ประโยคนี้ทำให้เย่หนานโจวชะงัก และมองกลับไปที่เผยชิง “ผู้หญิงคนไหน?”ในฐานะผู้ส่งสาร เผยชิงรู้สึกเหมือนมีมีดจ่ออยู่คอเป็นคู่สามีภรรยากันแท้ ๆ ทำไมถึงได้ใช้ชีวิตกันแบบนี้ ภรรยาช่วยสามีตามหาคู่นอนส่วนสามีก็เก็บเรื่องแต่งงานเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้ แต่ก็ใช่ว่าทั้งคู่จะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อกัน เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดแต่เขาก็ถูกหนีบอยู่ตรงกลาง ราวกับขนมปังกรอบแซนวิช ทุกวันต้องอยู่กับความหวาดระแวง“คนที่...นอนกับประธานเย่”หลังจากที่เผยชิงพูดสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจบนใบหน้าของเย่หนานโจวเย่หนานโจวยังคงไม่พอใจกับการปฏิเสธของเวินหนี่เมื่อวานนี้ แล้ววันนี้เธอยังพาตัวผู้หญิงคนนั้นมาหาเขาถึงที่อีกใจร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ?อยากจะผลักเขาออกไป เมื่อเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่น เธอถึงจะพอใจอย่างนั้นสินะ!ใบหน้าหงุดหงิดของเย่หนานโจวถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง แต่เขายังคงสงบและพูดอย่างเย็นชา “รู้แล้ว บอกให้เธอรอก่อน!”เมื่อเวินหนี่กลับมายังไม่ทันจะวางกระเป๋าลง เผยชิงก็เข้ามาและพูดว่า “เลขาเวิน ประธานเย่บอกให้พวกคุณรออยู่ในห้องรับรองสักครู่ครับ!”หืม?“พวกคุณ?” เวินหนี่ไม่เข้าใจ
เวินหนี่มองไปที่โจวเสี่ยวหลิน เธอมั่นใจว่าเป็นตัวเองจนเวินหนี่เองก็เกือบจะเชื่อแต่เผยชิงอยู่ที่นี่ด้วย แถมเธอยังมีงานที่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตอบอะไรโจวเสี่ยวหลินเธอทำได้เพียงถอยกลับสามชั่วโมงต่อมา เวินหนี่ก็ยังไม่กลับมาแต่เวลานี้ห้องประชุมได้เปิดออกแล้วหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกัน เย่หนานโจวก็เดินออกมาจากห้องประชุมเผยชิงยืนอยู่ด้านข้างแล้วพูดขึ้นว่า “ประธานเย่ ห้องรับรองครับ”เย่หนานโจวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือและอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเขาหันหลังกลับและเดินไปที่ห้องรับรองในเวลานี้ มีเพียงโจวเสี่ยวหลินเท่านั้นที่อยู่ในห้องนั้นเธอนั่งจนตัวแข็ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่จึงนอนลงบนโซฟาสักพักเย่หนานโจวเปิดประตูและเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่บนโซฟาเขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นเวินหนี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปเขาล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋า ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น เขามองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เย็นชาเงียบ ๆโจวเสี่ยวหลินรู้สึกเหนื่อยมาก ถึงเธอจะปิดตาลงแต่ก็ไม่กล้านอนหลับ เพราะกลัวว่าหากหลับจะพลาดสิ่งต่าง ๆ ไป เมื่อเธอรู้สึกว่าได
สีหน้าของโจวเสี่ยวหลินแข็งทื่อ เธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือเมื่อเห็นว่าเธอพูดไม่ออก เย่หนานโจวจึงขมวดคิ้วแน่นและถามขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชา “ตอบยากนักเหรอ?”ในเวลานี้ เวินหนี่รีบกลับจากด้านนอกและบังเอิญได้ยินคำถามอันเฉียบคมของเย่หนานโจวอยู่ข้างในเธอมาสายเกินไป ก่อนจะดึงมือออกจากลูกบิดประตูอีกครั้งโจวเสี่ยวหลินนิ่งไปเป็นเวลานาน บวกกับการบีบคั้นคนของเย่หนานโจว แรงกดดันภายในของเธอจึงเพิ่มขึ้นทันทีเธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่เย็นชาตรงหน้า เขาไม่ใช่คนที่จะมีเรื่องด้วยได้ง่าย ๆ และเขาก็อันตรายมาก หากทำผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวเธอจะตกอยู่ในหายนะไปชั่วนิรันดร์ “โรงแรมนั้น... มี...คนรวยเยอะ ฉันต้องการเงินค่ะ หากเจอคนรวย ฉันคงไม่ต้องทำงานหนักแบบนั้นอีกแล้ว”เย่หนานโจวขมวดคิ้วหนักขึ้น และสายตาที่เขามองเธอก็เปลี่ยนไปสิ่งที่เธอพูดไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการขายร่างกายเพื่อเงินในสังคมปัจจุบัน มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้ร่างกายเพื่อแลกเปลี่ยนคุณภาพชีวิตเวินหนี่เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องรับรองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เย่หนานโจวมองไปด้านข้าง เวินหนี่ถือแก้วกาแฟเข้ามาก่อนจะวางลงข้างหน้าเขา “ประธาน
เธอร้องไห้หนักเหมือนคนสติแตก ราวกับว่าเธอได้ใช้เวลาทั้งคืนกับเย่หนานโจวจริง ๆเวินหนี่เริ่มไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นผลสรุปของเรื่องนี้หรือไม่ เธอจึงทำได้เพียงออกไปจากห้องรับรองเมื่อเธอออกมา ผู้คนในออฟฟิศต่างเฝ้าดูรอความสนุก โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในรู้เพียงว่ามีหญิงสาวแปลกหน้ารออยู่ในห้องรับรองมานานหลายชั่วโมงแล้ว และในที่สุดเย่หนานโจวก็เข้าไปพบเธอก่อนจะเดินออกมาด้วยใบหน้าเย็นชาดูเหมือนว่าเขาไม่พอใจเอามาก ๆ“พี่เวิน เกิดอะไรขึ้นข้างในเหรอคะ?” เพื่อนร่วมงานที่กำลังมุงดูถามขึ้น เมื่อมีคนถาม หูนับไม่ถ้วนจึงเริ่มขยับเข้ามาใกล้เวินหนี่มองไปที่พวกเขาแล้วพูดว่า “พวกเธออยากรู้มากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไปถามประธานเย่เองเลยไหม?”คำพูดเหล่านี้แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม และเมื่อมีการเอ่ยถึง “ประธานเย่” อีกครั้ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะอยากรู้อยากเห็นอีกต่อไป ทุกคนต่างหันมาสนใจงานบนโต๊ะของตัวเอง เวินหนี่อยู่ในห้องพักพนักงานอยู่เป็นเวลานานทุกอย่างมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แต่กลับดูเหมือนว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอ แถมเธอยังพูดอะไรไม่ได้ด้วยเธอรู้สึกอึดอั
คนรับใช้วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ชาค่ะคุณโจว”โจวเสี่ยวหลินยังไม่กล้าแสดงความอวดดี เมื่อเห็นคนมาถึงเธอจึงรีบโยนหมอนออกแล้วนั่งหลังตรงอย่างเรียบร้อย ก่อนจะพูดกับคนรับใช้ว่า “ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวมองถ้วยชาบนโต๊ะซึ่งยังคงมีไอน้ำพวยพุ่งออกมา ภาชนะทำจากเซรามิกสวยงาม ในขณะที่บรรจุชาและมีกลีบกุหลาบเพิ่มเข้าไป ดูประณีตและส่งกลิ่นหอมของกุหลาบลอยมาด้วยเธอยกถ้วยขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายอยู่ภายในปากรู้สึกว่าตัวเองมีความสง่างามขึ้นมาก “อร่อยมากค่ะ ฉันไม่เคยดื่มชาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”อาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยเห็นสถานที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้โจวเสี่ยวหลินจึงรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เห็นและทุกสิ่งที่ดื่มล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแม้แต่ชาก็รู้สึกแตกต่างจากชาที่อื่นหน้าที่ของคนรับใช้คือการดูแลแขกให้ดี เมื่อได้ยินคำชมจึงตอบกลับว่า “เป็นหน้าที่ของเราก็เท่านั้นเองค่ะ”พูดจบคนรับใช้ก็ถอยออกไปโจวเสี่ยวหลินมองคนรับใช้ที่ออกไปอยู่นาน หลังจากที่ได้รับคำตอบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองได้รับเกียรติและความสำคัญเป็นครั้งแรกผ่านไปสักพัก เวินหนี่จึงออกมาจากห้องเธอได้จัดการทุกอย่าง
เวินหนี่ไม่สนใจเธอ ทว่าเดินไปที่ประตูและขึ้นรถที่ขับมาถึงทันทีโจวเสี่ยวหลินจึงได้แต่ยืนมองรถที่จากไปอย่างช้า ๆ แทนจนกระทั่งเงาของรถหายไปจากสายตา หญิงสาวจึงหันไปมองที่อื่นแม้บ้านนี้จะหรูหราขนาดไหน แต่หากต้องอยู่คนเดียว ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่ดีตอนนี้โจวเสี่ยวหลินรู้สึกหนักใจมากกว่าเดิมเย่หนานโจวยังเชื่อใจเธอเลย ทำไมเวินหนี่ถึงไม่เชื่อเธอล่ะ?เวินหนี่เป็นคนดี หากมีโอกาสได้อธิบายให้เธอฟังวันไหน หญิงสาวอาจจะเชื่อใจเธอมากขึ้นโจวเสี่ยวหลินปลอบใจตัวเองเช่นนั้น จึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านคนรับใช้กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมห้องเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พูดกับเธออย่างสุภาพจากนั้นโจวเสี่ยวหลินก็เดินเข้าไปในห้องของตัวเองห้องนอนกว้างใหญ่ แถมยังมีเตียงเจ้าหญิงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยม่านที่เธอใฝ่ฝันถึง ตัวห้องใหญ่กว่าบ้านทั้งหลังที่บ้านเกิดของเธอเสียอีกทุกอย่างดูใหม่เอี่ยมหญิงสาวเปิดตู้เสื้อผ้าก็พบกับชุดที่เรียงรายไม่รู้จบ ทุกชุดดูสวยงามตระการตาภาพนี้เหมือนกับในละครโทรทัศน์ที่เคยเห็นไม่มีผิดเพี้ยนเธอเคยจินตนาการว่าสักวันหนึ่งจะได้กลายเ
เย่ซูเฟินชอบลดคุณค่าของเวินหนี่เพื่อเติมเต็มความรู้สึกเหนือกว่าของตัวเองเวินหนี่รู้สึกเศร้าและเสียใจ จึงยิ่งกระตุ้นความต้องการแก้แค้นของเธอมากขึ้นเย่ซูเฟินประสบความสำเร็จในการเห็นสีหน้าไม่ดีและซีดเซียวของหญิงสาวตรงหน้า รอยยิ้มที่มุมปากจึงแสดงความพอใจออกมา ส่วนแววตาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะหยุดยุ่งกับเวินหนี่พูดมากไปแล้วได้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม ก็เท่ากับการที่พูดไปแล้วเปลืองลมปากเปล่า ๆคำพูดของเย่ซูเฟินไม่ใช่ไม่มีเหตุผลตอนนี้บ้านหลังนั้นมีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วยในความทรงจำของเวินหนี่ เย่หนานโจวเป็นคนที่รู้จักความเหมาะสมและไม่เคยทำให้ผู้หญิงคนไหนรู้สึกว่าเขาจะอ่อนข้อให้ได้ง่าย ๆเขาสามารถปฏิเสธหวังอินได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ปฏิเสธโจวเสี่ยวหลินแถมยังจัดให้เธออยู่ในบ้านหลังนั้น นี่ไม่ใช่การเก็บผู้หญิงไว้ในเรือนทองหรอกหรือ?เย่หนานโจวเชื่อว่าโจวเสี่ยวหลินคือผู้หญิงที่เขาพบในคืนนั้น และยังเป็นครั้งแรกที่เขาพบเธอ เธออ่อนแอและต้องการการปกป้อง ซึ่งอาจทำให้เขามีความรู้สึกพิเศษหรือเขาอาจจะรู้สึกว่าเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่กลับบ้าน ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้หรือเปล่าว่า
คำพูดของเขาสร้างความอบอุ่นแก่โจวเสี่ยวหลินเป็นอย่างมาก เธอจึงนั่งลงใกล้เขาแล้วพูดว่า “ประธานเย่ แบบฉันยังสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จริง ๆ เหรอคะ?”“อืม”โจวเสี่ยวหลินยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มของเธอเผยให้เห็นรอยบุ๋มที่มุมปาก และรอยยิ้มก็หวานมากเสียด้วย “ประธานเย่ คุณดีกับฉันมากเลยค่ะ คุณเป็นคนที่ดีที่สุดในโลกสำหรับฉันเลย!”คำพูดนี้ทำให้แววตาของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากดริมฝีปากและวางหนังสือพิมพ์ลงเวินหนี่จับตามองพวกเขาอย่างเงียบ ๆ บทสนทนาที่คุยอย่างเป็นกันเองประกอบกับเสียงหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นภาพที่คึกคักเช่นนี้แม้ว่าเย่หนานโจวจะอยู่กับลู่ม่านเซิง ทว่าเขาก็มีท่าทางเย็นชา ไม่เคยมีความเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อนรอยยิ้มของโจวเสี่ยวหลินที่แสดงความพอใจเพียงแค่ได้เรียน ก็ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ จริง ๆเธอเป็นคนที่ไร้เดียงสาและไม่เคยเห็นโลกกว้างมากนัก ทำให้รู้สึกว่าเธอสะอาดและน่าสงสารนั่นอาจเป็นลักษณะเฉพาะของเธอ“คุณเวิน ทำไมไม่เข้าไปนั่งในบ้านล่ะคะ?”เมื่อคนรับใช้เดินผ่านมาเห็นเวินหนี่ยืนอยู่ที่ตรงประตูก็เดินเข้ามาทักถามหญิงสาวอย่างสุภาพซึ่งคำถามนั้นก็ทำใ
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ