โหลวฉางเยว่รีบพูดไกล่เกลี่ยขึ้นว่า “ประธานเสี่ยวจินก็มาทานอาหารด้วยเหรอคะ? ซุปเห็ดในร้านนี้ก็ค่อนข้างอร่อยเลยนะคะ เดี๋ยวคุณลองสั่งดูได้เลยค่ะ ยังมีเรื่องที่คุณคุยกับฉันในวันนั้น ฉันยังพิจารณาอยู่นะคะ รอให้พิจารณาเสร็จแล้ว ฉันจะติดต่อคุณไปอีกทีนะคะ” จินอี้เฟยยังเห็นแก่หน้าของโหลวฉางเยว่อยู่ เขาเหลือบมองไปที่ซูหยุน ก่อนจะพูดกับเธอต่อว่า “ครับ ผมจะลองสั่งดูแน่นอน และผมก็รอคำตอบของคุณอยู่นะครับ” จากนั้นก็พาเพื่อนร่วมงานสาวไปยังอีกโต๊ะทันที โหลวฉางเยว่มองไปที่ซูหยุน ซูหยุนก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่นะครับ ฉางเยว่ คุณอย่าไปพิจารณาเขาเลย ผมเองก็จริงใจจริง ๆ นะครับ” โหลวฉางเยว่ “จริงใจอะไรเหรอคะ?” “จริงใจอยากจะจ้างคุณมาเป็นเลขาของผมจริง ๆ ครับ! ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วจะไปบริหารบริษัทของพ่อผมได้ดีอย่างไรล่ะครับ ผมต้องการคุณมากกว่าใคร” ซูหยุนกล่าวอย่างจริงใจ “คุณวางใจได้เลยครับ ผมก็เป็นเพียงเจ้านายประเภทนั้น ประเภทที่ใช้แต่เงินมาจ้าง ไม่บีบบังคับ คุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะไปเจ้ากี้เจ้าการผู้เชี่ยวชาญนะครับ คุณทำงานกับผมที่นี่ ก็เป็นผู้อำนาจเหนือคนทั้งปวงครับ!” ตอนแรกโหลวฉางเยว่โกร
ถ้าตอบกลับคำพูดของอีกฝ่าย คุณจะตกลงไปในวงจรที่ถามคำตอบคำเธอไม่ควรที่จะตอบคำถามเขาโหลวฉางเยว่เปิดหัวเรื่อง “มีประธานซิ่วจัดการ นายน้อยซูและประธานจินคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันขอตัวก่อน”ท่าทางของเธอนิ่งมากราวกับกำลังปฏิบัติกับคนที่ไม่คุ้นเคยเหวินเหยียนโจวมองเธอด้วยสายตาไร้ความปรานี หลังจากที่เธอพึ่งก้าวเท้ากลับไปสองเก้านั้นจึงเอ่ยปากไปว่า “เรื่องมันก็ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว ยังไม่หายอีกเหรอ?”โหลวฉางเยว่ผงะและรู้แจ้งทันที เขาคงคิดว่าวันนั้นที่เธออยู่ในโรงพยาบาลแล้วโดนกล่าวหา ถึงได้โมโหแล้วระบายอารมณ์ออกาแบบนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็จะเย็นลงเองอันที่จริงภายหลังเธอได้ มองย้อนกลับไป ฉันยังรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองวู่วามจนเกินไป ระบายความคับข้องใจทั้งหมดที่เธอได้รับจากเขาในคราวเดียว ในสายตาของเขา คงเป็นเหมือนตัวตลกโหลวฉางเยว่ไม่รู้จะพูดอะไร เธอลาออกแล้ว พูดได้เลยว่าพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสังเกตุอารมณ์ของเขาเหมือนอย่างเมื่อก่อนเธอไม่หันกลับไป แต่เดินหน้าต่อไปเหวินเหยียนโจวมองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินโซเซ การแสดงออกที่เหมือนเดิมแต่ดูเหมือนจะเย็นชามาก
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกจับได้โหลวฉางเยว่ก็ถึงกับตกใจทันทีที่หันหน้าไปสบตาเข้ากับสายตาที่เป็นประกาย ของซูหยุน“ผมบอกแล้วว่าเพลงในสายของคุณเป็นเพลงเดียวกับผม ต้องอยู่ที่นี่แน่นอน คุณยังจะโกหกผมอีก!”“……”โหลฉางเยว่กัดปลายลิ้นตัวเองเฉียวซีซีมาพบลูกค้าที่นี่แล้วส่งข้อความมาหาเธอว่าดื่มจนเมา ให้เธอมารับเธอหน่อย เฉียวซีซีไม่เคย ขอความช่วยเหลือเธอมาก่อน เธอกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเธอ จึงมาหาเธอทันทีแบบนี้แต่เฉียวซีซีไม่ได้แจ้งหมายเลขห้อง เธอจึงไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ห้องไหน ตอนนี้กำลังรอเธอตอบกลับแล้วซูหยุนก็โทรเข้ามาพอดีเธอไม่มีอารมณ์ที่จะมาอธิบายให้เขามากมายจึงโกหกว่ามีแขกมาที่บ้าน แต่แล้ว…โหลวฉางเยว่เม้มปาก พูดได้เพียงว่า “นายน้อยซู ฉันมารอเพื่อนค่ะ”เมื่อครู่เธอพึ่งบอกเองว่ามีญาติมาหาที่บ้านแล้วตอนนี้ก็โกหกอีกว่ามารอเพื่อน ซูหยุนไม่เชื่อเธอแล้ว ถึงแม้เธอจะถูกลากเข้าไปในเวสเทิร์นพาเลซ โหลวฉางเยว่ก็ไม่สามารถดิ้นไปไหนได้ถึงแม้จะออกแรงสุดกำลังก็ตาม “อุ๊ย วันนี้มีแต่คนคุ้นเคยไม่มีคนนอกเลย คุณจะเขินอายทำไมกัน พวกเราไม่รังแกคุณหรอก แถมพี่โจวก็อยู่อีกด้วย!”โหลวฉางเยว่ “……”ซูหยุนประมาท
โหลวฉางเยว่ถือแก้วเหล้าขึ้นมา แก้วหนึ่งดื่มกริบเดียว หลังจากที่ดื่มหมด แล้วสามแก้วก็คว่ำแก้วเหล้าลงกับโต๊ะเธอหัวเราะ “ดื่มแล้ว หลังจากนี้นายน้อยซูจะมีแต่โชคลาภในเส้นทางที่ถูกต้อง วันนี้มีธุระด่วนจึงไม่สามารถอยู่ร่วมสนุกกับทุกคนได้ ขอโทษด้วยนะคะ”ดวงตาของเหวินเหยียนโจวจ้องเขม็ง โหลวฉางเยว่หันหลังกลับและจากไปเธอดื่มไว พูดคล่องแถมยังเดินเร็วอีกด้วย ทุกคนต่างไม่ทันตอบสนอง จึงไม่ได้รั้งเธอไว้ พอเธอเดินออกไปสักพักจึงพึมพำ ว่าน่าเบื่อโหลวฉางเยว่ก็น่าเบื่อแบบนี้แหละเธอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แบบนั้น ไม่ดื่มเหล้า ก็ออกมาจากห้องไม่ได้ แค่สามแก้วเอง ดื่มแล้วก็ จัดการปัญหาได้ แถมไม่รบกวน การตามหาเฉียวซีซีอีกด้วย ทำไมถึงจะไม่ดื่มล่ะ?การต่อต้านถือว่ามี ความหยิ่งทรนง แต่ความหยิ่งทรนงที่ใช้ในทางผิด แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย เป็นเพียงเพิ่มความสนุกในแวดวงของเหล่าคุณชาย เท่านั้นโหลวฉางเยว่ไม่อยากคิดถึงเหตุผลที่เหวินเหยียนโจวให้เธอดื่มเหล้า หลังจากที่เธอจากไป เหวินเหยียนโจวก็ดับบุหรี่ของเขาและมองดูผู้คนที่กำลังรินเหล้าคนพวกนั้นต่างพากันสงสัย “…พี่โจวเป็นอะไรไป?”ซิ่วอวี้ที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยขึ้
โหลวฉางเยว่พูดว่า “จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่มีเกียรติเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ฉันรู้สึกว่าเหตุผลนี้มันค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายนะคะ พวกเถ้าแก่คงเข้าใจได้นะคะ” “สองบริษัทมาเจรจาธุรกิจกันต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่แล้ว ทำให้สถานการณ์มันแย่เกินไป การเจรจาไปต่อไม่ได้ แม้ว่าส่งผลเสียต่อบริษัทของซีซีแต่ก็ไม่ดีต่อเถ้าแก่เช่นกัน คุณคิดแบบนี้หรือเปล่าคะ?”มันคือเหตุผลนี้อยู่แล้วร่วมงานกันได้ โดยปกติแล้วทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์และไม่มีใครได้หรือเสียเปรียบ แต่ผู้ชายสันดารเสียตรงนี้ใช้สัญญามากดขี่เอาเปรียบหญิงสาว แต่ไม่ถึงกับเอาเปรียบไม่ได้ก็ยกเลิกสัญญาชายที่อยู่ข้างๆ มองไปที่โหลวฉางเยว่แล้วพูดทันที “เหมือนผมจะเคยเจอคุณมาก่อนนะครับ คุณคือ…เลขาส่วนตัวของประธานเหวินใช่ไหม?”อีกคนถึงกับสีหน้าเปลี่ยน “ประธานเหวินไหน?” “ก็ประธานเหวินแห่งไป๋หยุนกรุ๊ปไงล่ะ”ในตอนนี้พวกนั้นที่อยู่บนโต๊ะเหล้าก็มองโหลวฉางเยว่ด้วยสายตาที่ให้ค่ามากขึ้นและไม่ได้หยาบคายเท่าเมื่อครู่แล้วเถ้าแก่หัวโจกคนนั้นก็เลิกกดขี่ขืนใจเฉียวซีซีแล้ว แต่ถ้าปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ แบบนี้ก็จะเสียหน้าเอาได้โหลวฉางเยว่พูดออกมาเองแล้วว่าจะขอดื่ม เขาจึงพู
พอเซ็นชื่อเสร็จ มือข้างหนึ่งของโหลวฉางเยว่ถือสัญญาเอาไว้และอีกข้างหนึ่งก็ประคองเฉียวซีซีเอาไว้อย่างโซเซแล้วเดินตามซูหยุนออกไปจากห้องซูหยุนมองสอดส่องทั้งซ้ายขวาอย่างระวัง พอไม่เจอเหวินเหยียนโจวจึงแอบหันกลับไปถามว่า “คุณกับเพื่อนคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อครู่ขอบคุณนายน้อยซูนะคะ” โหลวฉางเยว่ขอบคุณอย่างจริงใจ ถึงแม้จะให้ดื่มสองแก้วสุดท้ายอีกเธอก็ยังดื่มต่อไหว แต่จะต้องทรมานมากแน่ ซูหยุนเข้ามาช่วยเธอเอาไว้แท้ๆนี่เป็นครั้งแรกที่โหลวฉางเยว่มองซูหยุนด้วยสายตาที่จริงใจเช่นนี้ แม้ว่าจะเคอะเขินบ้างแต่ยิ้มเห็นฟัน “ไม่ต้องเกรงใจ ๆ ขอแค่คุณพิจารณาที่จะมาทำงานกับผมก็พอครับ”โหลวฉางเยว่แสดงออกถึงความเป็นไปได้หลังจากที่ปฏิเสธข้อเสนอของซูหยุนที่จะให้คนส่งพวกเธอกลับ โหลวฉางเยว่ก็ประคองเฉียวซีซีและกลับก่อนซูหยุนรู้สึกพอใจกับการที่ได้ช่วยเหลือและได้รับคำขอบคุณและเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยความสุขเห็นเหวินเหยียนโจวนั่งอยู่ตรงนั้น เขาพึมพำว่า “พี่โจวครับ เมื่อกี้ผลักผมทำไม?”เหวินเหยียนโจวมองเขาอย่างเป็นกลางซูหยุนหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมได้เป็นอัศวินขี่ม้าขาวไปช่ว
สามสาวนั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนเหวินเหยียนโจวนั่งที่นั่งข้างคนขับโหลวฉางเยว่ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงกดยกเลิกรถที่จองไว้ไป๋โหยวบอกว่าจะให้ไปส่งพวกเธอแล้วพวกเธอก็ตอบรับแล้วด้วย เธอรู้สึกพะว้าพะวงไม่เป็นสุข เธอตั้งใจอยากที่จะอวดสถานะของเธอและมั่นใจว่าจากนิสัยของโหลวฉางเยว่ แต่พอนึกถึงตอนที่เหวินเหยียนโจวเป็นเพราะเธอ ถึงได้ยอมให้โหลวฉางเยว่ขึ้นรถ เธอก็รู้สึกลำพองใจขึ้นมาอีกรถเริ่มเคลื่อนที่ไป๋โหยวนึกถึงมิตรภาพหลายปีระหว่างโหลวฉางเยว่และเหวินเหยียนโจวอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะแอบมองกระจกมองหลัง เหวินเหยียนโจวนั่งหลับตาอยู่ไม่สนใจใคร เธอแอบโล่งอกนั่งหลับตาพักผ่อนสักครู่บนรถเงียบสงัดไม่มีใครพูดแล้วเฉียวซีซีเป็นฝ่ายอดกลั้นไม่อยู่เธอเกลียดเหวินเหยียนโจวก็เรื่องหนึ่ง แต่ไป๋โหยวก็เป็นมือที่สามในสายตาเธอด้วย การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรู้สึกของคนอื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เธอต้องบอกให้ไป๋โหยวรู้ว่าใครคืออัครมเหสีที่แท้จริงเธอสังเกตเห็นจี้ที่ห้อยอยู่ตรงกระจกหลังจึงหันไปพูดว่า “เยว่เยว่ จี้เส้นนั้นคุ้นตามาก ใช่เส้นที่เธอทำเองกับมือหรือเปล่า?”เป็นโหลวฉางเยว่ทำเองจริง ๆแต่ครั้งนี้เธอไม
คนขับรู้กฎของเหวินเหยียนโจว ดังนั้นเขาจึงกดหน้าต่างขึ้นอย่างใจเย็นเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนที่นั่งเบาะหลังได้ยินโหลวฉางเยว่ชักมือกลับถอยห่างพูดอย่างห่างเหิน “จะรบกวนประธานเหวินได้อย่างไรกันล่ะคะ”ท่าทีของเหวินเหยียนโจวดูไม่ค่อยแยแส “เธอรบกวนฉันยังน้อยไปอีกเหรอ??”โหลวฉางเยว่ไม่คิดว่าเธอจะรบกวนเขาตรงไหน ไม่สามารถโต้เถียงกับเขาได้ในตอนนี้ “ความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะนะคะ”เหวินเหยียนโจวเยาะเย้ย “พวกเราเกี่ยวอะไรกัน?”ตอนนี้โหลวฉางเยว่รู้สึกเหนื่อยมาก แถมไป๋โหยวไม่ต้องการให้เธอเผชิญหน้ากับเหวินเหยียนโจวและเธอก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับเหวินเหยียนโจวเช่นกันเธอรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเขาเธอพูดว่า “ประธานเหวิน ฉันยังอยากอ้วกอยู่ค่ะ ไม่อยากนั่งรถแล้ว ตรงนี้ห่างจากที่พักนิดเดียวเอง ฉันเดินไปเองก็ได้แล้วค่ะ ถ้าพวกคุณสะดวกก็ช่วยไปส่งซีซีถึงทางเข้าหน้าคอนโดด้วยนะคะ”เหวินเหยียนโจวไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรและเขาเองก็ไม่ได้มีความอดทนมากนัก “จะขึ้นไม่ขึ้นรถ?”“ฉันไม่อยากนั่งรถจริงๆ ค่ะ”เหวินเหยียนโจวถามแค่นั้นก็หันหลังกลับไปขึ้นรถแล้วสั่งให้คนขับออกรถเฉีย
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ