โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ...
ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา
ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม
“เอาไปดื่มซะ หน้าตาจะได้ดีขึ้น”
“นี่หลอกด่าเราทางอ้อมใช่ไหม?” ผมรับแก้วช็อคโกแลตร้อนจากมือของเจฟ “คนอย่างเรามันไม่มีดีอะไรเลยสักอย่างเลย”
“เป็นไรมากป่ะ เราล้อเล่นเฉยๆ ทำเป็นดราม่าไปได้ พอจะเล่าได้ไหม?”
“เจฟรู้เรื่องนี้แล้วเหยียบไว้เลยนะ เราชอบพี่ตง”ผมบอกความจริงที่ไม่มีใครรู้มาก่อน สีหน้าของเจฟเมื่อรับรู้แล้วเปลี่ยนไป เขาหุบยิ้มแล้วจ้องมองผมพร้อมที่จะตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมด “เราชอบพี่ตงมาตั้งแต่ช่วงรับน้องแล้วล่ะ แต่ทว่า พี่ตงไม่เคยรู้เลยว่าเรารู้สึกยังไง”
“พูดไม่ออกเลย แบงค์จะให้เราช่วยอะไรล่ะ จะให้เราไปบอกพี่ตงให้เหรอ? ไม่ดีมั้ง ถ้าแบงค์ชอบผู้หญิงพอทำเนา เรารู้สึกแปลกๆ แฮะหากจะให้ไปบอกแทน” เจฟเป็นผู้ชายแท้ๆ จะให้ส่งสาสน์บอกรักผู้ชายมันคงจะไม่เข้าท่าจริงๆ ด้วย
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าเราจะบอกรักใครสักคนหนึ่งเราก็คงจะบอกรักด้วยตนเอง อาจจะไม่ใช่คำพูดแต่เป็นการแสดงออก”
“สรุปแล้ว แค่แบงค์อยากจะระบายให้เราฟัง ระบายความอัดอั้นที่อยู่ภายในใจ เพราะแบงค์มีวิถีของแบงค์เอง” เจฟสรุปการสนทนาทั้งหมด
“ใช่แล้ว ขอบใจนะที่รับฟัง สำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องของชายรักชาย คนบางคนรับไม่ได้”
“ขึ้นชื่อว่าความรักแล้วมันก็สวยงามหมดแหละ ไม่จะรักใคร เพศไหน ที่ไหน อะไร ยังไง เราเองก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจคับแคบ แบงค์ยังเคยรับฟังเรื่องเรากับฝ้าย เราจะรับฟังเรื่องแบงค์กับพี่ตงจะเป็นไรไป แต่ตอนนี้มีเรื่องให้สนใจมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบงค์เตรียมกับการสอบมิดเทอมยัง?”
“ได้ชอร์ทโน้ตจากติ๊กมา เราเริ่มอ่านบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เราไม่ค่อยเข้าใจ” ผมตอบ
“ไปอ่านหนังสือกับเราที่ลานตึกเกือกม้าไหม?” เจฟชวน
ตกค่ำวันนั้น หลังจากมีความสุขกับการรับประทานอาหารมื้อเย็นแล้ว เจฟและผมตระเตรียมหนังสือตำราเอกสารต่างๆ รวมไปถึงของกินกันหิว โต๊ะตรงลานตึกเกือกม้าแทบทุกโต๊ะ มีคนมาอ่านหนังสือเตรียมสอบกันพอควร
“โชคดีนะที่ยังมีโต๊ะ หากมาช้ากว่านี้คงจะไม่มีเหลือแล้ว” ผมพูดพลางวางสิ่งของลงบนโต๊ะ จากนั้นเราสองคนเริ่มอ่านหนังสือโดยหันหน้าเข้าหากันอย่างใจจดใจจ่อ วิชาแรกที่ผมอ่าน คือ Mangement Science อันเป็นวิชาของพื้นฐาน อาจารย์รุ่งได้บอกแนวข้อสอบไว้วว่าเป็นข้อสอบปรนัย 80 ข้อ หมายความว่า กาข้อสอบถูก 4 ข้อเท่ากับ 1 คะแนน
“เจฟช่วยอธิบายเรื่องคุณสมบัติที่ดีของนักจัดการเป็นอย่างไรบ้าง พอดีว่าเอกสารส่วนนี้ของเราหายไป” ผมขอความช่วยเหลือจากเจฟ
เจฟลุกมานั่งข้างผมแต่ด้วยความเลินเล่อไม่ระมัดระวังของเขา เจฟสะดุดกับขอบที่นั่งไม้เซถลามาชนผม ปากของเขาชนเข้ากับพวงแก้มข้างซ้ายของผมอย่างจัง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมกับเขาสบตากันนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
“นี่เราสองคนจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหน?” ผมบ่นเพื่อเรียกสติของตนเองและตัวเขาให้กลับมา
“อันนี้ใช่ไหม คุณสมบัติของนักจัดการที่ดี” เจฟหยิบเอกสารที่มีหัวข้อคุณสมบัติของนักจัดการที่ดี แล้วเริ่มอธิบายให้ผมฟัง “นักจัดการหรือผู้จัดการนั้นต้องมีคุณสมบัติ 5 ข้อ[1]คือ ข้อที่ 1. มีความรู้มีความเข้าใจในศาสตร์แห่งการบริหารจัดการ เปรียบไปเหมือนทหารต้องเรียนรู้ตำราพิชัยสงคราม รบไปจะได้ไม่ไปตาย 2. มีภาวะผู้นำ นักจัดการค้องมีภาพลักษณ์ให้ผู้คนทั้งภายในและภายนอกองค์กรเชื่อถือ เชื่อฟัง...”
เจฟอธิบายไปเรื่อยๆ มือของเขาอยู่ไม่สุข เลื้อยมาโอบบ่าผมเอาไว้ ผมมองสบตากับเจฟอีกรอบ ครานี้นานอยู่พอควร
“ฟังต่อเถอะ ข้อที่ 3 มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ผู้จัดการต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าที่มากระทบทั้งดีและไม่ดี ต้องมีความอดทนจัดการกับความขุ่นมัวทางอารมณ์ได้ 4. มีความคิดสร้างสรรค์ ผู้จัดการต้องมีความคิด ความอ่าน คิดค้นวิธีการต่างๆ ในการจัดการบริหารองค์กรให้มีความอยู่รอด ท่ามกลางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และข้อสุดท้าย ข้อที่ 5 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ผู้จัดการต้องทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ต้องอาศัยหลักการแห่งความมีมนุษยสัมพันธ์ในการขับเคลื่อน ในการทำงาน เข้าใจยัง?”
“อืมเข้าใจแล้ว ช่วยกลับไปนั่งที่เดิมด้วยนะ เบียดๆ กันมันร้อน” ผมตัดบทแล้วไล่เจฟให้กลับนั่งที่เดิม จนถึง 4 ทุ่มเศษ เราสองคนเลิกอ่านหนังสือ กลับหอพักแยกย้ายกันไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน
การสอบกลางภาคมาถึงและผ่านพ้นไป บรรยากาศการสอบในบางวิชาก็เคร่งเครียดเสียจนผมไม่กล้าหายใจออกมาดังๆ อาจารย์บางท่านเมื่อยามสอนในห้องเรียนช่างเป็นมิตรจำนรรจาแต่เมื่ออยู่ในห้องสอบดุและเหี้ยมยิ่งกว่ายุงอีก(เพราะยุงร้ายยิ่งกว่าเสือ) นักศึกษาอย่างเราๆ ก็ใช่ย่อยพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อการทุจริต ผมได้ทำข้อสอบและทำข้อสอบได้ปะปนคละเคล้ากันไปกล่าวคือ วิชาคณิตศาสตร์ถือว่าได้ทำเพราะผมไม่ดินเส้นกับวิชา ความรู้ทางคณิตสาสตร์ของอ่อนมากๆ ชะรอยว่าชาติก่อนๆ ผมไปฆ่านักคณิตศาสตร์เข้าจึงต้องมารับกรรมในชาตินี้เต็มๆ ส่วนวิชาที่ทำได้นั้นคือวิชามาร์เก็ตติ้ง เพราะผ่านการติวเข้มจากพี่บาสผู้เป็นพี่เทคของป้าชุจนเข้าใจเนื้อหาและสวรรค์เข้าข้าง ข้อสอบออกแนวเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
งานวิชาการประจำมหาวิทยาลัยมาถึง การจัดงานก็ไม่ต่างงานวันกิจกรรมของโรงเรียนในสมัยมัธยมศึกษาที่ผมเรียนจบมา เพียงแต่พอเป็นระดับมหาวิทยาลัยอะไรๆ ก็เลยพิเศษมากขึ้นกว่าทั้งสาระวิชาการ และความบันเทิงสนุกสนาน ทุกชั้นปี ทุกสาขาและทุกชมรมได้ออกร้านค้าหนึ่งร้าน งานวิชาการมี 3 วัน ปีหนึ่งสาขาวจก. ออกร้านขายผ้าเช็ดหน้าบาติกที่ผ่านการเขียนลายเสร็จพร้อมระบายสีตามจินตนาการของลูกค้า ส่วนตัวผมเองมีกิจกรรมให้ทำในช่วงงานวิชาการคือเป็นเจ้าหน้าที่จัดการอบรมสัมมนาร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามคำชักชวนจากป้าชุ ในการประชุมเตรียมงานที่ตึกอธิการบดี พี่บาสผู้เป็นหัวหน้าทีมรายงานแผนการทำงานโดยที่ทุกๆ คนตั้งใจฟัง ยกเว้นแมนที่พูดคุยในเรื่องไร้สาระจีบหนิงอิงโดยไม่ได้ดูกาลเทศะ พลอยทำให้คนอื่นๆ เสียสมาธิในการฟังพี่บาสอธิบาย
“หนิงอิง ไอที่ว่ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนเขาเรียกว่าอะไรเหรอ?” แมนถามหนิงอิง ทุกๆ คนแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน รังสีอำมหิตแผ่ซ่านไปที่แมนแต่เขายังไม่รู้ตัวอีก
“ศพ!” คำเดียวสั้นๆ จากอาจารย์เกมที่ร่วมสังเกตการณ์และชี้แนะการทำงาน ได้สะท้อนความอดทนที่มาถึงจุดสิ้นสุด สร้างความสะใจจนทุกๆ คนหัวเราะร่อโห่ร้องปรบมือด้วยความสะใจ หลังจากนั้นแมนนั่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรอีก คำว่าศพจะหลอกหลอนแมนไปอีกนานเท่านาน นับจากนั้นมาแมนมีฉายาว่าศพ โดนเพื่อนๆ ล้อเป็นประจำ
... ... ...
งานวิชาการประจำมหาวิทยาลัยมาถึงแล้ว ผมกับพี่ตงได้เจอกันบ้าง แต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย เพียงแค่ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเพียงไม่กี่คำ ในวันแรกของงานยังไม่มีการอบรมสัมมนา ผมเลยแกร่วอยู่ตรงซุ้มร้านค้าของสาขาวจก. กลางวันกิน ช้อป ชม ผมได้รู้จักอาหารพื้นเมืองของชาวมุสลิมจากชมรมมุสลิมสัมพันธ์คือ กือโป๊ะหรือหัวข้าวเกรียบปลา เป็นอาหารทานเล่นคล้ายกับลูกชิ้นปลาจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ดอร่อยเหาะเลยทีเดียว พอตกค่ำชมการแสดง ณ เวทีกลาง ชมรมเชียร์และการแสดงจัดการแสดงจุดตารีกีปัสหรือรำพัดแบบชวามลายู สาขาวจก. ชั้นปีที่ 2 แสดงชุดระบำบาติก เจฟเอาโทรทัศน์มาไว้ที่ซุ้มร้านค้าเพราะพวกผู้หญิงติดละคร ผมเลยอยู่ดึกช่วยเจฟเก็บของเพราะอยู่ห้องไม่มีอะไรทำ
“นี่แบงค์ รู้ข่าวแล้วยัง?” แก้วถามเปรยๆ สายตาของเธอจับจ้องกับละครในโทรทัศน์
“ข่าวอะไร?” ผมละสายตาจากละครในโทรทัศน์แล้วมองมาที่แก้ว
“เรื่องพี่ตงไง หญิงเล่าให้ฟังว่าพี่ตงเปิดตัวแฟนแล้วนะ”ผมไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง แก้วมันรู้ว่าผมชอบพี่ตงเพราะผมเผลอไปบอกพวกผู้หญิงเมื่อตอนเรียนวิชาคอมพิวเตอร์
“ไม่จริงมั้งแก้ว พี่เขายังโสด” ผมมโนสุดฤทธิ์ ไม่อยากจะรับความจริง
“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ แกยังไม่เคยบอกพี่ตงเลยใช่ไหม เขายังไม่รู้เรื่องแก” แก้วเตือนผมตามสภาพความเป็นจริง “เอาหลักฐานมายันสิแก้ว ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเราก็จะได้เห็นกัน สังคมที่นี่มันแคบ ไม่ช้าก็เร็วจะได้รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ”
ผมยอมรับว่าผมฉุนขาด เพราะผมเชื่อว่าความฝันจะเป้นจริงได้ในสักวันหนึ่ง แต่เรื่องบ้าๆ ที่หญิงบอกกับผมนั้น มันบันทอนคตวามเชื่อของผมไปโขเลย
วันต่อมา... ผมและเพื่อนๆ ผู้หญิงที่ไม่มีรถเดินกันมาถึงตึกเกือกม้าก่อนเวลานัด 7 โมงเช้าเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่ทีมงานของมหาวิทยาลัยพบกับทีมงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและทีมงานจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ผมอยู่ฝ่ายสถานที่มีหน้าที่เตรียมความพร้อมทั้งสถานที่สัมมนา สถานที่ในการพักเบรกคือห้อง D 267 หรือเรียกกันอย่างลำลองว่าห้องร้อน ตามกำหนดการในวันนี้เป็นการสัมมนาในหลักสูตร เงินทองต้องใส่ใจ ส่วนวันพรุ่งนี้เป็นการสัมมนาในหัวข้อ การลงทุนในหุ้น ผู้เข้าร่วมสัมมนามีหลากหลายวัย แต่ที่แปลกและโดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นเด็กชายวัย 14 ขวบเดินมาลงชื่อเข้าสัมมนาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ป้าชุซักถามได้ความว่าน้องผู้ชายคนนี้มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมสัมมนา ท้ายสุดแล้วพวกเราทั้งหมดถ่ายรูปร่วมกับน้องคนนี้ไว้เป็นที่ระลึก
งานสัมมนาวันแรกผ่านไป ตกค่ำผมยังคงสิงสถิตอยู่ ณ ซุ้มร้านผ้าเช็ดหน้าบาติกของสาขา เวทีกิจกรรมย้ายจากเวทีกลางแจ้งสูเวทีตรงลานตึกเกือกม้าเพราะว่าลมพายุถล่มเวทีกลางแจ้งจนพังยับเยิน ผมดูละครโทรทัศน์อยู่เงียบๆ กับเพื่อนผู้หญิง ขณะกำลังชมละครได้อรรถรส หญิงก็สะกิดผมให้ดูอะไรบางอย่างที่ถนนหน้าร้าน
“ฉันว่าข่าวเรื่องพี่ตงน่าจะเป็นจริงแล้วมั้ง?” สิ่งที่ผมเห็นมันคือความจริงที่ว่า พี่ตงเดินอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนผิวขาวซีด ร่างอวบ หน้าตาเรียบๆ ไม่เด่นอะไรเลย รุ่นพี่คนนี้ไม่ได้อยู่สาขาวจก. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีข้อขัดแย้งให้ผมมองผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างอื่นไปได้ คนทั้งคู่เดินผ่านผมไป ทั้งสองพูดคุยกระซิกๆ ต่อกัน คนอื่นๆ ที่แวดล้อมเขาทั้งคู่เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในโลกสีชมพูที่คนรักสร้างสรรค์ขึ้น สิ่งที่ผมทำได้คือเดินหนีไปจากตรงนี้ โดยไม่ได้ร่ำลาใครๆ แม้จะมีเสียงเรียกให้กลับมา ผมก็ไม่สนใจแล้ว
ขึ้นชื่อว่าขึ้นเขามันก็ลำบากทั้งนั้น ผมเพิ่งเข่าใจความหมายนี้เอง ผมเดินจากที่ๆ ผมเจอคู่รักคู่นั้น ผมเดินขึ้นเขากลับหออย่างเลื่อนลอย ผมคิดคำนึงถึงเรื่องพี่ตง เส้นทางความรักของผมไม่เคยมีใครได้ใช้ร่วมกับผม พี่ตงอาจจะไม่รับรู้ว่ามีผมอยู่หนึ่งคนที่แอบรักเขาอยู่หรือเขาอาจจะรับรู้ว่ามีผมอยู่แต่เขาไม่เลือกผม แต่ไม่ว่าเป็นแบบไหนสรุปแล้ว พี่ตงก็ไม่ได้รักผม เขารักพี่วรรณผู้หญิงคนนั้น ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป เก็บรักนี้ไว้หรือตัดใจถอนตัวออกมาดี
... ... ...
รายการเสียงตามสายช่วงพักเที่ยงของชมรมวาทศิลป์เปิดเพลงเอาใจผมอย่างไรก็ไม่ทราบ ตั้งแต่ผ่านพ้นงานวิชาการผมเก็บตัวเงียบๆ กินยากนอนยากตามสูตรสำเร็จของคนอกหัก พวกเพื่อนๆ ผู้หญิงรู้เรื่องราวดี หากจะอ้าปากถาม ผมตีหน้ามึนตึงเป็นคำตอบว่าผมไม่อยากจะพูดถึงมัน แม้แต่คำตอบในใจก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน
ผลการสอบการกลางภาคทยอยออกมา ผลที่เห็นอยู่คือมีดีและมีร้าย ที่ดีคือวิชาที่ผมคิดว่าทำได้ ที่ร้ายคือวิชาที่ผมได้ทำ ในชั่วโมงเรียนวิชาแมทช์ อาจารย์บอยได้พูดคุยทำข้อตกลงกับผมและเพื่อนๆ อาจารย์แนะนำเชิงบังคับว่าให้ผมและเพื่อนๆ ที่ทำคะแนนสอบกลางภาคไม่ถึงกึ่งหนึ่งถอนวิชานี้เสียแล้วไปลงเรียนใหม่ในภาคเรียนถัดไป เลยกลายเป็นว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนวิชาแมทช์ในเภาคเรียนนี้ของผม เพื่อนๆ ที่ถอนวิชาเรียนวิชานี้พร้อมกันกับผมมีป้าชุ ติ๊ก แก้วและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทสนมเท่าใด และนี่คือสัญญาณบอกว่าฤดูกาลถอนวิชาเรียนเริ่มต้นขึ้นและจะบังเกิดความวุ่นวายตรงห้องทะเบียนเป็นไปอย่างนี้ 2 สัปดาห์ ด้วยความวุ่นวายนี่เองทำให้ผมต้องวิ่งรอกด้วยสองเท้าจากหอพักบนเขาไปยังตึกอธิการบดีอันเป็นที่ตั้งของห้องพักอาจารย์สาขาวิชาวิทยาการจัดการเพื่อให้อาจารย์เกมเซ็นใบถอนวิชาเรียน ผมมาถึงแล้วนั่งพักตรงม้านั่งหินอ่อนหลังตึกสำนักงานอธิการบดีเพื่อคลายความเหนื่อยหอบจาการเดินทาง ผมตระหนักถึงความยากลำบากของการไม่มีรถราส่วนตัว ผมพักอยู่ตรงนี้ 10 นาทีแล้วไปยื่นใบถอนวิชาเรียนให้อาจารย์เกมเซ็นกำกับในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา เมื่อเสร็จภารกิจนี้ ภารกิจต่อไปคือยื่นใบถอนสู่ห้องทะเบียนที่ตึกเกือกม้าเป็นอันเสร็จสิ้น นี่แหละชีวิตนักศึกษา เรียนได้เรียนไป เรียนไม่ได้ก็ต้องถอน ความวุ่นวายจากภารกิจถอนวิชาคณิตศาสตร์จึงยุติลงเท่านี้
จนเวลาเที่ยงรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จกลับหอ ผมยอมโดดเรียนช่วงบ่ายเพื่อพักผ่อน จนมืดค่ำผมรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็ขึ้นศาลาจานบินเพื่อกินลมชมทิวทัศน์ ผมอยู่บนนั้นตั้งแต่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อนจนเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้ม น้ำเงิน กรมท่าและดำตามลำดับ ผมเห็นเจฟขับรถจักรยานยนต์ผ่านไป เขามองขึ้นมาที่ศาลาจานบินเห็นผมแล้วชะลอรถกลับรถมาจอดเลียบถนน เดินขึ้นมาศาลาจาบิน เขามีผ้าเช็ดผืนหนึ่งติดมือมาด้วย
“กำลังหาตัวอยู่ตัวอยู่พอดี เอานี่ไปซะ เราแอบทำไว้ให้” เจฟส่งผ้าเช็ดหน้าให้ผม เป็นผ้าเช็ดหน้าบาติกลายหมูยิ้มระบายสีส้ม พื้นหลังระบายเป็นสีเขียวอ่อนตัดกับสีส้มของหมู
“ขอบใจนะ” ผมรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาเป็นของตนเองแล้วมองดูดวงดาวที่พร่างพรายบนท้องฟ้าดุจกากเพชรที่หกหล่นลงบนพรมกำมะหยี่สีดำอันเป็นศิลปะที่ควรค่าแก่การชื่นชม
“แบงค์เป็นไงบ้าง?” เจฟชวนผมพูดคุยก่อนที่อะไรๆ จะดูเงียบลง
“สุขภาพกายสบายดี ส่วนสุขภาพใจที่เคยแย่เมื่อหลายวันก่อนก็เริ่มดีขึ้นแล้ว” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง เจฟพยักหน้ารับรู้เพื่อเป็นการบอกว่าเขาทราบเรื่องพี่ตงและพี่วรรณแล้ว
“แล้วจะทำยังไงต่อไป?” เจฟถาม
“ก็ไม่รู้ เราขัดแย้งกับใจเราเอง ใจมันแบ่งเป็นสองฝ่าย ใจหนึ่งตัดใจซะ อย่างไรเสียพี่ตงกับเราไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนอีกใจหนึ่งก็ยังบอกให้รอเพราะพี่ตงเป็นคนดี” ผมตอบคำถามตามความรู้สึกในใจของผม
“ฟังนะแบงค์ นายน่ะต้องเริ่มคิดได้แล้วล่ะว่า แบงค์รักพี่ตงแล้วมีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน ในโลกแห่งความฝันแบงค์กับพี่ตงอาจจะเป็นคู่รักที่ดูดดื่ม หากในโลกความเป็นจริงแล้ว พี่ตงรักพี่วรรณ แบงค์เป็นคนอื่นในสายตาของคู่รักคู่นั้น แบงค์จะทำยังไง แย่งพี่เขามาหรือ เราเชื่อมั่นว่าคนอย่างแบงค์คงจะไม่ทำเช่นนั้น จะรอให้คนทั้งคู่เลิกกันเหรอ เมื่อไหร่ล่ะ แล้วถ้าเลิกกันจริง แบงค์คิดว่าพี่ตงจะเลือกแบงค์หรือ พี่เขาเป็นชายแท้นะ การเปลี่ยนชายแท้ๆ ให้มารักแบงค์นั้นยากอยู่นะ เรื่องนี้แบงค์จะเข้าใจดีมากกว่าเรา ในบางเวลาความถูกใจกับความถูกต้องมักจะสวนทางกัน” เจฟร่ายยาวมาเป็นชุดใหญ่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทอดสายตามองท้องฟ้าสีดำกว้างใหญ่ ลมหอบใหญ่ปะทะหน้าและร่างผมจนผมหลับตาเบือนหน้าหนี ลมหอบนั้นที่ผ่านไปทิ้งคราบน้ำตาให้ผมเหมือนความรักครั้งนี้
“ร้องไห้หรือ?” เจฟมองมาที่ผมแล้วถาม
“เปล่า” ผมเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา “ลมหอบใหญ่เมื่อกี้เข้าตา น้ำตาเลยไหล”
“แบงค์นี่เป็นคนประเภทใจบางบางนะ” เจฟเปรยกับผม “ต้องทำใจตนเองให้แข็งมากกว่านี้”
“ทำหน้าตกใจเราร้องไม่เพราะเหรอ?” เมื่อเจฟมองหน้าผมหลังจากร้องเพลงจบลง เห็นทำหน้าตกใจเลยถาม
“เราตกใจเพราะนึกได้ว่าเพลงใจบางบางเป็นเพลงที่พี่ตงชอบ” ผมตอบ
“อ๋อเหรอ” เจฟยิ้มแห้งๆ ให้ผม เขานั่งเงียบๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก ไม่รู้ว่าเพราะหมดเรื่องที่จะคุยหรือว่าไม่กล้าพูดอะไรที่จะกระเทือนไปถึงความทรงจำของผมที่มีพี่ตงเกี่ยวพันอีก
“ดูดาวดีกว่า คืนนี้ดาวเต็มฟ้าเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่า หน้าฝนท้องฟ้าจะปลอดโปร่งได้ถึงขนาดนี้” ผมพูดแล้วมองออกไปยังท้องฟ้าสีดำที่มีดาวรายเรียงอยู่เต็มฟ้า
“ที่ดูๆ อยู่น่ะ มีดาวดวงไหนเป็นของแบงค์ล่ะ?” เจฟถาม
“ดาวมันมีคนจับจองเป็นเจ้าของได้ด้วยหรือ แล้วทำไมต้องมีด้วยล่ะ?” ผมถามกลับเจฟไป
“ก็วันไหนที่เราไม่ได้เจอแบงค์ เราจะได้มองไปบนฟ้า พูดคุยกับแบงค์ผ่านดวงดาวได้ไง” เจฟทำสีหน้าเคร่งขรึมหมายความว่าสิ่งที่เขาตอบเป็นความจริงและจริงจัง
“ดาวดวงไหนดีนะ” ผมไล่นิ้วหาดวงดาวสักดวงที่อยู่บนฟ้า “ได้แล้วล่ะ ดาวที่อยู่ใกล้พระจันทร์เสี้ยวที่สุดไง สังเกตง่ายดี”
“ดาวของเรานะ เป็นดาวที่หาง่ายกว่าดาวของแบงค์อีก แม้ท้องฟ้าจะปิดก็ยังหาเจอ” เจฟบอก
“ดวงไหนอ่ะ?”
“ดาวเสา แสงไฟจากเสาโทรทัศน์บนยอดเขาท่าเพชรไง” เจฟเฉลยมา ทำเอาผมเงิบเลยทีเดียว
“คิดได้ไงวะ กำลังจบแบบสวยๆ อยู่แล้วเทียว”
จากนั้นเราสองคนนั่งชื่นชมดาวบนท้องฟ้าและดาวเสาของเจฟอยู่นานสองนาน จนเวลาล่วงมาถึงเที่ยงคืน เราสองคนตัดสินใจกลับสู่หอพักกันโดยเขายังทำหน้าที่สารถีส่งผมกลับสู่หอพักเช่นเดิม
... ... ...
บรรยากาศการเรียนวันต่อมาเป็นสีเทาสีเดียวกับท้องฟ้า มีฝนตกหนัก ตกเบา เว้นช่วงสลับกันไปตามใจของสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ พอช่วงบ่ายพวกผู้หญิงลากผมเข้าห้องเกียรติยศภายในหอบรรณสารสนเทศเพื่อเค้นความจริงอะไรบางอย่างจากปากผม
“แกกับเจฟเป็นอะไรกัน?” ป้าชุยิงคำถามเปิดประเด็นถามถึงสัมพันธภาพของผมและเจฟอย่างตรงไปตรงมา
“เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น” ผมตอบคำถามโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ในใจพลันนึกสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกผู้หญิงคิดวุ่นวายได้ขนาดนี้
“แกแน่ใจนะ” แก้วถามย้ำอีกหน “สิ่งที่ฉันรู้มา มันทำให้ฉันและเพื่อนๆ อดสงสัยไม่ได้”
“ฉันได้ข้อมูลมา แกกับเจฟมักจะหายไปด้วยกันในช่วงค่ำและกลับมาช่วงดึกๆ บอกพวกฉันมาว่าแกไปทำอะไรกับเจฟ” ยามเมื่อต่อมความอยากรู้เรื่องคนอื่นทำงานมันเปลี่ยนผู้หญิงเซื่องๆ อย่างอ้อให้เป็นอย่างนี้ไปได้ ข้อมูลที่หล่อนได้มานั้นคงจะมาจากรูมเมทคนใดคนหนึ่งของเจฟ ดีไม่ดีนี่เป็นการรวมหัวกันจากเพื่อนๆ ทั้งหมดของผมก็เป็นไปได้
“ก็แค่สองครั้งเอง” ผมตอบ
“อะไร ยังไง?” ป้าชุรุกถามต่อ
“ครั้งแรก เราจัดงานวันเกิดให้เจฟ โดยจัดที่ศาลาจานบิน ช่วงนั้นความตายของโอมยังคุกรุ่นอยู่ งานวันเกิดเป็นงานรื่นเริง จะเชิญเพื่อนๆ มาร่วมงานเยอะมันก็กระไรอยู่ เราสองคนแลองวันเกิดจนผ่านลุล่วงไป ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครถาม เราก็เลยทำเนียนไม่เมาท์มอยอะไรให้ฟัง”
“เดี๋ยวก่อน” แก้วแย้งขึ้นมา “แกหมกเม็ดนะเน่า แกเล่าไม่หมด น้องนนท์บอกว่าเห็นแกหอมแก้มเจฟ”
เน่าคือฉายาที่พวกเพื่อนผู้หญิงตั้งให้ผม ด้วยเหตุว่าผมเป็นคนชอบอ่านนิยายแล้วนำคำพูดที่ประทับใจในนิยายมาใช้พูดจากับเพื่อนๆ “มันเป็นการใส่ความชัดๆ เรากับเจฟฝ่าฝนกลับมาจากศาลาจานบินผ่านมาทางหอ 3 ความที่เราซุ่มซ่าม เราไปสะดุดกับขอบปูนทางขึ้นหอ 5 ล้มทับเจฟ ปากเราไปชนกับแก้มของเจฟเท่านั้นเอง”
“ถามจริงนะ แกไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจฟจริงๆ นะ” ติ๊กถามย้ำอีกรอบ พวกนี้จะซักเอาถ้วยรางวัลหรืออย่างไรกัน
“ก็ใช่นะสิ” ผมยังยืนคำตอบเดิมเช่นกัน
“หากในอนาคต แกชอบเจฟขึ้นมา แล้วมีเพื่อนๆ คนอื่นชอบเจฟเหมือนกันแกจะทำอย่างไร?” ป้าชุถามคำถามที่ผมต้องชั่งใจ ครุ่นคิดอย่างหนักในการตอบ เพราะในชีวิตนี้ของผมยังไม่เคยมีประสบการณ์ชิงรักหักสวาทกับใคร ดวงใจดวงนี้ชาชินกับการรักใครข้างเดียว
“เราคงเสียสละให้เพื่อน ถ้าเจฟไม่ได้เลือกเรา มันจะมีประโยชน์อะไรที่เป็นตัวไม่ทราบค่าระหว่างความรักของคนทั้งคู่ คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นคนดีของสังคมได้” ยิ่งตอบไปผมยิ่งเอ๋อเลยตัดจบด้วยคำคมที่หยิบยืมมาจากเวทีการประกวดนางงาม เมื่อผมให้คำตอบเป็นที่น่าพอใจแล้ว พวกเพื่อนผู้หญิงก็แยกย้ายจากผมไป ปล่อยให้ผมนั่งอ่านนิยายอยู่ในห้องนี้ตามลำพัง
ทว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆนั้นรบกวนจิตใจผมให้ต้องกลับมาคิด ผมเลิกอ่านนิยายเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก ป่ายางสีเขียวเมื่ออยู่ในทะเลฝนกลับแปรเปลี่ยนสีเทาหม่นๆ หยาดฝนนั้นตกกระทบใบไม้ ยอดหญ้าเสมือนผ้าเช็ดหน้าบาติกผืนนั้นที่เจฟรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อปลอบโยน ใช้เช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลเอ่อจากใจของผม ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยคิดและไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ กับเจฟ ผมเกลียดตัวเองจริงๆ ทำตนเองเป็นไม้เลื้อยเถาวัลย์ไปได้ อยู่ใกล้ใครคนไหนก็มีอันคิดเลยเถิดกับเขา เจฟแสดงออกและปฏิบัติต่อผมเสมือนอย่างที่เพื่อนทั่วๆ ไปพึงกระทำต่อกัน หน้าที่ของเพื่อนคือมีสุขร่วมเสพมีทุกช์ร่วมต้าน เรื่องพี่ตงคาราคาซังอยู่อย่างนี้จะเอาเรื่องของเจฟเข้ามาเพิ่มให้วุ่นวายอีก อย่าหาเหาตัวใหม่ใส่หัวเน่าๆ หัวนี้เลยพงษ์ชิษณุ ผมบอกกับตนเองอย่างนั้น
ด้วยความคิดอันแสนบรรเจิดของชุ ผม ดา แมน แก้ว ติ๊ก ตุ่มและอ้อต้องร่วมกันถ่ายทำโฆษณาประกอบรายงานในวิชามาร์เก็ตติ้งเป็นโฆษณา 3 ชิ้นของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมตรา แฮปปี้ และยังได้รับความอนุเคราะห์จากกลุ่มพี่บาสที่สนิทสนมกันเมื่อครั้งทำงานในงานวิชาการร่วมกัน สถานที่ถ่ายทำเป็นอาคารโรงแรมและศาลาจานบิน
“เบื่อจัง ไม่มีอะไรให้ทำเลย” ผมบ่นกับเพื่อนๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ตามที่พี่ตู่สั่งให้แสดง
“ใช่แล้ว” แมนพูดเสริม ดาและติ๊กที่นั่งร่วมโต๊ะแสดงสีหน้าเซ็งๆ เช่นกัน
พี่บาสวางเครื่องดื่มแฮปปี้สี่ขวดลงบนโต๊ะกลางวงสนทนา เมื่อผมและเพื่อนๆ เห็นเครื่องดื่มแฮปปี้ก็แสดงความผ่อนคลาย ตื่นเต้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาโดยบัดดล
“แฮปปี้” เราทั้งหมดส่งเสียงพร้อมกันด้วยน้ำเสียงดีใจและสนุกสนานเป็นที่สุด
“คัท” พี่ตู่สั่งให้ผมและเพื่อนๆ ยุติบทบาทที่แสดงอยู่ ผมหยิบเครื่องดื่มมากระดกดื่ม เพื่อนๆ ที่เหลือก็ทำเหมือนๆ ผม ความซ่าของมันสร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี พี่ตู่ตรวจสอบคลิปโฆษณาเสร็จสรรพ งานชิ้นแรกผ่านไปด้วยดี
โฆษณาตัวที่สองเป็นงานกำกับของพี่บาส เขากำลังบอกคิว บอกสิ่งพี่ตู่และตุ่มต้องแสดง พี่เขาและหล่อนรับบทเป็นคู่รักที่นัดเดทรับประทานอาหารในร้านอาหาร พี่ตู่มาสายทำให้ตุ่มรอคอยอยู่นานจนหงุดหงิด เมื่อพี่ตู่มาเลยโดนตุ่มสวดฉอดๆ แว้ดๆ ขนานใหญ่จนพี่เขารำคาญเรียกบริกรที่รับบทโดยพี่เอสสั่งน้ำอัดลมมาง้อตุ่ม เมื่อเจ้าหล่อนดื่มแฮปปี้แล้วหายงอนอารมณ์ดีเหมือนปกติ
มาถึงโฆษณาชิ้นสุดท้ายแล้ว ศาลาจานบินคือฉากถ่ายทำ เป็นเรื่องราวของกีฬามวยปล้ำ มีพี่บาสและพี่เอสแข่งขันกัน พี่ตู่รับททพี่เลี้ยงของพี่เอส ส่วนแมนรับบทพี่เลี้ยงของพี่บาส ส่วนผมและเพื่อนๆ ที่เหลือยกเว้นป้าชุรับบทเป็นผู้ชมที่คอยเชียร์กีฬามวยปล้ำอยู่ แน่นอนว่ารูปร่างผอมบาง ผิวซีดราวับคนขี้โรคของพี่เอสจะเอาอะไรไปต่อกรกับพี่บาสผู้มีรูปร่างล่ำสันเหมือนนักซูโม่ ทั้งสองโรมรันพันตรูกอดรัดใช้พละกำลังอย่างมากเพื่อล้มคู่ต่อสู้อีกฝ่าย
“เราจะแก้เกมยังไง” พี่เอสปรึกษากับพี่ตู่ เขาเหนื่อยและใกล้หมดเรี่ยวแรงเต็มทีแล้ว
“ท่าจะไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นแกแพ้แน่เลยเอส” พี่ตู่คุยกับพี่เอส “นึกออกแล้ว ติ๊กเอาแฮปปี้มา”
ติ๊กยื่นขวดน้ำอัดลมให้พี่เอสกระดกดื่ม พี่เขาทำสีหน้าสดชื่นดุจพละกำลังทั้งหมดกลับคืนมา เมื่อเริ่มแข่งในยกถัดมา พี่เอสคว่ำพี่บาสจนพี่บาสนอนกองกับพื้นแพ้น็อคไป การถ่ายทำโฆษณาจบลง ผมเหนื่อยและสนุกสนานกับการทำงานนี้อย่างมาก
วันอังคารต่อมา... ผมเข้าเรียนในวิชา Marketing อย่างสบายอารมณ์เพราะงานในวิชานี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าชุส่งคลิปโฆษณาให้อาจารย์เกมชมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อาจารย์นำคลิปมาเปิดให้เพื่อนๆ คนอื่นได้ชมกัน ผมและเพื่อนๆ ที่ปรากกฎอยู่ในคลิปนั่งดีใจหน้าบานประมาณจานดำรับสัญญาณโทรทัศน์
อาจารย์ตั้งเพลย์ลิสต์เล่นคลิปไปเรื่อยๆ จนครบ 3 คลิป ทว่ามันมีคลิปที่สี่เล่นต่อ นั่นมันคลิปที่พวกผม อ้อ แก้ว ดา และตุ่มเต้นรีวิวประกอบเพลงลูกทุ่ง อ้อเป็นนักร้องลิปซิงค์ประกอบส่วนผมและพวกผู้หญิงที่เหลือเต้นประกอบเพลง อันที่จริงแล้ว คลิปนี้ตั้งใจถ่ายเก็บไว้ใช้ในวิชากีฬาและนันทนาการ ผมและเพื่อนๆ อายแทบแทรกแผ่นดินหนี เพื่อนๆ คนอื่นๆ หัวเราะฮาครืน
“อีป้า ทำอย่างนี้กับพวกเราได้ไง” แก้วเล่นงานป้าชุแทนพวกเราๆ “ดูสินั่น อับอายขายขี้หน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“ขอโทษที ตอนส่งลืมไปว่ามันอยู่ไฟล์เดียวกัน ตอนก็อปให้อาจารย์ก็เลยแถมไปให้โดยไม่ได้ตั้งใจ” ป้าชุนั่งห่อตัว แก้ตัวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ทำให้พวกเราจะโกรธก็โกรธไม่ลง
“เฮ้ย! แบงค์ เราเพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายเท้าไฟกับเขาเป็นด้วย นายอยู่วงดนตรีลูกทุ่งวงไหนล่ะ ใช่วงปิยะรัตน์ ศรีกาญจนดิษฐ์อะเปล่า” เจฟอดไม่ได้ที่จะแซวผมแต่กระทบอ้อด้วย
“ไม่พูด ไม่แซว มันจะเป็นอะไรมากไหมเจฟ?” อ้อแขวะเจฟคืน
แน่นอนว่าเหตุการณ์อันแสนอับอายนี้ยังคงเป็นที่โจษจันในสาขาวิทยาการจัดการอีกนานเลย นับจากนั้นมาอ้อก็เป็นที่รู้จักจากเพื่อนๆ มากขึ้นกว่าเดิม หากสิ่งหนึ่งที่เริ่มก่อกวนใจของผมที่เพิ่มเข้าคือเรื่องของเจฟ
จบบท
[1] ที่มา: นายวิชัย ชัยนาคสิงห์ . หลักการจัดการ h**p://www.gotoknow.org/posts/345600
ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมเสื้อดึงคอ ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มปักเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงามันเลื่อม กำลังเดินขึ้นเขาเพราะตรงเชิงเขามีหอพักตั้งอยู่ จู่ๆ ฝนกระหน่ำตกลงมา “แย่จัง” เขาบ่นแล้วรีบวิ่งขึ้นเขา ปี๊นๆ เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังมา ทำให้เขาหยุดดู ใครกันหนอ เห็นหน้าไม่ชัดเลยใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ “ไปกับเรา” เสียงหนุ่มแวนซ์ปริศนาใส่เสื้อโปโลปักตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยสีม่วงจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ข้างทางแล้วคว้ามือเขาวิ่งนำพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องเล็กๆ ปิดตายไว้ “นี่มันอะไรกัน” เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มที่นำพาเขามาที่แห่งนี้ถอดหมวกันน็อคออก ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ถามว่าหน้าตาดีไหมก็ตอบว่าพาไปวัดตอนสายๆ ควงได้ไม่อายพระเณรหรอกหนา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนแต่ผิวพรรณไม่ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำ หน้าตาพิมพ์นี้เรียกว่าหน้าหยก ยังกับดาราฮ่องกง “กูรักมึงนะแบงค์” ห
ปลายเดือนพฤษภาคม... วันที่ผมย้ายเข้าหอพักภายในมหาวิทยาลัยเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส ผู้ที่มาส่งผมก็พี่ชายเจ้าเก่าหน้าเดิม ขับรถมาส่งตามเคย หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ตรงเชิงเขาท่าเพชร ก่อนอื่นผมไปติดต่อรับกุญแจห้องพักที่สำนักงานหอพักตรงหอ 2 เพื่อนๆ นักศึกษาทั้งชายและหญิงที่มีภูมิลำเนาไกลๆ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บรรยากาศบริเวณหอพักทั้ง 5 หอคึกคักคลาคล่ำด้วยผู้คน ผมเซ็นชื่อแล้วรับกุญแจห้อง ผมได้กุญแจห้องหมายเลข 2310 หอพักชายไม่ต้องเดินไปไกล เพราะหอพัก 2 อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักยังเป็นหอพักชายอีกด้วย “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? พี่จะกลับแล้วนะ” พี่นุบอกกับผม หลังจากที่เขาวางตะกร้าใส่เสื้อผ้าของผมลงพื้นในห้อง “ครับ” ผมเดินลงไปส่งพี่นุตรงลานจอดรถ ผมเห็นว่ามีซุ้มขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มของชมรมอาสาพัฒนาตั้งอยู่เลยลองไปประเดิมอุดหนุนสักหน่อย “เอาอะไรดีจ๊ะ” พี่ผู้หญิงผมซอยสั้นเอ่ยทักผม นอกเหนือจากเธอแล้ว ยังมีเพื่อนๆ ของเธออีก 4 คนเป็นผู้ชาย 1 หญิง 3 คน “ชาเขียวรสมะนาวหนึ่งกล่องครับ” “มาใหม่ล่ะซี อยู่สา
“ก้มหน้า... ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้” เสียงขู่ตะคอกยังคงดังต่อเนื่อง ผมตกใจจนตัวสั่นราวกับหมูที่มาถึงโรงเชือดเพียงแค่เห็นประตูทางเข้าก็ตกใจกลัวจนอุจจาระหดตดหายแล้ว “แต่ละคนเข้ามาอยู่นี่ เอาแต่หนุกกับหรอยลูกเดียว ไม่สาไหรเลย เห็นรุ่นพี่ก็ไม่ไหว้ เห็นอาจารย์ก็ไม่ไหว้ ที่แรงหว่านั้นคือเห็นพระรูปพระบิดาก็ไม่แสดงเคารพเจริญแล้ว” พวกปีหนึ่งโดนตำหนิด้วยสำเนียงภาษาท้องถิ่น ทำให้ผมนึกย้อนถึงตนเอง มันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมคงจะต้องปรับปรุงตนเอง เสียงว๊ากโหวกเหวกดังลั่นห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง พอผมนั่งก้มหน้านานเลือดเริ่มไปเลี้ยงสมองไม่ทันผลลัพธ์คือผมเวียนศีรษะ หน้ามืด “แบงค์ไหวมั้ย?” พี่หมอแฟนหนุ่มของพี่กระดิ่งเข้ามาถาม อันที่จริงแล้วพี่แกชื่อต้า แต่เพื่อนๆ แกลงความเห็นกันว่าแก่หน้าตากระเดียดไปทางพิมพ์นิยมของนักศึกษาแพทย์จึงเรียกว่าหมอมาตลอด พอหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว แกตั้งใจจะเรียนหมอนั่นแห
พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สั
ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ
โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ... ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม&nbs
พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สั
“ก้มหน้า... ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้” เสียงขู่ตะคอกยังคงดังต่อเนื่อง ผมตกใจจนตัวสั่นราวกับหมูที่มาถึงโรงเชือดเพียงแค่เห็นประตูทางเข้าก็ตกใจกลัวจนอุจจาระหดตดหายแล้ว “แต่ละคนเข้ามาอยู่นี่ เอาแต่หนุกกับหรอยลูกเดียว ไม่สาไหรเลย เห็นรุ่นพี่ก็ไม่ไหว้ เห็นอาจารย์ก็ไม่ไหว้ ที่แรงหว่านั้นคือเห็นพระรูปพระบิดาก็ไม่แสดงเคารพเจริญแล้ว” พวกปีหนึ่งโดนตำหนิด้วยสำเนียงภาษาท้องถิ่น ทำให้ผมนึกย้อนถึงตนเอง มันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมคงจะต้องปรับปรุงตนเอง เสียงว๊ากโหวกเหวกดังลั่นห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง พอผมนั่งก้มหน้านานเลือดเริ่มไปเลี้ยงสมองไม่ทันผลลัพธ์คือผมเวียนศีรษะ หน้ามืด “แบงค์ไหวมั้ย?” พี่หมอแฟนหนุ่มของพี่กระดิ่งเข้ามาถาม อันที่จริงแล้วพี่แกชื่อต้า แต่เพื่อนๆ แกลงความเห็นกันว่าแก่หน้าตากระเดียดไปทางพิมพ์นิยมของนักศึกษาแพทย์จึงเรียกว่าหมอมาตลอด พอหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว แกตั้งใจจะเรียนหมอนั่นแห
ปลายเดือนพฤษภาคม... วันที่ผมย้ายเข้าหอพักภายในมหาวิทยาลัยเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส ผู้ที่มาส่งผมก็พี่ชายเจ้าเก่าหน้าเดิม ขับรถมาส่งตามเคย หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ตรงเชิงเขาท่าเพชร ก่อนอื่นผมไปติดต่อรับกุญแจห้องพักที่สำนักงานหอพักตรงหอ 2 เพื่อนๆ นักศึกษาทั้งชายและหญิงที่มีภูมิลำเนาไกลๆ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บรรยากาศบริเวณหอพักทั้ง 5 หอคึกคักคลาคล่ำด้วยผู้คน ผมเซ็นชื่อแล้วรับกุญแจห้อง ผมได้กุญแจห้องหมายเลข 2310 หอพักชายไม่ต้องเดินไปไกล เพราะหอพัก 2 อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักยังเป็นหอพักชายอีกด้วย “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? พี่จะกลับแล้วนะ” พี่นุบอกกับผม หลังจากที่เขาวางตะกร้าใส่เสื้อผ้าของผมลงพื้นในห้อง “ครับ” ผมเดินลงไปส่งพี่นุตรงลานจอดรถ ผมเห็นว่ามีซุ้มขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มของชมรมอาสาพัฒนาตั้งอยู่เลยลองไปประเดิมอุดหนุนสักหน่อย “เอาอะไรดีจ๊ะ” พี่ผู้หญิงผมซอยสั้นเอ่ยทักผม นอกเหนือจากเธอแล้ว ยังมีเพื่อนๆ ของเธออีก 4 คนเป็นผู้ชาย 1 หญิง 3 คน “ชาเขียวรสมะนาวหนึ่งกล่องครับ” “มาใหม่ล่ะซี อยู่สา
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมเสื้อดึงคอ ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มปักเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงามันเลื่อม กำลังเดินขึ้นเขาเพราะตรงเชิงเขามีหอพักตั้งอยู่ จู่ๆ ฝนกระหน่ำตกลงมา “แย่จัง” เขาบ่นแล้วรีบวิ่งขึ้นเขา ปี๊นๆ เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังมา ทำให้เขาหยุดดู ใครกันหนอ เห็นหน้าไม่ชัดเลยใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ “ไปกับเรา” เสียงหนุ่มแวนซ์ปริศนาใส่เสื้อโปโลปักตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยสีม่วงจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ข้างทางแล้วคว้ามือเขาวิ่งนำพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องเล็กๆ ปิดตายไว้ “นี่มันอะไรกัน” เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มที่นำพาเขามาที่แห่งนี้ถอดหมวกันน็อคออก ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ถามว่าหน้าตาดีไหมก็ตอบว่าพาไปวัดตอนสายๆ ควงได้ไม่อายพระเณรหรอกหนา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนแต่ผิวพรรณไม่ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำ หน้าตาพิมพ์นี้เรียกว่าหน้าหยก ยังกับดาราฮ่องกง “กูรักมึงนะแบงค์” ห