก”ทันใดนั้นเสวี่ยเชียนหลงก็นึกถึงคำสั่งของบิดาที่สั่งไว้ก่อนที่นางจะออกมาได้หวังหยวนพยักหน้า“เช่นนั้นเจ้าก็พาข้าไปเถิด ข้ายังไม่รู้เลยว่าจวนเสวี่ยอยู่ที่ใด เทียนไว่เทียนกว้างใหญ่นัก”หวังหยวนยิ้มให้เสวี่ยเชียนหลง ทำให้ใบหน้าของเสวี่ยเชียนหลงแดงเรื่อ นางเดินนำหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่รีบจนเสียจังหวะหวังหยวนเดินตามหลังนางไป อาจเป็นเพราะเสวี่ยเชียนหลงกำลังจะเข้าร่วมการประลองหาคู่ หวังหยวนจึงตั้งใจไม่เดินเข้าใกล้นางมากนัก เพราะไม่อยากให้คนอื่นติฉินนินทาเสวี่ยเชียนหลงก็เข้าใจดีว่าหวังหยวนคิดอย่างไร นางจึงตั้งใจเดินช้าลง ทั้งสองเดินตามกันมาอย่างสนิทสนมท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ในที่สุดหวังหยวนก็ได้ไปเข้าพักที่จวนเสวี่ยไม่นานนักเสวี่ยโส่วจุนก็กลับมาที่จวนเสว
หลังจากที่นักปราชญ์เหล่านี้ได้พูดคุยกับหวังหยวนแล้ว ความเคารพและชื่นชมที่พวกเขามีต่อหวังหยวนก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเสวี่ยเชียนหลงก็รู้สึกชื่นชมหวังหยวนเช่นกัน และยิ่งรู้สึกว่ามีเพียงคนอย่างหวังหยวนเท่านั้นที่คู่ควรกับนางในวันที่สองหลังจากที่เข้าร่วมการสอบความรู้ความสามารถ เนื้อหาการแข่งขันในด่านที่สองก็ได้รับการเปิดเผย“เนื้อหาของด่านที่สองนั้นง่ายดายสำหรับเจ้ามาก เพราะเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ชิงอี เจ้าย่อมมีความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม”เมื่อเสวี่ยโส่วจุนเรียกหวังหยวนมาเพื่อประกาศเนื้อหาการแข่งขัน เขาก็มีความมั่นใจในตัวหวังหยวนอย่างเต็มเปี่ยม หวังหยวนอดหัวเราะไม่ได้“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ในการแข่งขัน และจะไม่ทำให้เสวี่ยเชียนหลงผิดหวังขอรับ”“ดี!”เสวี่ยโส่วจุนมองหวังหยวนที่อยู่ตรงหน้า พลางคิดว่ายิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ เขาจึงเริ่มถามหวังหยวนว่าแต่งงานหรือยัง“หวังหยวนไม่กล้าปกปิดท่านโส่วจุน ข้ามีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้วสามคน แต่พวกนางมีความเสมอภาคกัน ไม่มีใครสูงส่งหรือต่ำต้อยกว่ากันขอรับ”เมื่อหวังหยวนเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยอง เสวี่ยโส่วจุนก็รู้สึกประหล