เวินหนี่มองไปที่โจวเสี่ยวหลิน เธอมั่นใจว่าเป็นตัวเองจนเวินหนี่เองก็เกือบจะเชื่อแต่เผยชิงอยู่ที่นี่ด้วย แถมเธอยังมีงานที่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตอบอะไรโจวเสี่ยวหลินเธอทำได้เพียงถอยกลับสามชั่วโมงต่อมา เวินหนี่ก็ยังไม่กลับมาแต่เวลานี้ห้องประชุมได้เปิดออกแล้วหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกัน เย่หนานโจวก็เดินออกมาจากห้องประชุมเผยชิงยืนอยู่ด้านข้างแล้วพูดขึ้นว่า “ประธานเย่ ห้องรับรองครับ”เย่หนานโจวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือและอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเขาหันหลังกลับและเดินไปที่ห้องรับรองในเวลานี้ มีเพียงโจวเสี่ยวหลินเท่านั้นที่อยู่ในห้องนั้นเธอนั่งจนตัวแข็ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่จึงนอนลงบนโซฟาสักพักเย่หนานโจวเปิดประตูและเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่บนโซฟาเขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นเวินหนี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปเขาล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋า ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น เขามองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เย็นชาเงียบ ๆโจวเสี่ยวหลินรู้สึกเหนื่อยมาก ถึงเธอจะปิดตาลงแต่ก็ไม่กล้านอนหลับ เพราะกลัวว่าหากหลับจะพลาดสิ่งต่าง ๆ ไป เมื่อเธอรู้สึกว่าได
สีหน้าของโจวเสี่ยวหลินแข็งทื่อ เธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือเมื่อเห็นว่าเธอพูดไม่ออก เย่หนานโจวจึงขมวดคิ้วแน่นและถามขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชา “ตอบยากนักเหรอ?”ในเวลานี้ เวินหนี่รีบกลับจากด้านนอกและบังเอิญได้ยินคำถามอันเฉียบคมของเย่หนานโจวอยู่ข้างในเธอมาสายเกินไป ก่อนจะดึงมือออกจากลูกบิดประตูอีกครั้งโจวเสี่ยวหลินนิ่งไปเป็นเวลานาน บวกกับการบีบคั้นคนของเย่หนานโจว แรงกดดันภายในของเธอจึงเพิ่มขึ้นทันทีเธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่เย็นชาตรงหน้า เขาไม่ใช่คนที่จะมีเรื่องด้วยได้ง่าย ๆ และเขาก็อันตรายมาก หากทำผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวเธอจะตกอยู่ในหายนะไปชั่วนิรันดร์ “โรงแรมนั้น... มี...คนรวยเยอะ ฉันต้องการเงินค่ะ หากเจอคนรวย ฉันคงไม่ต้องทำงานหนักแบบนั้นอีกแล้ว”เย่หนานโจวขมวดคิ้วหนักขึ้น และสายตาที่เขามองเธอก็เปลี่ยนไปสิ่งที่เธอพูดไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการขายร่างกายเพื่อเงินในสังคมปัจจุบัน มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้ร่างกายเพื่อแลกเปลี่ยนคุณภาพชีวิตเวินหนี่เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องรับรองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เย่หนานโจวมองไปด้านข้าง เวินหนี่ถือแก้วกาแฟเข้ามาก่อนจะวางลงข้างหน้าเขา “ประธาน
เธอร้องไห้หนักเหมือนคนสติแตก ราวกับว่าเธอได้ใช้เวลาทั้งคืนกับเย่หนานโจวจริง ๆเวินหนี่เริ่มไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นผลสรุปของเรื่องนี้หรือไม่ เธอจึงทำได้เพียงออกไปจากห้องรับรองเมื่อเธอออกมา ผู้คนในออฟฟิศต่างเฝ้าดูรอความสนุก โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในรู้เพียงว่ามีหญิงสาวแปลกหน้ารออยู่ในห้องรับรองมานานหลายชั่วโมงแล้ว และในที่สุดเย่หนานโจวก็เข้าไปพบเธอก่อนจะเดินออกมาด้วยใบหน้าเย็นชาดูเหมือนว่าเขาไม่พอใจเอามาก ๆ“พี่เวิน เกิดอะไรขึ้นข้างในเหรอคะ?” เพื่อนร่วมงานที่กำลังมุงดูถามขึ้น เมื่อมีคนถาม หูนับไม่ถ้วนจึงเริ่มขยับเข้ามาใกล้เวินหนี่มองไปที่พวกเขาแล้วพูดว่า “พวกเธออยากรู้มากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไปถามประธานเย่เองเลยไหม?”คำพูดเหล่านี้แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม และเมื่อมีการเอ่ยถึง “ประธานเย่” อีกครั้ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะอยากรู้อยากเห็นอีกต่อไป ทุกคนต่างหันมาสนใจงานบนโต๊ะของตัวเอง เวินหนี่อยู่ในห้องพักพนักงานอยู่เป็นเวลานานทุกอย่างมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แต่กลับดูเหมือนว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอ แถมเธอยังพูดอะไรไม่ได้ด้วยเธอรู้สึกอึดอั
คนรับใช้วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ชาค่ะคุณโจว”โจวเสี่ยวหลินยังไม่กล้าแสดงความอวดดี เมื่อเห็นคนมาถึงเธอจึงรีบโยนหมอนออกแล้วนั่งหลังตรงอย่างเรียบร้อย ก่อนจะพูดกับคนรับใช้ว่า “ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวมองถ้วยชาบนโต๊ะซึ่งยังคงมีไอน้ำพวยพุ่งออกมา ภาชนะทำจากเซรามิกสวยงาม ในขณะที่บรรจุชาและมีกลีบกุหลาบเพิ่มเข้าไป ดูประณีตและส่งกลิ่นหอมของกุหลาบลอยมาด้วยเธอยกถ้วยขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายอยู่ภายในปากรู้สึกว่าตัวเองมีความสง่างามขึ้นมาก “อร่อยมากค่ะ ฉันไม่เคยดื่มชาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”อาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยเห็นสถานที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้โจวเสี่ยวหลินจึงรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เห็นและทุกสิ่งที่ดื่มล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแม้แต่ชาก็รู้สึกแตกต่างจากชาที่อื่นหน้าที่ของคนรับใช้คือการดูแลแขกให้ดี เมื่อได้ยินคำชมจึงตอบกลับว่า “เป็นหน้าที่ของเราก็เท่านั้นเองค่ะ”พูดจบคนรับใช้ก็ถอยออกไปโจวเสี่ยวหลินมองคนรับใช้ที่ออกไปอยู่นาน หลังจากที่ได้รับคำตอบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองได้รับเกียรติและความสำคัญเป็นครั้งแรกผ่านไปสักพัก เวินหนี่จึงออกมาจากห้องเธอได้จัดการทุกอย่าง
เวินหนี่ไม่สนใจเธอ ทว่าเดินไปที่ประตูและขึ้นรถที่ขับมาถึงทันทีโจวเสี่ยวหลินจึงได้แต่ยืนมองรถที่จากไปอย่างช้า ๆ แทนจนกระทั่งเงาของรถหายไปจากสายตา หญิงสาวจึงหันไปมองที่อื่นแม้บ้านนี้จะหรูหราขนาดไหน แต่หากต้องอยู่คนเดียว ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่ดีตอนนี้โจวเสี่ยวหลินรู้สึกหนักใจมากกว่าเดิมเย่หนานโจวยังเชื่อใจเธอเลย ทำไมเวินหนี่ถึงไม่เชื่อเธอล่ะ?เวินหนี่เป็นคนดี หากมีโอกาสได้อธิบายให้เธอฟังวันไหน หญิงสาวอาจจะเชื่อใจเธอมากขึ้นโจวเสี่ยวหลินปลอบใจตัวเองเช่นนั้น จึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านคนรับใช้กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมห้องเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พูดกับเธออย่างสุภาพจากนั้นโจวเสี่ยวหลินก็เดินเข้าไปในห้องของตัวเองห้องนอนกว้างใหญ่ แถมยังมีเตียงเจ้าหญิงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยม่านที่เธอใฝ่ฝันถึง ตัวห้องใหญ่กว่าบ้านทั้งหลังที่บ้านเกิดของเธอเสียอีกทุกอย่างดูใหม่เอี่ยมหญิงสาวเปิดตู้เสื้อผ้าก็พบกับชุดที่เรียงรายไม่รู้จบ ทุกชุดดูสวยงามตระการตาภาพนี้เหมือนกับในละครโทรทัศน์ที่เคยเห็นไม่มีผิดเพี้ยนเธอเคยจินตนาการว่าสักวันหนึ่งจะได้กลายเ
เย่ซูเฟินชอบลดคุณค่าของเวินหนี่เพื่อเติมเต็มความรู้สึกเหนือกว่าของตัวเองเวินหนี่รู้สึกเศร้าและเสียใจ จึงยิ่งกระตุ้นความต้องการแก้แค้นของเธอมากขึ้นเย่ซูเฟินประสบความสำเร็จในการเห็นสีหน้าไม่ดีและซีดเซียวของหญิงสาวตรงหน้า รอยยิ้มที่มุมปากจึงแสดงความพอใจออกมา ส่วนแววตาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะหยุดยุ่งกับเวินหนี่พูดมากไปแล้วได้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม ก็เท่ากับการที่พูดไปแล้วเปลืองลมปากเปล่า ๆคำพูดของเย่ซูเฟินไม่ใช่ไม่มีเหตุผลตอนนี้บ้านหลังนั้นมีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วยในความทรงจำของเวินหนี่ เย่หนานโจวเป็นคนที่รู้จักความเหมาะสมและไม่เคยทำให้ผู้หญิงคนไหนรู้สึกว่าเขาจะอ่อนข้อให้ได้ง่าย ๆเขาสามารถปฏิเสธหวังอินได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ปฏิเสธโจวเสี่ยวหลินแถมยังจัดให้เธออยู่ในบ้านหลังนั้น นี่ไม่ใช่การเก็บผู้หญิงไว้ในเรือนทองหรอกหรือ?เย่หนานโจวเชื่อว่าโจวเสี่ยวหลินคือผู้หญิงที่เขาพบในคืนนั้น และยังเป็นครั้งแรกที่เขาพบเธอ เธออ่อนแอและต้องการการปกป้อง ซึ่งอาจทำให้เขามีความรู้สึกพิเศษหรือเขาอาจจะรู้สึกว่าเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่กลับบ้าน ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้หรือเปล่าว่า
คำพูดของเขาสร้างความอบอุ่นแก่โจวเสี่ยวหลินเป็นอย่างมาก เธอจึงนั่งลงใกล้เขาแล้วพูดว่า “ประธานเย่ แบบฉันยังสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จริง ๆ เหรอคะ?”“อืม”โจวเสี่ยวหลินยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มของเธอเผยให้เห็นรอยบุ๋มที่มุมปาก และรอยยิ้มก็หวานมากเสียด้วย “ประธานเย่ คุณดีกับฉันมากเลยค่ะ คุณเป็นคนที่ดีที่สุดในโลกสำหรับฉันเลย!”คำพูดนี้ทำให้แววตาของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากดริมฝีปากและวางหนังสือพิมพ์ลงเวินหนี่จับตามองพวกเขาอย่างเงียบ ๆ บทสนทนาที่คุยอย่างเป็นกันเองประกอบกับเสียงหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นภาพที่คึกคักเช่นนี้แม้ว่าเย่หนานโจวจะอยู่กับลู่ม่านเซิง ทว่าเขาก็มีท่าทางเย็นชา ไม่เคยมีความเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อนรอยยิ้มของโจวเสี่ยวหลินที่แสดงความพอใจเพียงแค่ได้เรียน ก็ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ จริง ๆเธอเป็นคนที่ไร้เดียงสาและไม่เคยเห็นโลกกว้างมากนัก ทำให้รู้สึกว่าเธอสะอาดและน่าสงสารนั่นอาจเป็นลักษณะเฉพาะของเธอ“คุณเวิน ทำไมไม่เข้าไปนั่งในบ้านล่ะคะ?”เมื่อคนรับใช้เดินผ่านมาเห็นเวินหนี่ยืนอยู่ที่ตรงประตูก็เดินเข้ามาทักถามหญิงสาวอย่างสุภาพซึ่งคำถามนั้นก็ทำใ
เขาทำตามที่เธอต้องการ เธอควรจะรู้สึกดีใจสิเวินหนี่เงียบและไม่พูดอะไรโจวเสี่ยวหลินเห็นว่าทั้งสองคนมีท่าทางไม่ดีจึงพยายามปรับบรรยากาศ โดยบอกว่า “คุณเวินอยู่ทานข้าวกับฉันเถอะค่ะ”“จะบอกว่าอาหารที่คุณป้าทำอร่อยมาก คุณอยากทานอะไรเธอก็สามารถทำออกมาได้หมด เก่งมากเลยใช่ไหมล่ะคะ? คุณต้องลองลิ้มรสฝีมือเธอนะคะ!” โจวเสี่ยวหลินแนะนำด้วยความคาดหวังเวินหนี่หันไปมองโจวเสี่ยวหลินและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก…”“ต้องสิ ต้อง” โจวเสี่ยวหลินตอบกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองไปที่เย่หนานโจวเหมือนไม่ได้พูดคุยกับเขา “ประธานเย่ ขอให้คุณเวินอยู่ทานข้าวกับฉันเถอะนะคะ ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว ยังไม่มีใครมาทานข้าวด้วย ฉันรู้สึกเหงามากเลย”เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาเฉยเมย และพูดอย่างเรียบเฉย “ตามสบาย”เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้ว โจวเสี่ยวหลินก็ยิ่งยื้อเวินหนี่ไม่ยอมปล่อย “เห็นไหมคะ ประธานเย่เองก็ตอบตกลงแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย”หญิงสาวกลัวว่าเย่หนานโจวจะทำให้เวินหนี่รู้สึกเกร็งเกินไป“งั้นก็ได้” เวินหนี่จึงยอมตกลงและอยู่ทานข้าวด้วยกัน“สถานที่เหงา ๆ แบบนี้จะได้มีความคึกคักบ้าง ฉันดีใจมากเลยค่ะ!” โจวเสี่ยวหลินยิ้มอย่
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม