อุบัติเหตุจู่ ๆ ก็เกิดขึ้น อย่างไม่คาดฝัน ที่เกิดเหตุเกิดความโกลาหลขึ้น คนที่ขนย้ายท่อนไม้ก็ขนย้ายท่อนไม้ออกไป ส่วนคนที่ต้องส่งไปโรงพยาบาลก็ถูกส่งไปยังโรงพยาบาล โชคดีที่เรือมังกรยังมีแค่โครง จึงไม่ได้หนักมากนัก น่องของโหลวฉางเยว่ผ่านการเอกซเรย์ดูแล้วก็ไม่ได้หักแต่อย่างใด ถ้าหากเรือมังกรที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งมีน้ำหนักหลายตัน เช่นนั้นขาข้างนี้ของเธอก็คงจะพิการไปแล้ว แต่ที่เห็นท่าจะไม่ดีคือ สมิธหมดสติอยู่ตรงนั้น ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ จะต้องมีคำอธิบายอย่างแน่นอน ในระหว่างที่พวกเขาถูกส่งไปยังโรงพยาบาล เจ้าของโรงงานก็รีบไปตรวจสอบเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างชัดเจน——ปรากฏว่าเชือกป่านเส้นหนึ่งที่ค้ำเรือมังกรที่แขวนอยู่กลางอากาศนั้นคลายออก นี่จึงทำให้เรือมังกรสูญเสียสมดุลจนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ แล้วเกิดเป็นอุบัติเหตุนี้ขึ้น แล้วเชือกเส้นนั้น ทำไมถึงคลายออกมาล่ะ? ในห้องพักรักษาตัวผู้ป่วย เจ้าของโรงงานหัวเราะฮ่า ๆ อย่างขมขื่น “เชือกที่คลายออกคือเบอร์ 4 แต่ในโรงงานกลับไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่รู้ทำไมถึงคลายออกมาได้ ตามความทรงจำของทุกคน ก่อนและหลังเกิดเรื่องขึ้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นท
พยาบาลใช้น้ำยาฆ่าเชื้อช่วยเช็ดแผลให้กับไป๋โหยว น้ำยาได้ไปกระตุ้น จนไป๋โหยวร้อง “โอ้ย” ขึ้นมาเล็กน้อย เหวินเหยียนโจวรีบเดินเข้าไปทันที “เป็นไงบ้าง?” “ไม่เป็นไร ๆ ค่ะ ฉันเป็นแผลแค่นิดเดียวค่ะ” ไป๋โหยวมองเขาอย่างเป็นห่วง “ประธานเหวินคะ ไหล่ของคุณเป็นยังไงบ้างคะ? เจ็บไหมคะ? รีบให้คุณหมอตรวจดูหน่อยเถอะค่ะ” ไหล่ของเหวินเหยียนโจว ถูกมุมเรือมังกรกระแทกเข้าในตอนที่ปกป้องไป๋โหยว เหวินเหยียนโจวไม่ได้สนใจ “ผมไม่ต้องหรอก” แต่พอเห็นฝ่ามือของไป๋โหยว กลับเตือนอย่างใส่ใจ “อย่าโดนน้ำจนกว่าแผลจะหายดีนะ ติดเชื้อแบคทีเรียจะหายยาก เดี๋ยวผมจะจัดเตรียมแม่บ้านให้มาดูแลคุณ” “ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ ประธานเหวินคะ คุณอย่าปฏิบัติกับฉันเหมือนเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรสิคะ” โหลวฉางเยว่มองดูพวกเขาที่เป็นห่วงเป็นใยกันและกันด้วยสายตาที่เย็นชา นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปความเหนื่อยล้าและความผิดหวัง ในที่สุดสะสมจนเป็นน้ำทะเล และดึงเธอจมลงไปจนหมดสิ้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ โหลวฉางเยว่วางขาที่บาดเจ็บที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยลงไปบนพื้นอย่างไม่มีเสียงใด ๆ ก่อนจะลองลุกขึ้นยืน ความเจ็บปวดได้พุ่งขึ้นไปจากเท้าจนแทงเข้
คิดไม่ถึงว่า โหลวฉางเยว่จะพูดขึ้นว่า “แค่สิบนาทีก็ได้แล้วค่ะ” ไป๋โหยวตกตะลึง และเหวินเหยียนโจวก็ขมวดคิ้วขึ้นมา โหลวฉางเย่วอดทนต่อความเจ็บปวดที่ขา โดยจับขอบเตียงผู้ป่วยเอาไว้ แล้วเดินตรงไปหาเจ้าของโรงงาน “เจ้าของโรงงานคะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแค่คนเดียวค่ะ” เจ้าของโรงงานรีบพูดขึ้นว่า “คุณว่ามาเลย” โหลวฉางเยว่กระซิบ “รบกวนคุณช่วยไปตามบล็อกเกอร์คนนั้นที่ถ่ายรูปอยู่ในโรงงานมาให้หน่อยได้ไหมคะ เมื่อกี้ฉันเห็นเขาก็ช่วยพาคนเจ็บมาส่งโรงพยาบาลด้วย น่าจะยังอยู่ตรงล็อบบี้ฉุกเฉินน่ะค่ะ” เจ้าของโรงงานผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบตอบเธอ “ได้ครับ ผมจะไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้เลย” โหลวฉางเยว่พยักหน้า “ขอบคุณนะคะ” คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ได้ยินในสิ่งที่พวกพูด เหวินเหยียนโจวมองไปที่โหลวฉางเยว่อย่างเย็นชา และสีหน้าของไป๋โหยวก็ดูไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าโหลวฉางเยว่แค่แสร้งทำเป็นมีความลับ หรือว่ามีหลักฐานจริง ๆ กันแน่? เจ้าของโรงงานออกไปไม่นาน ก็ถือกระเป๋าสีดำเข้ามา ทุกคนต่างมองดู และไม่รู้ว่ามันคืออะไร? เจ้าของโรงงานพูดกับโหลวฉางเยว่ “พอหนุ่มคนนั้นได้ยินผมพูดถึงเร
จนถึงตอนนี้ โหลวฉางเยว่ถึงจะมองไปที่เขา “นี่เป็นเดิมพันระหว่างฉันกับเธอ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ รวมทั้งคุณประธานเหวิน ล้วนเป็นพยานกันทั้งนั้น ฉันก็แค่ทำตามผลของเดิมพัน ประธานเหวินคิดว่าฉันมีปัญหาตรงไหนเหรอคะ? ฉันทำผิดตรงไหนเหรอ?” เธอดูเหมือนเม่นที่มีหนามอยู่ทั่วตัว เม่นที่แยกเขี้ยวอยู่ มันต่างจากท่าทีที่สุขุม ไม่ทำตัวเด่นและถ่อมตัวตามปกติของเธออย่างสิ้นเชิง เหวินเหยียนโจวรู้สึกถึงความแปลกไปเล็กน้อย “เธอให้ร้ายฉัน และทำแม้กระทั่งใส่ร้ายฉัน บางทีเธออาจดึงเชือกแล้วมาตำหนิฉัน หากไม่ใช่เพราะมีหลักฐาน อาศัยแค่คำพูดสองสามคำของเธอ บวกกับอาศัยการปกป้องที่ลำเอียงของคุณประธานเหวิน วันนี้ต่อให้ฉันกระโดดลงแม่น้ำหวงผู่ก็เกรงว่าจะต้องโดนพูดว่าฆ่าตัวตายเพราะเกรงกลัวต่อความผิด ทำไมฉันต้องรับความไม่ยุติธรรมนี้ไว้ด้วยคะ? แล้วพอรับความยุติธรรมนี้ไว้แล้วทำไมถึงคืนความบริสุทธิ์กลับมาไม่ได้คะ?” โหลวฉางเยว่โต้ตอบไปคำต่อคำ และมองตรงเข้าไปในดวงตาของเหวินเหยียนโจว ไม่หลบไม่ซ่อน ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิงและไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย! “และถ้าหากว่า ลูกค้าโดนเรือทับเป็นอะไรขึ้นมา ไม่ไว้หน้ากัน ก็จะต้องรับผิดชอ
“แม่ง……” “หญิงร้ายชายเลว ขอให้แม่งอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย” วันนี้โหลวฉางเยว่จะขนของในห้องทำงานกลับบ้านไปจนหมด การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ ไม่อาจปกปิดเฉียวซีซีที่อาศัยอยู่ด้วยกันได้ตามปกติ ภายใต้การซักถามซ้ำ ๆ ของเฉียวซีซี ในที่สุดโหลวฉางเยว่ก็ต้องบอกทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เฉียวซีซีเปิดไมค์ขึ้นมาโดยตรง ด่าว่าเหวินเหยียนโจวกับไป๋โหยวอยู่นานนับครึ่งชั่วโมง ยิ่งด่าก็ยิ่งโมโห จึงไปหยิบเบียร์เย็น ๆ ออกมาจากตู้เย็นหนึ่งขวด แล้วกระดกเข้าไปจัง ๆ เธอหันหน้า ไปถามโหลวฉางเยว่ “จากนั้นเธอก็ลาออกมาอย่างนี้งั้นเหรอ?” โหลวฉางเยว่ทายาลงบนขาที่บาดเจ็บให้กับตัวเอง และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่ใช่ว่าเธอหวังอยากให้ฉันออกมาจากเหวินเหยียนโจวมาโดยตลอดหรอกเหรอ? ตอนนี้ฉันลาออกมาแล้วไง เธอยังคิดว่าฉันวู่วามเกินไปอีกเหรอ?” “ไม่ใช่แน่นอน! เธอเลือกถอยออกมาเอง มีหรือฉันจะไม่มีความสุข! ก็แค่รู้สึกว่าเอาคืนไอ้สารเลวคู่นั้นน้อยไป!” เฉี่ยวซีซีด่าเสร็จ ก็เม้มริมฝีปากอีกครั้ง และถามโดยที่ยังโกรธต่อว่า “แล้วตอนที่เธอพูดว่าจะลาออก ท่าทีของไอ้โง่เหวินเหยียนโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ข้อมูลเป็นอะไรที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องที่โหลวฉางเยว่ติดต่อกับหลายบริษัทบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ก็ไม่อาจปิดบังจากคนในได้ เหวินเหยียนโจวไปขี่ม้าที่ทุ่งหญ้าเพื่อพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์กับเพื่อน ๆ สองสามคน และระหว่างเวลานี้ก็คุยกันถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา ซูหยุนถามขึ้นอย่างซื่อบื้อว่า “จริงหรือเปล่า? ที่ว่าพี่โจวยอมปล่อยให้เลขาโหลวจากไป?” “จริงแท้แน่นอน ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของฉันก็ยังได้ติดต่อเธอไปแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอยู่นอกเหนือการพิจารณาวางแผนเรื่องอาชีพการงาน หรือว่าเพราะฉันรู้จักโจวเอ๋อร์กันแน่ แต่ถึงอย่างไรเธอก็บอกว่าไม่ค่อยเหมาะสม และปฏิเสธมาแล้ว” เย่เหอหรานเหลือบมองไปที่เหวินเหยียนโจว สายตานั้นแฝงความหมายที่ตำหนิเขาอยู่เล็กน้อยที่ขัดโอกาสในการคว้าคนมีความสามารถเอาไว้ เหวินเหยียนโจวสวมชุดขี่ม้าสีดำ ส่วนล่างสะโพกคือม้าขาวตัวหนึ่ง หน้าตาหล่อแต่เย็นชา เมื่อเทียบกับสวมชุดสูทแบบคนชนชั้นสูงนั้น ตอนนี้ดูสบาย ๆ กว่ามาก พวกเขากำลังคุยเรื่องโหลวฉางเยว่กันอยู่ แต่เขากลับดูเหมือนฟังเรื่องของคนแปลกหน้าอยู่เสียอย่างนั้น แต่พอคิดดูอย่างละเอียดแล้ว เหวินเหยีย
ท่าทีของเหวินเหยียนโจวนั้นเมินเฉย “นายไม่เพียงแต่รู้สึกเสียดาย แต่ยังรู้สึกว่าฉันเป็นผู้กระทำเธอ——ไม่ใช่ว่านายคิดอยู่เสมอเหรอว่าสุดท้ายพวกเราจะต้องแต่งงานกัน?” นอกจากพ่อแม่ของเขาแล้ว ซิ่วอวี้ก็เคยถามเขาด้วย ว่าวางแผนจะปลูกต้นรักมีลูกมีเต้ากับโหลวฉางเยว่ตอนไหน ซิ่วอวี้ชี้ให้เห็นต่อว่า “เลขาโหลวเป็นอาหารอันโอชะที่อร่อยไปทุกด้านไม่ว่าจะสี กลิ่นหรือรส นายปล่อยเธอออกไป ไม่ต้องบอกว่าพวกหมาป่าเตรียมพร้อมที่จะลงมือขนาดไหน ฉันกลัวว่านายจะเสียใจในภายหลัง และเธอก็ถูกคนอื่นคาบไปกินเสียแล้วด้วย” เหวินเหยียนโจวพูดอย่างใจเย็น “เธอทำไม่ได้หรอก” “ทำไม่ได้ที่จะไปกับคนอื่นเหรอ? นายก็มั่นใจอะไรขนาดนั้นกัน?” เหวินเหยียนโจวเหลือบมองไปที่เขา แล้วตอบอย่างไม่กระตือรือร้นว่า “ถ้านายสนใจ ก็ลองดูได้”“นายนี่เลวจริง ๆ ” ซิ่วอวี้ควบม้าหนีห่างจากเขา แต่กลับเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในตัวเองขนาดนี้——เพราะสามปีที่ผ่านมาโหลวฉางเยว่ก็คล้อยตามเขาเสียเหลือเกิน ในสายตาและในใจของเธอ ก็มีแต่เหวินเหยียนโจวคนเดียวเท่านั้น เวลาไม่ทำงานก็ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายเขา จนแทบจะไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย ราวกับว่าเหว
โหลวฉางเยว่รีบพูดไกล่เกลี่ยขึ้นว่า “ประธานเสี่ยวจินก็มาทานอาหารด้วยเหรอคะ? ซุปเห็ดในร้านนี้ก็ค่อนข้างอร่อยเลยนะคะ เดี๋ยวคุณลองสั่งดูได้เลยค่ะ ยังมีเรื่องที่คุณคุยกับฉันในวันนั้น ฉันยังพิจารณาอยู่นะคะ รอให้พิจารณาเสร็จแล้ว ฉันจะติดต่อคุณไปอีกทีนะคะ” จินอี้เฟยยังเห็นแก่หน้าของโหลวฉางเยว่อยู่ เขาเหลือบมองไปที่ซูหยุน ก่อนจะพูดกับเธอต่อว่า “ครับ ผมจะลองสั่งดูแน่นอน และผมก็รอคำตอบของคุณอยู่นะครับ” จากนั้นก็พาเพื่อนร่วมงานสาวไปยังอีกโต๊ะทันที โหลวฉางเยว่มองไปที่ซูหยุน ซูหยุนก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่นะครับ ฉางเยว่ คุณอย่าไปพิจารณาเขาเลย ผมเองก็จริงใจจริง ๆ นะครับ” โหลวฉางเยว่ “จริงใจอะไรเหรอคะ?” “จริงใจอยากจะจ้างคุณมาเป็นเลขาของผมจริง ๆ ครับ! ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วจะไปบริหารบริษัทของพ่อผมได้ดีอย่างไรล่ะครับ ผมต้องการคุณมากกว่าใคร” ซูหยุนกล่าวอย่างจริงใจ “คุณวางใจได้เลยครับ ผมก็เป็นเพียงเจ้านายประเภทนั้น ประเภทที่ใช้แต่เงินมาจ้าง ไม่บีบบังคับ คุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะไปเจ้ากี้เจ้าการผู้เชี่ยวชาญนะครับ คุณทำงานกับผมที่นี่ ก็เป็นผู้อำนาจเหนือคนทั้งปวงครับ!” ตอนแรกโหลวฉางเยว่โกร
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ