คำพูดของเขาสร้างความอบอุ่นแก่โจวเสี่ยวหลินเป็นอย่างมาก เธอจึงนั่งลงใกล้เขาแล้วพูดว่า “ประธานเย่ แบบฉันยังสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จริง ๆ เหรอคะ?”“อืม”โจวเสี่ยวหลินยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มของเธอเผยให้เห็นรอยบุ๋มที่มุมปาก และรอยยิ้มก็หวานมากเสียด้วย “ประธานเย่ คุณดีกับฉันมากเลยค่ะ คุณเป็นคนที่ดีที่สุดในโลกสำหรับฉันเลย!”คำพูดนี้ทำให้แววตาของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากดริมฝีปากและวางหนังสือพิมพ์ลงเวินหนี่จับตามองพวกเขาอย่างเงียบ ๆ บทสนทนาที่คุยอย่างเป็นกันเองประกอบกับเสียงหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นภาพที่คึกคักเช่นนี้แม้ว่าเย่หนานโจวจะอยู่กับลู่ม่านเซิง ทว่าเขาก็มีท่าทางเย็นชา ไม่เคยมีความเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อนรอยยิ้มของโจวเสี่ยวหลินที่แสดงความพอใจเพียงแค่ได้เรียน ก็ทำให้เธอดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ จริง ๆเธอเป็นคนที่ไร้เดียงสาและไม่เคยเห็นโลกกว้างมากนัก ทำให้รู้สึกว่าเธอสะอาดและน่าสงสารนั่นอาจเป็นลักษณะเฉพาะของเธอ“คุณเวิน ทำไมไม่เข้าไปนั่งในบ้านล่ะคะ?”เมื่อคนรับใช้เดินผ่านมาเห็นเวินหนี่ยืนอยู่ที่ตรงประตูก็เดินเข้ามาทักถามหญิงสาวอย่างสุภาพซึ่งคำถามนั้นก็ทำใ
เขาทำตามที่เธอต้องการ เธอควรจะรู้สึกดีใจสิเวินหนี่เงียบและไม่พูดอะไรโจวเสี่ยวหลินเห็นว่าทั้งสองคนมีท่าทางไม่ดีจึงพยายามปรับบรรยากาศ โดยบอกว่า “คุณเวินอยู่ทานข้าวกับฉันเถอะค่ะ”“จะบอกว่าอาหารที่คุณป้าทำอร่อยมาก คุณอยากทานอะไรเธอก็สามารถทำออกมาได้หมด เก่งมากเลยใช่ไหมล่ะคะ? คุณต้องลองลิ้มรสฝีมือเธอนะคะ!” โจวเสี่ยวหลินแนะนำด้วยความคาดหวังเวินหนี่หันไปมองโจวเสี่ยวหลินและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก…”“ต้องสิ ต้อง” โจวเสี่ยวหลินตอบกลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองไปที่เย่หนานโจวเหมือนไม่ได้พูดคุยกับเขา “ประธานเย่ ขอให้คุณเวินอยู่ทานข้าวกับฉันเถอะนะคะ ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว ยังไม่มีใครมาทานข้าวด้วย ฉันรู้สึกเหงามากเลย”เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาเฉยเมย และพูดอย่างเรียบเฉย “ตามสบาย”เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้ว โจวเสี่ยวหลินก็ยิ่งยื้อเวินหนี่ไม่ยอมปล่อย “เห็นไหมคะ ประธานเย่เองก็ตอบตกลงแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย”หญิงสาวกลัวว่าเย่หนานโจวจะทำให้เวินหนี่รู้สึกเกร็งเกินไป“งั้นก็ได้” เวินหนี่จึงยอมตกลงและอยู่ทานข้าวด้วยกัน“สถานที่เหงา ๆ แบบนี้จะได้มีความคึกคักบ้าง ฉันดีใจมากเลยค่ะ!” โจวเสี่ยวหลินยิ้มอย่
เวินหนี่หันไปมองคนถามสักครู่ ริมฝีปากของเธอยิ้มและดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง เวินหนี่รู้ดีว่านั่นคือสายตาที่แสดงถึงความชื่นชมและความต้องการที่จะรู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับเขา และอยากเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด“รู้อยู่บ้าง” เธอตอบอย่างเยือกเย็น “อยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาจากฉันล่ะ?”โจวเสี่ยวหลินไม่ปิดบังและตอบอย่างตรงไปตรงมา “อยากรู้ทุกอย่างค่ะ ถ้าฉันรู้จักเขามากขึ้น จะไม่ทำให้เขาไม่พอใจใช่ไหมคะ?”เวินหนี่ถามต่อไปว่า “เธออยากเข้าใจเขา ไม่ทำให้เขาไม่พอใจ อยากให้เขาพอใจทุกเรื่อง แบบนั้นคิดว่าเขาจะชอบเธอมากขึ้นเหรอ?”โจวเสี่ยวหลินรู้สึกเขินจนหน้าแดง ก่อนจะตอบว่า “ถ้าคุณสังเกตเห็นแบบนี้ แล้วประธานเย่ก็อาจจะเห็นและรับรู้ได้ถึงความรู้สึกชอบที่ฉันมีให้ด้วยสินะคะ!”เวินหนี่ไม่ตอบอะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ปิดบังความทะเยอทะยานของตัวเองเลย“ไม่ดีเลย ถ้าเขารู้ทุกอย่างชัดเจนว่าฉันพยายามทำให้เขาพอใจ ก็อาจจะทำให้ฉันดูราคาถูกไปหน่อย” โจวเสี่ยวหลินกำลังคิดอยู่ว่าจะเป็นคนที่ดีที่สุดในใจของเย่หนานโจวได้อย่างไร“ฉันไม่มีภูมิหลังหรือสถานะอะไร เขายังไม่รังเกียจฉัน การได้อยู่ในพื้นที่เดียวกับเขาก็ถือว่าโชคดีม
เย่หนานโจวรู้สึกแปลกใจที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ “ทำไมครั้งที่แล้วไม่พูดอะไรเลย?”“ครั้งที่แล้วคุณไม่ได้ให้โอกาสฉันอธิบาย”เวินหนี่ยังจำได้ว่าครั้งที่แล้วเขาหันหลังเดินจากไปทันที โดยไม่ฟังเธอแม้แต่คำเดียวเย่หนานโจวมีข้อสงสัย จึงถามต่อว่า “ถ้าโจวเสี่ยวหลินไม่ใช่คนที่เธอพามาก็น่าจะไม่รู้จักกัน ครั้งแรกที่ฉันเจอ หล่อนก็ดูสนิทสนมกับเธอมาก ซึ่งหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นรู้จักเธอนานแล้ว”สิ่งที่เธอพูดและการกระทำดูไม่สอดคล้องกันโชคดีที่ตอนที่เธอหันไปคว้าโจวเสี่ยวหลิน เธอไม่ได้พูดอะไรเกินจริง ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังมองหาคนมาแทนที่ตอนนี้จึงมีโอกาสให้เธอแก้ตัว“จริง ๆ แล้วฉันเคยเจอหล่อนสองครั้ง” เวินหนี่ไม่ได้ปฏิเสธ “ประธานเย่สั่งให้ฉันตามหาคนไม่ใช่เหรอคะ? งานที่คุณมอบหมาย ฉันย่อมต้องให้ความสำคัญ”เย่หนานโจวพยายามจับผิดในคำพูดของอีกฝ่าย “ถ้าหล่อนไม่ได้ติดต่อมา เธอก็จะไม่บอกฉัน แสดงว่าเธอปกปิดความจริงจากฉันใช่ไหม?”คำพูดนี้ทำให้เวินหนี่รู้สึกอึดอัดกลัวเขาจะคิดว่าเธอทำโดยเจตนา จึงชี้แจงต่อ “ฉันยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน ถ้าหากว่าเป็นหล่อนจริง ๆ ฉันจะรีบพามาหาคุณในทันที”สุดท้ายแล้วเธอก็ไ
ยิ่งคิดโจวเสี่ยวหลินก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นในเมื่อเวินหนี่ไม่ต้องการพาเธอกลับมา มันก็ชัดเจนแล้วว่าหญิงสาวไม่ต้องการให้ใครมาแย่งตำแหน่งของตัวเองไปไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเปลี่ยนไปเวินหนี่เองก็ชอบเย่หนานโจว จึงไม่อนุญาตให้ผู้หญิงคนอื่นชอบเขาจึงมาพูดกับเธอแบบนั้นโจวเสี่ยวหลินคิดว่าถ้าไม่ใช่เวินหนี่ตามตัวเธอมา เย่หนานโจวเองก็คงไม่มีวันรู้ว่าเวินหนี่เป็นผู้หญิงที่นอนกับเขาในคืนนั้นเวินหนี่พยายามคิดหาทางออกเพื่อปิดบังเรื่องนี้ แล้วก็จัดการส่งเธอออกไปในตอนแรกโจวเสี่ยวหลินไม่ได้คิดอะไรมากนัก เป็นครั้งแรกที่เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจึงรู้สึกกลัวและตื่นตระหนก คิดแค่ว่าไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบเธอรู้ว่าเย่หนานโจวกำลังตามหาเธอ และไม่อยากก่อปัญหาใด ๆ จึงคิดแค่จะบอกลาให้เรียบร้อยแต่เย่หนานโจวกลับดีกับเธอมาก อ่อนโยนกับเธอ และยังให้เธออยู่ใกล้ชิดกับเขาสิ่งนี้ทำให้เธอได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่มีคนดูแลเอาใจใส่ดังนั้นเธอจึงยอมอยู่ต่อการที่เธออยู่ต่ออาจเป็นภัยคุกคามต่อเวินหนี่ในตอนนั้นเองเย่หนานโจวรับโทรศัพท์ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ หลังจากวางสายเขาจึงพูดกับเ
“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าคุณป้าทำอาหารอร่อย งั้นก็กินเยอะ ๆ ก็แล้วกัน”เวินหนี่วางแก้วลงบนโต๊ะและไม่คิดจะอยู่ต่อในเมื่อเย่หนานโจวไม่อยู่ที่นี่แล้วเธอก็อยากจะออกไป โจวเสี่ยวหลินรู้สึกว่าหากไม่ถามตอนนี้ ในอนาคตก็คงไม่มีโอกาส เธอจึงพูดขัดจังหวะขึ้นก่อนที่เวินหนี่จะออกไป “ปกติคำถามที่ไม่ได้ตอบตรง ๆ แปลว่าคำตอบนั้นมีอยู่แล้ว คุณชอบประธานเย่! ที่คุณพูดกับฉันก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าฉันจะเป็นภัยต่อคุณใช่ไหมล่ะคะ คุณเวินมีความลำเอียงหรือเปล่า? คุณไม่อยากให้ฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะฉันเคยมีความสัมพันธ์กับประธานเย่ มันทำให้คุณไม่พอใจใช่ไหม!”เวินหนี่ขมวดคิ้วแน่น แล้วหันกลับมาโจวเสี่ยวหลินมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่เหมือนกับเด็กสาวขี้กลัวที่เธอเจอครั้งแรก“ความมั่นใจของเธอมาจากไหนกัน?” เวินหนี่ถามอย่างเรียบ ๆ “เธอแน่ใจจริง ๆ เหรอว่าเธอเคยมีความสัมพันธ์กับประธานเย่? ที่ฉันเจอเธอ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ เหรอ? บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง?”“ที่แท้คุณก็ยังไม่เชื่อฉัน”โจวเสี่ยวหลินมองเวินหนี่แล้วลุกขึ้นยืน “ฉันต้องทำยังไง คุณถึงจะเชื่อว่าฉันเป็นคนในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
คนที่เข้ามาเห็นบัตรคิวที่หล่นอยู่บนพื้น ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจที่เห็นเวินหนี่อยู่ที่นี่แต่เช้าเขาก้มลงหยิบบัตรคิวที่ตกลงไปขึ้นมาเห็นดังนั้น รูม่านตาของเธอก็หดเล็กลงเล็กน้อยและรีบพยายามจะหยิบมันขึ้นมาก่อนเขาแต่เขาอยู่ใกล้กว่า จึงหยิบบัตรคิวขึ้นได้ก่อน“เธอไม่สบายมากหรือเปล่า?” เขาถามด้วยความห่วงใยชายคนนั้นมองดูบัตรคิวในมือครู่หนึ่ง แล้วพบว่าเป็นเพียงการตรวจอัลตราซาวด์ธรรมดาแม้จะมีแค่ข้อมูลนี้ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยเวินหนี่รู้สึกสับสนเหมือนความลับใหญ่หลวงกำลังจะถูกเปิดเผย เธอรีบคว้าบัตรคิวจากมือของเขาแล้วเก็บใส่กระเป๋า รวบรวมอารมณ์ที่ว้าวุ่นของตัวเองก่อนจะพูดว่า “ฉันมาตรวจร่างกายนิดหน่อยน่ะค่ะ”เย่หนานโจวมองไปที่ใบหน้าของเธออีกครั้งก่อนจะถามต่อว่า “ไม่ใช่ว่าระบบย่อยอาหารไม่ดีหรอกเหรอ แล้วทำไมต้องมาตรวจอัลตราซาวด์?”เวินหนี่กำหมัดแน่น ไม่กล้าสบตาเขา “ก็บอกแล้วไงว่ามาตรวจร่างกายนิดหน่อย”เย่หนานโจวล้วงมือข้างหนึ่งในกระเป๋า ดูไม่พอใจกับพฤติกรรมของคนตรงหน้านัก ก่อนจะขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมมาโรงพยาบาลแล้วไม่บอกฉันสักคำ?”เวินหนี่ตอบกลับ “ก็เมื่
เรื่องนี้ทำให้เวินหนี่ตกใจไม่น้อยก่อนหน้านี้ไม่ว่าเธอจะบาดเจ็บสาหัสหรือป่วยหนักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยสนใจเธอถึงขนาดนี้บางครั้งเขายังยุ่งกับงานจนละเลยความรู้สึกของเธอไปด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ในเวลาที่เธอไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย เขากลับพยายามหาวิธีที่จะอยู่เคียงข้างเธอสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลและอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเย่หนานโจวเห็นว่ามีคนอื่นกำลังจะเข้าลิฟต์ เขาจึงพูดว่า “เข้าไปก่อนเถอะ มีอะไรก็ค่อยว่ากันทีหลัง”พวกเขายืนรออยู่หน้าลิฟต์สักพักหนึ่งแล้วในที่สุดเวินหนี่ก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเขามือของเธออยู่ในกระเป๋า กำแผ่นกระดาษใบนั้นไว้แน่น รู้สึกเหมือนมันร้อนจนแทบทนไม่ไหววันที่ไม่ควรเจอเขาเลยกลับเป็นวันที่เจอพอดีประธานเย่ยืนอยู่ในลิฟต์ สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกของเวินหนี่ “กินข้าวเช้าหรือยัง?”เวินหนี่ไม่ได้ตอบเพราะเธอกำลังจมอยู่ในความกังวล ใจคิดหาวิธีที่จะหนีจากเขาไปให้ได้เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ เขาจึงหันมามองแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับมีเรื่องบางอย่างภายในใจ“เวินหนี่”เวินหนี่ตกใจจนสะดุ้งแล้วหันไปมองเย่หนานโจวด้วยความต