พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา
ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สักพักแต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้นเลยคาดว่าไม่มีใครอยู่ห้องจึงจะกลับห้องของตนเองเพื่อแต่งชุดนักศึกษา เจฟเปิดประตูออกมาดูอย่างงัวเงีย
“แบงค์เหรอ? เข้ามาก่อนสิ” เขาเอ่ยปากชวน ผมเข้ามาในห้อง พบว่าวิทย์และแม็คกำลังนอนหลับอยู่ “ไปตัดแว่นใหม่มาจำแทบไม่ได้เชียว”
“ก็คนมันมีปัญหาเรื่องสายตานิ ทำไมนอนกันขี้เซาจัง” ผมบ่นแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงเจฟ
“เมื่อคืนเกิดเรื่องใหญ่ โอมสิ่งแวดล้อมตายแล้วนะ” เจฟบอกกับผมแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงเดี่ยวของเขา “พวกเรารอฟังข่าวจนตีสอง มดรูมเมทของแบงค์ไปโรงพยาบาลยังไม่กลับมา”
“เหตุการณ์เป็นยังไงเล่าให้ฟังหน่อย” ผมตกใจเมื่อได้ยินว่ามีเพื่อนเสียชีวิต แม้ไม่ได้อยู่สาขาเดียวกันแต่โอมก็เพื่อนคนหนึ่ง เจฟเล่าให้ฟังว่า พวกสิ่งแวดล้อมและสาขาอื่นๆ กลับมาจากสวนโมกข์ โอมและจี๊ดขี่รถจักรยานยนต์ไปห้างกับเพื่อนอีกคู่หนึ่ง ขาไปไม่เกิดอะไร พอขากลับรถจักยานยนต์ของโอมถูกรถกระบะเสยท้ายลากมาจากสะพานข้ามคลองมะขามเตี้ยไปถึงป้ายบอกทางมหาวิทยาลัย ส่วนจี๊ดได้รับบาดเจ็บสาหัส
“มิน่าล่ะ เราถึงได้ฝันว่า เราเดินขึ้นหอมาถึงชั้นสาม เดินสวนกับผู้ชายไม่มีหัว แต่เราไม่ได้ตกใจกลัวนะ ไม่นึกเลยว่าความฝันนั้นจะเป็นลางบอกเหตุ” เรื่องของโอมกลายเป็นที่น่าสนใจสำหรับผมแทน วันนี้ผมจะมีโอกาสให้ของขวัญวันเกิดแก่เจฟหรือเปล่าหนอ
บรรยากาศที่ตึกเกือกม้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก บอร์ดข่าวสารมีรูปภาพของโอมและคำไว้อาลัย รูปภาพของโอมเป็นรูปที่ถ่ายในวันรับน้องใหญ่ แม้ว่าเนื้อตัวเลอะเทอะแต่ภายใต้ดินโคลนที่ปกปิดอยู่นั้นคือผู้ชายที่หน้าตาผิวพรรณดีคนหนึ่ง น่าเวทนานะ จากบ้านมาไกลมาตายอยู่ต่างถิ่นแบบนี้
การเรียนในวิชา Management Scince เสียเวลาไปกับการเทศนาจากอาจารย์รุ่งไปนานสองนาน อาจารย์ท่านสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดและให้ข้อคิดเตือนสติถึงเรื่องการใช้รถใช้ถนน เมาไม่ขับ สวมหมวกกันน็อค กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรับน้องบางอย่าง เช่น การประชุมเชียร์ถูกยกเลิกไป
“เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม?” เจฟถามผมขณะนั่งจดบรรยายจากอาจารย์รุ่ง
“เอามื้อเที่ยงให้รอดก่อนดีไหม?” ผมตอบโดยที่ไม่ปรายตามองเขาเลย เพราะกำลังจดสรุปบรรยายลงในเอกสารการเรียนที่อาจารย์ให้มา “วันนี้ต้องอยู่หาหนังสือให้ติ๊กและตุ่มเอาไปทำรายงานในวิชานี้ อาจจะอยู่ถึงห้องสมุดปิดเลย”
“จะให้อยู่เป็นเพื่อนด้วยไหม?”
“ไม่ต้องหรอก เอาอย่างนี้นะ เจฟอยู่หอเฉยๆ มีอะไรให้ทำก็ทำไป ถึงเวลาตอน 6 โมงเย็นถ้าหิวก็ไม่ต้องคอยเรา” ผมรู้ดีว่าเจฟพยายามหาเรื่องทวงของขวัญวันเกิดจากผม ผมจึงแกล้งเฉไฉถ่วงไปเรื่อยๆ เจฟทำหน้าเจื่อนๆ เขาคงรู้สึกผิดหวังที่ไม่มีใครใส่ใจกับวันเกิดของเขา
ผ่านการเรียนในช่วงบ่าย ผมขลุกตัวอยู่ในหอบรรณสารสนเทศค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับใช้ทำรายงานและรวมไปถึงหาหนังสืออ่านเล่น จนหอสมุดปิดในยามเย็น ผมจำใจเดินกลับหอตรงทางหลังหอสมุด การเดินเพียงลำพังบนเส้นทางนี้มันน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกระไรเพราะยามโพล้เพล้อากาศขมุกขมัว ถนนฟากซ้ายเป็นป่ายางพาราดำทะมึน ฟากขวาเป็นตึกร้างยังสร้างไม่เสร็จที่มีวัชพืชเลื้อยแผ่ปกคลุมและมีสายสิญจ์ล้อมรอบและผนวกกับการเสียชีวิตของเพื่อนโอมยังคุกรุ่นอยู่เลยไม่มีใครอยู่ข้างนอกหอพักเตร็ดเตร่ตามลำพัง ผมเดินกอดหนังสือจ้ำอ้าวอย่างเร็วแต่ไม่ถึงกับวิ่งมองไปข้างหน้าไม่วอกแวกมองซ้ายหรือขวา จนมาถึงถนนขึ้นเขาท่าเพชร ผมเห็นเจฟยืนดักคอยผมอยู่ ผมดีใจมากๆ แต่ก็ทำเป็นวางฟอร์มพูดประชดประชันว่า
“ไม่มารับตอนเราถึงประตูหอเลยนี่”
“มารับแล้วยังจะพูดมากอีก เรารู้นะว่าแบงค์กลัวผี คนเราเน้อ อุตส่าห์เป็นห่วง มีน้ำใจมารับ แค่พูดว่าขอบใจแล้วโดดขึ้นรถจะเป็นไรไป” เจฟขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์บิดกุญแจรถสตาร์ทเครื่องยนต์
“ขอบใจ” ผมพูดไปแกนๆ แล้วเดินไปวางหนังสือที่ตะกร้ารถ จากนั้นผมก็ขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เจฟห้อรถไปทางออกมหาวิทยาลัย
“หิวมั้ย?” เจฟถามผม
“หิวจะตายอยู่แล้ว หิวจนแทบจะควักไขมันที่อยู่รอบเอวมากินแทนข้าวแล้ว” ผมตอบ เจฟหัวเราะเล็กน้อยกับคำตอบของผม เจฟขับมาถึงประตูเข้าออกมหาวิทยาลัยแล้วจอดรถไว้ตรงข้างถนนริมบาทวิถีตรงหน้าศาลพระภูมิเพราะเจฟคร้านจะแลกบัตรเข้าบัตรออก เราสองคนเดินเดินออกไปที่ร้านหอส้ม เจฟรับกระดาษมาจดรายการอาหาร
“เราเอาสปาเก็ตตี้ไก่สับ” ผมสั่งกับเจฟ เขาจดรายการอาหารแล้วไปเอาแก้วน้ำสองใบตักน้ำแข็งและเดินไปหาที่นั่ง ในวันนี้แถวหน้ามหาวิทยาลัยดูครึกครื้นกว่าปกติ พอเจฟส่งรายการอาหารให้น้าติ๋มเสร็จ เขาก็มาสมทบ
“เออนี่รู้ไหมแบงค์ ชุดนักศึกษาที่เขาใส่ให้โอมไม่ใช่ของโอมนะแต่เป็นของพี่นพ ประมาณว่าชุดนักศึกษาของโอมทั้งหมดส่งซักก็เลยไม่ทันเอาไปใส่ให้ และตอนนี้ห้องของโอม เอมี่ และพี่นพก็ปิดตาย พี่นพกลับไปอยู่บ้าน เวลามาเรียนก็ให้พ่อมาส่ง ส่วนเอมี่ก็ไปเป็นผีสิงที่ห้องบอยการยาง” เจฟอัพเดทความคืบหน้าให้ผมรับรู้ คำว่า ผีสิง เป็นศัพท์แสงของชาวหอ หมายความถึงการที่แต่ละห้องในหอพักมีสมาชิกเกินมาจากรายชื่อเนื่องด้วยนานวันเข้าบางคนอาจจะพบกับเพื่อนที่ถูกใจและคิดว่าการพักผ่อนอยู่กับเพื่อนที่รู้สึกสบายใจเป็นพลังสำคัญที่ทำให้การใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้มีความสุข
“เป็นเรานะ เราก็ไม่อยู่ห้องนั้นหรอก มันคงหลอนๆ พิกลๆ เนอะ” ผมพูดพลางจิบน้ำเย็นดับกระหาย
“แย่จังนะ เพื่อนมาตายในวันเกิด เลยไม่มีใครสนใจเรา ของขวัญสักชิ้นก็ไม่มี” เจฟบ่นน้อยใจอีกแล้ว
“บ่นอะไรหนักหนา เราจัดงานวันเกิดให้เจฟก็แล้วกัน” ผมบอกกับเจฟ เขามีท่าทีดีใจแสดงออกอย่างชัดเจนจากรอยยิ้ม
“ก็ดีนะ ไปกันสองคนไม่เอิกเริก แล้วจะจัดกันที่ไหนดี” เจฟครุ่นคิดถึงสถานที่จัดงานวันเกิดของตนเอง
“ห้องเจฟก็ไม่เหมาะ ทั้งวิทย์ แม็ค เออยู่กันเต็มไปหมด ใต้หอก็ไม่เป็นส่วนตัว นึกออกแล้ว ศาลาจานบินเป็นไง” ผมเสนอสถานที่ แม้ศาลาจานบินเป็นสถานที่ใกล้กันกับหอพักแต่ไม่เห็นมีใครไปสุงสิงวุ่นวายเท่าใดนัก เลยเป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการจัดงานวันเกิด
“ก็ดีนะ กินข้าวเสร็จเลือกซื้อขนม น้ำอัดลมไปกินกันที่นั่น นั่งพูดคุยกันจนน้ำค้างตกแล้วค่อยกลับ ส่วนเรื่องเวลา ถ้าเราไปจัดงานกันหลังจากกินข้าวเสร็จคงจะไม่ไหว อาบน้ำอาบท่าเสร็จพักผ่อนส่วนตัวจนเวลา 3 ทุ่มมาเจอกันที่ศาลาจานบิน” เจฟเลือกเวลาที่คิดว่าเหมาะสมมากที่สุด
“ได้เลย” ผมรับคำ จากนั้นเรารับประทานอาหารมื้อเย็นจนหมด กลับหอแยกย้ายสู่ห้องพักของตนเอง
... ... ...
ผมออกมาจากหอก่อนเวลาสามทุ่ม ผมเตรียมขนม เครื่องดื่มชาเขียว เทียนไขและไฟแช็กใส่ถุงพลาสติกใบโต สิ่งที่ขาดไม่ได้คือตุ๊กตาหมีสีฟ้า ผมออกจากห้องพักสังเกตว่าวันนี้บรรยากาศในหอเงียบๆ ไม่มีการวุ่นวายสุงสิง มีเพียงเสียงเพลง ละคร เกมสารพันสิ่งบันเทิงเล็ดลอดออกมาเบาๆ ข้างล่างหอก็ไม่มีใคร มองไปทางหออื่นๆ อย่างหอ 4 3 2 และหอวิจัยเงียบเชียบราวกับไร้ผู้คน ร้านค้าชมรมอาสาไม่ได้เปิดขาย กิจกรรมประชุมเชียร์ กิจกรรมล่าลายเซ็นงด ผมเดินเงียบๆ ไปตามถนนหลังหอ 3 รอบๆ กายผมมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟ ต้นไม้ใบหญ้า ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเพื่อน ผมเดินมาถึงศาลาจานบินหลังคาสีฟ้าอย่างปลอดภัย ผมก้าวขึ้นบันไดไปข้างบน บนศาลาจานบินเป็นลานโล่งสามารถชมทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง หอทุกหอตามไฟไว้ดูงามแข่งกับดาวเสา(ไฟจากเสารับส่งสัญญาณโทรทัศน์บนยอดเขาท่าเพชร) และดวงดาวบนท้องฟ้าสีดำ ผมจัดขนม เครื่องดื่มชาเขียวและจุดเทียนลงกลางพื้นซึ่งไล่ความมืดไปได้น้อยนิด มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดขึ้นมา ผมหยุดการกระทำทุกอย่างนิ่งเงียบลุ้นว่าใครขึ้นมา โล่งอกไปทีเจฟขึ้นมา เขาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงใส่เสื้อยืดสีน้ำตาลกางเกงขาสั้นสีดำเหมือนเมื่อช่วงเย็น
“Happy Birthday to you สุขสันต์วันเกิดนะเจฟ” ผมยื่นตุ๊กตาหมีสีฟ้าให้เขาพร้อมกับคำอวยพร
“น่ารักมาก ขอบใจมากนะ” เจฟรับของขวัญวันเกิดและแสดงความดีใจ เราสองคนกินดื่มกันแม้จะเป็นปาร์ตี้ที่ไร้แอลกอฮอล์และมีเพียงแค่สองคนก็สามารถสนุกได้ เจฟและผมพูดคุยกันถึงความชอบและไม่ชอบของแต่ละคน
“ดาวสวยมากเลยนะ ดูดาวกันดีกว่า” ผมเริ่มเบื่อกับการซักถามเรื่องส่วนตัวจึงหาเรื่องอื่นๆ มาทำ
“ใช่ สวยมากเลย” เจฟมองหน้าผมแล้วเบือนหน้าไปมองท้องฟ้าข้างนอก เป็นจังหวะเดียวกันที่มีดาวดวงหนึ่งตกลงจากท้องฟ้า ผมเอามือประสานไว้ระหว่างอกหลับตาอธิษฐาน
“ขอให้มีใครสักคนรักเราจริงๆ” ผมอธิษฐานแล้วลืมตาขึ้นมา
“อธิษฐานว่าอะไร?” เจฟถามผม
“ขอให้โลกสงบสุข” ผมตอบไม่จริงเหมือนอย่างโฆษณาตอนเด็กๆ เหตุผลที่ผมต้องบอกไปแบบปดๆ แตกต่างจากในโฆษณาที่หญิงสาวอธิษฐานให้คนที่เธอรักขอเธอแต่งงาน
“เว่อร์แล้ว เออนี่แบงค์ เราเพิ่งนึกได้ ที่เคยบอกว่าแบงค์มีความรัก มันเป็นยังไงเหรอ?” จู่ๆ เจฟนึกถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ผมจะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย
“เรื่องของเรามันไม่สมควรพูดในบรรยากาศที่ดีแบบนี้หรอก” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เล่าเรื่องของผม
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ” เจฟไม่ละความพยายาม ผมเองก็ยังใจแข็งไม่ปริปากนั่งเงียบมองดูดวงดาว “ไม่คิดจะบอกจริงๆ เหรอ?”
“มีเหตุผลอะไรล่ะ ที่อยากจะรู้เรื่องนี้”
“เป็นเพื่อนกันมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เจฟพูดมา ทำให้ผมนึกถึงภายนตร์จีนองค์หญิงกำมะลอซึ่งผมเคยดูเมื่อครั้งสมัยมัธยมศึกษาตอนต้น
“ความรักของเรามันไม่เคยสมหวัง การรักใครสักคนมันเป็นสิ่งสวยงามสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเราแล้วจบลงด้วยความเสียใจทุกที” ด้วยอะไรบางอย่างอาจจะเป็นคำพูดของเจฟที่หยิบยืมมาจากภายนตร์จีน บรรยากาศที่งดงามมีแสงดาวพร่างพราย ลมเย็นโชยพลิ้วเป็นระลอกๆ ผมเริ่มเปิดใจเล่าความในใจให้เจฟรับรู้แล้ว “ชายรักชายคือความผิดบาปแห่งมวลมนุษยชาติใช่ไหม?”
“แบงค์เป็นเกย์เหรอ?” เจฟโพล่งออกมาเสียดังชนิดที่ว่าหากมีใครอยู่บริเวณนี้ต้องหันมามองแล้วรู้ความเป็นไปของผมหมดแล้ว
“ใช่แล้วจะทำไม? รังเกียจเรารึ ถ้ารังเกียจเราเดินกลับหอไปเลย โน่นทางลงจะลงทางลาดหรือทางบันไดแล้วแต่เจฟเลย” ผมวีนใส่เจฟทั้งๆ ที่ไม่ควรจะทำเลย หากเขาจะไม่คบค้าสมาคมกับผมต่อไป ผมก็คงจะต้องทำใจ
“เดี๋ยวๆๆ คิดไปไกลแล้วแบงค์ เราไม่ได้รังเกียจอะไรเลย แบงค์จะเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ แบงค์ก็เป็นเพื่อนเรา การเป็นเกย์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร บางทีการที่แบงค์ไม่สมหวังในเรื่องความรักเมื่ออดีตที่ผ่านมา อนาคตข้างหน้าอาจจะสมหวังกับใครสักคนหนึ่งก็เป็นไปได้” เจฟตอบคำถามได้กระจ่างใจของผมและเพิ่มความหวังในรักครั้งใหม่ที่ผมมีอยู่ “ชักจะง่วงแล้วสิ ขอนอนเล่นก่อนนะ” เขาล้มตัวลงนอนกับพื้นศาลาจานบิน เอามือประสานไว้ท้ายทอยเป็นหมอนต่างหนุน
ผมมองทิวทัศน์ข้างนอกศาลา เมฆดำเริ่มแผ่ปกท้องฟ้าอย่างช้าๆ ลมพัดปลิวไสว จนอากาศที่เย็นสบายแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสะท้านจนผมต้องสวมเสื้อแจ๊คเก็ตที่ใส่มาตอนเดินมาที่นี่ มันช่วยบรรเทาความหนาวสะท้านได้ระดับหนึ่ง ในอีกไม่ช้าฝนจะตก ผมจะปลุกเจฟให้ตื่นแต่ก็ยั้งไว้เพราะไม่อยากจะรบกวนการพักผ่อนของเขา ผมนึกถึงเรื่องพี่ตง สิ่งที่ผมเป็นอยู่การได้รักพี่เขาโดยไม่บอกให้เขารับรู้มันดีแล้วหรือ? ถ้าผมบอกรักพี่ตงไป ผลลัพธ์ที่ได้คือความเฉยชา ชิงชังเหมือนความรักที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า
เสียงหยาดฝนตกกระทบหลังคาศาลาจานบินดังเปาะแปะจากช้าๆ แปรเปลี่ยนเป็นถี่ยิบๆ มองออกไปเบื้องหน้าฝนเทกระหน่ำลง ทั่วอาณาบริเวณชุ่มฉ่ำน้ำฝน
“เจฟตื่นเถอะ ฝนตกแล้ว” ผมต้องปลุกเขาเพื่อหารือวิธีการกลับหอ
“ฝนตกแล้วเหรอ?” เจฟตื่นขึ้นแล้วมองไปรอบๆ “เอาไงดีล่ะ ไม่ได้พกร่มมาด้วย จะรอไหม”
“ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะหยุดตก คงจะต้องยอมเปียกแล้วล่ะ” ผมไม่คิดจะรอคอยให้ฝนหยุดตก เวลาในนาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ แล้ว
“แบงค์... เราคิดว่าแบงค์ต้องเสียสละอะไรบางอย่างแล้วล่ะ” เจฟบอกกับผมด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“เสียสละอะไร?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เป็นจังหวะเดียวกันที่เขายื่นมือมาจับเสื้อแจ็คเก็ตของผม แล้วบอกว่า“ต้องใช้เสื้อตัวนี้แทนร่มแล้วล่ะ อาจจะเปียกบ้างอะไรบ้างแต่ก็ไม่เปียกโชก เราสองคนวิ่งจากศาลาไปที่หอ 3 จากหอ 3 ไปหอ 5 เข้าใจยัง”
ผมพยักหน้ารับคำ เก็บข้าวของแล้วลุกเดินไปยังทางลาดพร้อมกันกับเจฟ เขากางเสื้อแจ็คเก็ตขปกคลุมศีรษะของเราสองคนไว้สุดแขนของเขา เจฟให้สัญญาณ 1 2 3 แล้ววิ่ง ด้วยความที่เขาตัวเตี้ยกว่าผมขณะที่วิ่งลมหายใจอุ่นๆ มารดตรงต้นคอเขาทำให้ความเย็นสะท้านเบาลงบ้าง เราสองคนวิ่งจนมาถึงชายคาหอ 3 ผมและเขาลัดเลาะไปตามชายคาแห่งนั้นจนสุดชายคา เงยหน้าไปมอง หอ 5 อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว
“พร้อมยัง?” เจฟถามผมแล้วกางเสื้อแจ็คเก็ต พร้อมที่จะฝ่าฝนอีกหนแล้ว
“พร้อมแล้ว”
“ไป” สิ้นเสียงของเจฟ ผมและเขาไต่เนินขึ้นทางเข้าหอ 5 ด้วยความซุ่มซ่ามของผม ผมสะดุดกับขอบปูนทางเข้าหอจึงเซถลาจวนล้ม ผมคว้าตัวเจฟเอาไว้ ไม่ทันการแล้วเราสองคนล้มลง เจฟนอนหงายลงบนพื้น ผมถลาทับร่างเขา บังเอิญอีกที่ปากของผมไปชนกับแก้มของเขาอย่างจัง ผมเห็นเขาทำตาลุกวาว ผมเอามือมาป้องปากตนเองไว้แล้วเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขา
“โอ๊ย! แบงค์จะทับเราอีกนานไหม มันหนักเหมือนโดนรถสิบล้อทับหายใจไม่ออก” เจฟครวญคราง ผมได้สติจึงรีบถอนตัวลุกขึ้นจากร่างเจฟ
“ขอโทษ...”
“ดูสิ ข้าวของเปียกหมดแล้วโดยเฉพาะตุ๊กตาหมีน่าเสียดายอ่ะ” เจฟลุกขึ้นแล้วเก็บตุ๊กตาหมีที่หล่นลงพื้นเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน
“เปียกก็เอาไปตากได้ ไม่มีปัญหาหรอก” ผมบอกกับเจฟแล้วเดินฝ่าฝนเข้าหอไป โดยที่มีเจฟเดินไล่หลังมา ผมมองเจฟแล้วหัวเราะกับสภาพของเขาที่ผมเห็น
“หัวเราะอะไร?” เจฟถามด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด
เจฟเหมือนลูกหมาตกน้ำ เราเลยอดขำไม่ได้”
“อ่านะ แล้วใครกันล่ะที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าเราเป็นลูกหมาตกน้ำ แบงค์ก็เป็นลูกหมูตกน้ำเหมือนกันแหละ” เจฟชวนผมเข้าเรือนหอเอ๊ย! หอพัก เราสองล่ำลากันแล้วแยกย้ายสู่ห้องพักของตนเอง พอกลับเข้าห้อง รับประทานยาแก้หวัดนอนหลับสบายเพราะมีเสียงสายฝนขับกล่อมแทนดนตรี
ใช่ว่าพวกเราชาววจก. จะสบายตัวเนื่องจากการงดประชุมเชียร์ พี่แป๊ะยังคงทรมานพวกเราเวลาเย็นของทุกๆ วัน ทุกๆ เย็น ผมและเพื่อนๆ ยังคงมีหน้าที่สืบหาประวัติและล่าลายเซ็นรุ่นพี่ แต่ผมวนเวียนอยู่ตรงซุ้มร้านค้าชมรมอาสา เจอพี่ตงบ้างไม่เจอบ้างแล้วแต่อารมณ์ของพี่เขา ผมพูดคุยสัพเพเหระในเรื่องกลับพวกพี่เบลล์ ผมสถาปนากลุ่มสี่สาวเรียกว่า ชี-ทั้งสี่ อย่าเข้าใจว่า พวกเธอเป็นพวกเคร่งธรรมะ ชีของผมคือ สรรพนามใช้เรียกผู้หญิงในภาษาอังกฤษ
ตั๊บแก... ตั๊บแก... ตั๊บแก...
เสียงร้องของตุ๊กแกดังลั่นไปทั่วลานจอดรถหน้าหอ 2 ผมหยุดคุยและมองหน้าเพื่อนๆ ที่ร่วมสาขาเดียวกัน ทุกคนหน้าถอดสี อยู่ที่นี่มาทำให้ผมเริ่มเชื่อเรื่องโชคลางหนักกว่าเดิม ตุ๊กแกมันร้องเสมือนสัญญาณว่าการกลั่นแกล้งจากพี่แป๊ะและผองพี่สาขาจะเริ่มต้นอีกไม่ช้า มันเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน สักครู่ พี่แป๊ะห้อรถจักรยานยนต์มามีพี่ตู่ซ้อนท้ายมาด้วย
“ปี 1 วจก. ไปรวมกันตรงลานหอวิจัยเร็ว ใครไปช้าโดนจัดเต็ม” ทันทีที่พี่แป๊ะจอดรถจักรยานยนต์ เขาตะโกนออกคำสั่งซะลั่นทั่วทั้งบริเวณหอพัก ผมเลิกภารกิจเมาท์มอยขึ้นไปลานหอวิจัย เข้าแถวร่วมกับเพื่อนๆ
“เอาล่ะวันนี้ไม่มีอะไรมาก แค่พี่คิดถึงน้องๆ ถ้าพี่ไม่ได้ขึ้นมาแกล้งน้องๆ คงจะนอนไม่หลับ เอาทุกคนแบกโลกกันหน่อยเร็ว” พี่แป๊ะสั่ง แบกโลกคือ การกางแขนออก หงายฝ่ามือ แหงนหน้ามองท้องฟ้า ช่วงแรกๆ ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อทำท่านี้ค้างไว้นานๆ เกิดอาการเมื่อยขบทรมานที่สุด
ผมมองท้องฟ้า มโนอย่างแรงกล้าว่าตนเองมีความสุขเสมือนกำลังชมดาวอยู่บนศาลาจานบินในคืนวันเกิดของเจฟเพื่อลืมความทรมานทั้งหมด
“ไหวไหมแบงค์?” เจฟเที่ยืนแบกโลกใกล้ๆ ผมถามเพราะความเป็นห่วง
“ไหวอยู่” ผมตอบสั้นๆ
“เอาล่ะพอเท่านี้ มานั่งลงกันให้เป็นระเบียบ” พี่แป๊ะยกเลิกคำสั่งแบกโลก “มีเรื่องจะพูดนิดหน่อย วันที่ 11 กรกฎาคมมีกิจกรรมทั้งวันเป็นวันสุดท้ายของการรับน้อง เช้าจนถึงเที่ยงมีพิธีการทำบุญเลี้ยงพระที่หอวิจัย น้องๆ คนไหนสนใจเข้าร่วมได้ ส่วนช่วงมีงานเฟรชชี่ไนท์ น้องๆ ทุกคนต้องเข้าร่วมงาน ธีมงานเป็นแฟนซี น้องๆ ควรจะหาเสื้อผ้าใส่ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้แล้ว และที่สำคัญ ปี 1 ทุกสาขาต้องทำโชว์ขึ้นมา 1 โชว์ พี่ไม่ได้กดดันนะ ปีที่แล้วพวกพี่ทำโชว์ออกมาดีมากๆ พี่ไม่คาดหวังว่าน้องๆ ทำโชว์ได้ดีกว่าพวกพี่ แต่ถ้าได้ก็ดี”
พี่แป๊ะทิ้งระเบิดลูกโตไว้ก่อนสั่งสลายตัว ภารกิจนี้กลายเป็นสิ่งท้าทายทุกๆ คน ผมเชื่อว่าความรักและความสามัคคีจะทำให้พวกเราทั้งหมดผ่านพ้นภารกิจไปได้ หลังจากนั้นมามีการระดมสมอง สรรหาความคิดในการแสดงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
... ... ...
โอมจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป ชีวิตทุกชีวิตในมหาวิทยาลัยต้องเดินหน้าต่อไป การประชุมเชียร์นัดสุดท้ายผ่านไปอย่างแสบสรรเพราะเพื่อนๆ และผมลืมในสิ่งที่พี่ไซโคสั่งกันมา ผมมีคนป่วยเป็นเพื่อนเพียบเลยเพราะเป็นครั้งสุดท้าย พวกปีหนึ่งจึงถูกว้ากเป็นชุดใหญ่ จนการว้ากจบลงถึงเวลาเฉลยพี่ไซโค พวกพี่ๆ ที่พวกเราคิดเป็นยักษ์เป็นมารถอดหน้ากากพี่ไซโคออกเปลี่ยนเสื้อสีดำเป็นสีขาวแนะนำตัวเป็นรายๆ เมื่อรุ่นพี่เหล่านี้สลัดคราบพี่ไซโคหมด พวกเขาก็ดูเหมือนคนธรรมดาไม่ด่าใคร ไม่แหกปากตะคอกใส่ใครๆ
โค้งสุดท้ายของกิจกรรมรับน้องมาถึง ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานเฟรชชี่ไนท์ที่จะจัดในวันที่ 11 กรกฎาคม พวกเราสาขาวจก. โดนกดดันหนักจากรุ่นพี่โดยเฉพาะจากพี่แป๊ะ เนื่องด้วยปีที่แล้วจัดการแสดงไว้ได้ดีจนได้รับคำชมเชย เจฟและทุกๆ คนระดมความคิด จนได้การแสดงหนึ่งชุด ในชุดการแสดงนี้ประกอบด้วยการเดินแฟชั่นโชว์ในธีมปล่อยผีให้เป็นอิสระ เป็นการจับเพื่อนๆ ในสาขาแต่งตัวเป็นผีประเภทมาเดินบนเวทีเสมือนเดินแฟชั่นโชว์บนแคทวอล์ค ผมก็มีส่วนร่วมแสดงในการแสดงส่วนนี้โดยเป็นแดร็กคูล่าที่ไม่พิศมัยเลือดสาวๆ แต่โปรดเลือดของชายหนุ่มตามที่เจฟสั่งมา(พอผมเปิดตัวเอง มันก็เล่นงานผมซะ) การแสดงลำดับที่สองเป็นการเต้นรีวิวประกอบเพลงตุ๊กตาบาร์บี้ แสดงโดยกลุ่มสาวสวย เช่น บี จิ้มลิ้ม เป็นต้น พวกผู้ชายฉกรรจ์ของสาขาไม่ยอมน้อยหน้าแสดงลำดับที่สามโดยการเต้นรีวิวประกอบเพลงรด. แดนซ์ของวงพาราด็อกซ์นำทีมการแสดงด้วยก้ามปู เอ็ม ชาย เป็นต้น และสุดท้ายเอมี่แสดงลิปซิงค์เพลงสุดท้าย การแสดงชุดนี้มีนัยมีอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก สาขาวิทยาการจัดการของเราสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ยอมรับเพศสภาพที่ต่างกันไม่แบ่งแยกรวมกันเป็นหนึ่ง ประการที่สอง เอมี่ประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าเอมี่คือคุณนายของประธานสาขา พอกำหนดการแสดงแล้ว พวกเราก็ซ้อมกันอย่างหนัก ไม่ให้หลุดคิว ไม่ให้พลาด
วันที่ 11 กรกฎาคมมาถึง เช้าถึงเที่ยงมีกิจกรรมทำบุญหอพักเลี้ยงพระเพลเพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจให้พวกเราชาวหอทั้งหมด รวมไปถึงเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับโอม เจ้าที่เจ้าทางสัมภเวสีที่อยู่ในอาณาบริเวณมหาวิทยาลัย สถานที่จัดทำพิธีอยู่ที่หอวิจัย พอบ่ายพวกปีหนึ่งก็ซุ่มแต่งตัวบ้าง เตรียมความพร้อมในการแสดงบ้างอะไรบ้าง ธีมงานเฟรชชี่ไนท์เป็นธีมแฟนซีไนท์ ผมและเพื่อนๆ มาถึงหอประชุม เห็นความจัดเต็มชุดแฟนซีของแต่ละคนทำให้ชุดแดร็กคูล่าของผมดูธรรมดาลงไปทีเดียว ช่างเถอะนะ แม้ว่าจะไม่ได้รางวัลชุดแฟนซียอมเยี่ยมไปครองแต่ผมก็มีบัตรเข้างานไปนั่งกินโต๊ะจีนเลิศรสก็แล้วกัน ภายในหอประชุมที่กว้างขวางดูแคบลงไปถนัดตาเหมือนอย่างวันไหว้ครูที่ผ่านมา พี่แอนและพี่เอ๋รับหน้าที่พิธีกรเหมือนเคย
“ก่อนที่จะไปชมการแสดงจากน้องๆ สาขาต่างๆ มีการมอบรางวัลที่ได้จากผลการโหวตทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง เริ่มจากรางวัลอะไรดีคะพี่เอ๋” พี่แอนกล่าวชงไปยังพี่เอ๋
“รางวัลนี้เลยค่ะพี่แอน รางวัลเทพีสันติภาพซึ่งเป็นรางวัลที่ไม่ได้เปิดโหวตนะคะแต่เป็นรางวัลที่ทางกรรมการคัดเลือกโดยใช้หลักเกณฑ์ความเหมือนจากรุ่นสู่รุ่น รางวัลนี้คือรางวัลเทพีเสรีภาพ ผู้ที่ได้รับรางวัลคือ... “ เสียงดนตรีในจังหวะฮึกเหิมดังคั่นการประกาศรางวัล “น้องว่านสาขาวจก. ค่ะ”
ภาพในจอผ้าใบฉายรูปเทพีเสรีภาพที่ตัดต่อใบหน้าของว่านแทนที่ “โอกาสนี้ ขอเชิญพี่ชมพู่ สาขาวิทยาการจัดการชั้นปี 2 มอบรางวัลด้วยค่ะ” พี่แอนประกาศ พี่ชมพู่ขึ้นเวทีมอบรางวัลเป็นถ้วยรางพร้อมรองเท้าแตะขนาดใหญ่ที่สุดให้แก่ว่าน
“แบงค์ช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วยนะว่าเตรียมแสตนด์บายหลังเวที” เจฟสั่งมา ผมกระจายคำสั่งเสร็จพักความสำเริงสำราญในการรับประทานอาหารออกจากห้องประชุมไปยังทางเดินข้างๆ แล้วเข้าสู่หลังเวที ทีมงานแสดงพร้อมแล้วที่จะแสดงตามที่ซักซ้อมมาทั้งหมด
“ค่ะ การมอบรางวัลก็เสร็จสิ้นลง นับจากนี้ไปทางน้องๆ สาขาวิชาวิทยาการจัดการชั้นปีที่ 1 มีการแสดงสวยๆ มาให้ทุกๆ คนชม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญชมได้เลยค่ะ” พี่แอนกล่าวเปิดการแสดง ปอนด์ทำหน้าที่เปิดเพลงเริ่มทำงาน การแสดงเริ่มต้นด้วยการพาเหรดผีๆ จนจบด้วยพวกผู้ชายที่แสดงในส่วนรด. แดนซ์แบกร่างเอมี่ตรงกลางเวทีเข้าสู่หลังเวทีเพื่อไปทิ้ง ผู้ชมที่อยู่ดูมีความสุข สำหรับผมและเพื่อนๆ โล่งอกและหายเหนื่อยแล้ว การแสดงของสาขาอื่นๆ ผ่านพ้นไป ตบท้ายด้วยการแสดงดนตรีจากชมรมดนตรี ตามหมายกำหนดการเดิมแล้วจะมีกิจกรรมประกวดและเดือนมหาวิทยาลัย ทางองค์การบริหารนักศึกษามีมติให้งดกิจกรรมส่วนนี้ ให้มอบรางวัลแก่โอมและจี๊ด พวกๆ เพื่อนสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อมขึ้นเวทีอีกรอบ เจนเป็นตัวแทนกล่าวคำไว้อาลัยแก่โอมผู้จากไป
“อยากให้โอมรับรู้ ความเจ็บปวดที่โอมได้รับ พวกเราก็เจ็บปวดเช่นเดียวกัน ไปดีนะเพื่อนเอ๋ย ลืมความเจ็บปวดนั้น ไปสู่โลกใบใหม่ แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เห็นตัวตนของโอมแล้ว แต่โอมยังมีตัวตนอยู่ในใจของทุกๆ คน”
ความเป็นจริงวันนี้แม้ทำให้เราต้องปวดใจ แต่ฉันไม่ลืมภาพเธอได้เลย...
เพลงๆ นี้เป็นตัวแทนความรู้สึกที่ทุกคนมอบให้กับโอม เพื่อนคนนี้ไม่เคยตายไปจากใจพวกเรา ผมและคนอื่นๆ ช่วยกันร้องเพลงคลอไป การสูญเสียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การสูญเสียทำให้เรารู้ว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง อย่างการสูญเสียโอมและจี๊ดทำให้พวกเรารู้ว่ามิตรภาพและความผูกพันมันสร้างขึ้นมาไม่ง่ายดายหากเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมหยั่งรากลึกลงไปในหัวจิตหัวใจ
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรมเฟรชชี่ไนท์อันสนุกสนานทั้งหมดทั้งมวล ทุกคนเริ่มระแคะระคายถึงความไม่ปกติคือ การที่พวกรุ่นพี่แอบหนีกลับกันหมดจนไม่เหลือ ไฟในหอประชุมทยอยดับลงจนมืดตื้อ พออยู่ในความมืดนี่มันบรรยากาศเดียวกันกับประชุมเชียร์ ดั่งคำกล่าวที่ว่า นึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา พี่ไซโคใส่เสื้อดำกลับมาอีกแล้ว พวกเขากลับมาพร้อมกับการว้ากดุด่าเอ็ดตะโรเช่นเดิม เมื่อพวกพี่เขาว้ากจนพอใจแล้ว สั่งให้พวกเราทั้งหมดเดินแถวไปสู่ตึกเกือกม้า ตลอดทางถนนไร้ซึ่งแสงไฟ พวกปีหนึ่งเดินคลำทางตามคำสั่งพี่ไซโค จนถึงตึกเกือกม้า ห้องโถงเหนือโรงอาหารมีแสงเรื่อเรืองจากเทียนไข พี่ไซโคสั่งให้พวกปีหนึ่งทั้งหมดยืนแถวคอยในสนามหญ้าหน้าตึก ข้างบนที่แสงเทียนนั้นมีเสียงร้องเพลงประสานเสียงแว่วๆ มา
โอ้เจ้าน้องเอ๋ย พี่นี้ขอชื่นเชยจะมิเลยแรมไกล
รักเจ้าดั่งดวงใจมิคลายหน่ายหนา (ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา)
พี่จะรับขวัญเจ้าเข้ามาเป็นขวัญจิต
จะรักดั่งชีวิตใจคิดกรุณา (ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลาลา)
ขอจงหายโศก พ้นภัยหายโรคให้มีโชคนะน้องยา (ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา ลา)
จะเอาด้ายยาว ขาวบริสุทธิ์ (ลา ลา ลา ลา ลา ลา)
พัน มัดผูกไว้ที่ข้อมือของเจ้า (ลา ลา ลา ลา ลา ลา)
เหมือนดั่งใจพี่ผูกพันเจ้าไว้ ไม่หน่ายหนี เอ่ยเออ เออ เอ๋ย ใจผูกพัน...
พวกพี่ไซโคสั่งให้พวกปีหนึ่งทยอยขึ้นสู่ชั้นบน ข้างบนนั้นมีทั้งคณาจารย์และรุ่นพี่นั่งล้อมรอบกระทงบายศรีปากชามอยู่ แต่ละคนมีมีเทียนไขส่องสว่างและสายสิญจน์ วางไว้ตรงหน้า นี่คือพิธีบายศรีสู่ขวัญนั่นเอง
“พิธีกรรมบายศรีสู่ขวัญนี้เป็นพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาแต่อย่างใด หากเป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นจากความรักและความปรารถนาดีจากคณาจารย์และรุ่นพี่” เสียงนุ่มๆ ของรุ่นพี่ผู้หญิงบอกกล่าวถึงพิธีการนี้ ผมและเพิ่อนๆ ถูกจัดให้นั่งบนเสื่อเป็นแถวๆ ทุกอย่างพร้อมแล้ว เพื่อนๆ ที่อยู่แถวหน้าเดินเข่าไปให้อาจารย์ผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือและรับคำอวยพร ผมควาญหาพี่เบลล์เจอจึงให้เธอผูกสายสิญจน์ให้
“แบงค์จำวันที่พี่กับเธอพบกันครั้งแรกได้ไหม นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นแห่งความทรงจำ แกเป็นน้องที่ดีและจะเป็นตลอดไป” นี่คือคำอวยพรจากใจพี่เบลล์ หากแสงไฟจากตรงนี้สว่างมากพอ คงจะเห็นดวงตาที่รื้นเต็มด้วยน้ำตา ผมให้รุ่นพี่คนอื่นๆ ผูกสายสิญจน์แต่ไม่พบกับพี่ตงซักที จนกิจกรรมเลิกผมมาเจอกับพี่ตงที่ข้างล่าง แม้จะไม่เหลือสายสิญจน์แล้ว ผมยังคะยั้นคะยอให้พี่เขาพูดอวยพรให้ผม
“ขอให้แบงค์มีความสุข” คำอวยพรสั้นๆ ที่จากปากพี่เขาทำให้ผมรู้สึกมีความสุขจริงๆ ผมจะโลภมากไปไหมหากเปลี่ยนคำว่ามีความสุขให้เป็นคำว่ารัก...
กลับมาถึงห้องพัก ผมหลับเป็นตายและฝันไปว่า...
ผมรีบเดินสาวเท้ากลับหอพักหลังจากการเรียนในวันนี้จบลง ในเส้นทางเดิมๆ ที่น่าเบื่อหน่าย เหตุให้ต้องรีบไม่ใข่เพราะต้องผ่านตึกร้างแต่เมฆฝนครึ้มมาพร้อมที่จะเทลงมาให้ผมเปียกปอนได้ตลอดเวลา และแล้วฝนร้องไห้อำลาฟากฟ้า ผมเปลี่ยนจากการรีบเดินเป็นการวิ่งขึ้นเนินเขา ผมไปแวะหยุดหลบฝนที่ศาลาจานบิน ยืนมองฟ้ามองสายฝนว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกเสียที ไม่นานนักผมเห็นพี่ตงขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจแหวกทะยานสายฝนขึ้นมาเนินเขา ผมแอบลุ้นว่าและเดาว่าเขาจะแวะหรือผ่านเลยไป อำนาจแห่งการจ้องมองคงจะแผ่รังสีไปถึงพี่เขา พี่ตงแหงนหน้าขึ้นมามองบนศาลาจานบิน พี่เขาเห็นผมจึงหยุดแวะที่ศาลาจานบิน
“มาหลบฝนหรือครับพี่ตง?” ผมถามทันทีที่เขาวิ่งขึ้นมาชั้นบน
“อืม”
“แล้วจะไปไหนครับ?”
“ไปธุระกับเบลล์ แต่ว่าไม่ใช่ธุระอะไรสำคัญนักหรอก” พี่ตงตอบ เขาล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ดูสิเปียกหมดเลย น่าเบื่อจัง”
“หมายถึงอะไรครับที่น่าเบื่อ สภาพอากาศ บุหรี่ที่เปียกน้ำ หรือว่าผม”
“บุหรี่ที่เปียกอ่ะดิ” พี่มองสายฝนพรำด้วยสายตาเหงาๆ เศร้า สายตาคู่นั้นเขามองหาใครอยู่หรือเปล่า พี่ตงคิดจะมีใคร คิดจะใครบ้างหรือเปล่า และคนนั้นที่พี่ตงอยากจะมีเป็นผมได้ไหมครับ มองมาที่ผมสิพี่ ผมมีอะไรจะบอก มีอะไรจะถาม พี่จะให้คำตอบได้ไหม “พี่ไม่เคยเบื่อแบงค์หรอก“
คำขอของพี่ตงทำให้ผมนิ่งค้างราวกับถูกสตาฟฟ์ไว้ นี่ผมได้รับคำตอบจากพี่ตงแล้วหรือนี่ ผมพูดอะไรไม่ออก พี่ตงรุกเข้ามาใกล้ ความเร่าร้อนจากในใจของผมขับไล่ความหนาวเย็นกายไปไหนกันหนอ
“ที่พี่บอกว่ามาธุระกับเบลล์ ความจริงแล้วพี่จะมาปรึกษากับมันว่าจะทำอย่างไรกับความรักของพี่ ตัวพี่เองไม่เคยรักผู้ชายมาก่อน” พี่ตงบอก
“ผมก็รักพี่ตงนะ รักตั้งแต่แรกเห็นตรงซุ้มร้านค้าชมรมอาสาฯ แล้ว แต่คนอย่างผม หน้าตาแบบนี้ หุ่นแบบนี้ พี่จะรักผมจริงหรือครับ”
พี่ตงเอาฝ่ามือข้างขวาของตนทาบหน้าอกตรงหัวใจของเขา แล้วใช้มือข้างเดียวกันมาทาบหัวใจของผม “พี่ใช้ใจรักแบงค์ เรื่องอื่นๆ ไม่สำคัญเลยสักนิดเดียว ฝนหยุดตกแล้ว พี่ไปส่งเราที่หอนะ”
พี่ตงขี่รถจักรยานยนต์มาส่งผม ไอฝนทำให้ทั้งผมและพี่เขารู้สึกหนาว แต่พี่ตงคงจะหนาวกว่าเพราะเขาสวมเสื้อโปโลสีม่วงดอกศรีตรังปักตรามหาวิทยาลัยตรงหน้าอกซ้ายในตอนนี้เปียกชื้นไปหมดแล้วเพียงแค่ ส่วนผมไม่ค่อยเปียกเพราะสวมเสื้อ 2 ขั้นคือ เสื้อนักศึกษาชั้นนอกกับเสื้อกล้ามชั้นใน
“พี่หนาว แบงค์กอดพี่หน่อยสิ”
“จะดีเหรอพี่? ผมอายนะ”
“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว จะไปอายอะไรอีกล่ะ” พี่ตงพูด มือข้างซ้ายของเขาจับแขนของมาโอบกอดหน้าท้องที่แบนราบของเขา ผมเอาหัวซบแผ่นหลังของเขา พี่ตงนำพาผมมาถึงหอพัก
“พี่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไหม? พี่กลัวว่าถ้าใส่เสื้อผ้าที่เปียกเดี๋ยวหวัดกินเข้าให้”
“ได้สิครับพี่ จอดรถให้ดีก่อน” ผมอนุญาตให้พี่เขาขึ้นมาที่ห้องพักของผมได้ บรรยากาศในหอชายหมายเลข 5 เงียบเหงาเช่นเดิม ผมไขกุญแจห้อง 5413 ด้วยความรีบเร่ง มดยังไม่กลับมาจากตึกเรียน
“เข้ามาสิครับพี่ เลือกเสื้อผ้าได้ตามใจชอบเลย ผ้าขนหนูผืนที่ยังไม่ได้ใช้ทีก็มีนะครับ พี่หยิบเอามาเช็ดตัวได้เลย จะดื่มอะไรร้อนๆ ไหมครับ มีกาแฟ ช็อคโกแลตร้อน” ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของผมเพื่อให้พี่ตงเลือกแล้วไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน
“กางเกงยีนส์พี่เริ่มแห้งแล้วล่ะ คงจะเปลี่ยนแต่เสื้อ พี่ขอกาแฟก็แล้วกัน” พี่ตงบอกพลางถอดเสื้อออกแล้วเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนู ผมขวยเขินแสร้งทำเป็นจดจ่ออยู่กับกาแฟที่ผมชงให้พี่เขา แต่ผมลอบมองพี่ตงเช็ดตัวอยู่ “รู้นะว่าแบงค์แอบมองพี่อยู่ มองไปเลยน้อง จะให้พี่แก้ผ้าให้น้องดูก็ยังไหวอยู่”
“ทะลึ่งแล้ว” ผมเขินอาย เอาความใส่ใจไปลงที่กาแฟ ผมชงกาแฟอย่างบรรจงบรรจุความรักและความเอาใจใส่ลงในกาแฟแก้วนี้
พี่ตงเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว เขารับกาแฟไปดื่มอย่างละเมียด เราสองคนพูดคุยกันสักพัก เมื่อกาแฟหมด พี่ตงก็ลากลับไปบ้านเช่า
“พี่คงต้องกลับแล้วล่ะ ความจริงอยากอยู่กับแบงค์มากกว่า อย่าลืมนะแบงค์ว่าเราสองคนรักกัน” พี่ตงโผมาหอมแก้มของผม
พลั่วะ!
อ้าว! มันคือความฝัน ผมละเมอตกเตียงแล้วตกใจตื่น ความรู้สึกเจ็บตามมาทีหลัง ผมมองนาฬิกาปลุกบนโต๊ะ ต๊กใจตื่นมาตี 4 แหมเสียดายจัง เฮ้อ…. เสียดายจัง จากนั้นผมพยายามหลับต่อเผื่อว่าจะฝันไปต่อจากความเดิม แต่นอนไม่หลับ พอจะเคลิ้มหลับ เสียงกรนของมดที่ดังราวกับรถหวอ 18 คันเปิดหวอพร้อมกัน ทำให้ผมต้องตื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมนึกถึงเรื่องในฝันให้ชื่นฉ่ำหัวใจ ทำไมหนอ? ผมรู้สึกอุ่นตรงแก้มข้างซ้ายราวกับว่าโดนจูบจริง ผมมองรูปถ่ายพี่ตงที่โต๊ะอ่านหนังสือแล้วส่งยิ้มให้
“พี่รู้ไหมครับ แม้มันจะเป็นแค่ความฝัน แต่ผมก็มีความสุขมากมาย จนผมคิดว่าจะมีความสุขไหนเสมอเหมือน ดวงตาคู่นั้นของพี่ทำให้ผมอบอุ่นหัวใจ ผมเพ้อไปกับรอยยิ้มของพี่ พี่ตงครับผมรักพี่นะครับ ผมสัญญานะว่าผมจะฝันถึงพี่ทุกคืนครับ”
จบบท
โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ... ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม&nbs
ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ
ผ่านพ้นไปสำหรับวันหยุดเทศกาลปีใหม่ เมื่อทุกคนกลับมายังมหาวิทยาลัยได้พบว่าการสูญเสียจากปีที่แล้วยังตกค้างมาถึงปีนี้ ครานี้หวยมาออกที่สาขาวิทยาการจัดการ บี-บุหงาประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เสียชีวิตแถวบ้านในจังหวัดยะลาในคืนแรกของปีใหม่ บีกับผมเป็นเพื่อนร่วมสาขาที่มามีปฏิสัมพันธ์ในภาคเรียนที่ 2 เพราะต้องทำแลปวิชา Biology ในกลุ่มเดียวกัน บีเป็นมุสลิมเมื่อพวกเราทราบข่าว ศพของบีถูกฝังในกุโบร์เรียบร้อยแล้ว “เขาว่ากันว่าทุกค่ำคืน ที่ชายหาดยังมีคนเห็น ชาวฝรั่ง ชาวไทย ทั้งชายและหญิงเล่นน้ำทะเลอยู่ คนที่เห็นต่างก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่คน” ปอนด์เล่าเรื่องจากเหตุการณ์สึนามิให้ผม แก้ว อ้อ ชุ ดา วิทย์ เอ และนนท์ฟังตรงม้าหินระหว่างหอ 4 และหอ 5 ฟังในค่ำคืนที่สองของภาคเรียนที่ 2 แน่นอนว่าทุกคนเริ่มอินกับเรื่องเร้นลับ ผนวกกับอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ขยับตัวรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน “เอาเรื่องใกล้ตัวดีกว่า เรื่องในหอนี่แหละ เห็นต้นตะเคียนหน้าหอ 4 ไหม เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์น่าดูเลยทีเดีย
หลังจากกลับมากรุงชิงได้แค่เจฟเรียกประชุมสมาชิกสาขาวจก. ทั้งหมด แน่นอนมีเรื่องราวหลายเรื่องอยู่ในวาระการประชุมไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมรับน้องในปีการศึกษาหน้า และในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงมีงานเลี้ยงบายเฟรชชี่ “ในการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ประธานสาขาครั้งสุดท้ายของเรา ต่อจากนี้จะมีการเลือกประธานสาขาคนใหม่” เจฟประกาศต่อหน้าทุกๆ คน บางคนทราบข่าวแล้ว บางคนก็ยังไม่ทราบข่าว เจฟไปทำงานในองค์การบริหารนักศึกษาจึงต้องเลือกหน้าที่ในองค์การและทิ้งงานประธานสาขา เสมือนที่เขาเลือกตุ่มและทิ้งผม แมนลงช่วงชิงตำแหน่งกับเป้ ผลออกมาแมนชนะเป้ ผมสังเกตว่าทุกคนเลือกแมนโดยไม่มีความตั้งใจจริง อาจเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า งานประธานสาขาเป็นงานที่หนักเสมือนกระโถนท้องพระโรง ทำดีเสมอตัวทำชั่วโดนประณามสาปแช่ง ลึกๆ ทุกคนหวาดหวั่นว่าแมนจะทำหน้าที่นี้ด้วยระบอบเผด็จการ แต่ก็รู้อยู่ว่าพวกผู้ชายบางคนหัวแข็งคงจะไม
เรื่องของตุ่มและเจฟเงียบลงไปและเป็นที่แน่นอนว่าทั้งคู่ลดความสัมพันธ์ลงเป็นแค่เพื่อน ผมวางตนไว้ในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ และห่วงๆ ในค่ำคืนหนึ่ง ผมหลับฝันไปว่า... ผมกำลังนั่งเขียนนิยายอยู่ในบ้านเช่า มีเสียงรถจักรยานยนต์แล่นมาและจอดตรงหน้าบ้าน ผมชะโงกหน้าออกไปดูว่าเป็นใคร “ไปเที่ยวกันไหม?” เจฟชวนผมพร้อมส่งยิ้มให้ ผมไม่รู้สึกประหลาดใจเลย ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เจฟไม่เคยฉายตัวมายังบ้านประชุมรัตน์แม้เพียงแต่เงา “ไปสิ เรากำลังเบื่ออยู่พอดี วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขียนนิยายไม่ออกเลย” ผมรับคำชวน จากนั้นเจฟรับหน้าที่สารถีห้อรถจักรยานยนต์คันเดิมๆ สู่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ไปรับประทานไอศกรีมไข่แข็งหน้าโรง
“จะบอกอะไร อย่าบอกนะว่าจะมาสารภาพรักเรา” ผมดักคอมันก่อน “ไม่ใช่โว้ย คนที่รักแบงค์อยู่ไม่ใช่เราแต่เป็นเจฟ ใครว่าเจฟไม่เคยชายตามองแบงค์” เบียร์พูดความจริงที่เกี่ยวเนื่องด้วยเจฟ ความจริงที่ผมอยากรู้จนต้องวางจอกสุราขาวเพื่อตั้งใจฟัง “อะไรนะ เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้” “มันถึงเวลาที่เราจะต้องพูด เจฟบอกให้เราปิดบังความลับนี้เอาไว้ไปตลอดกาล เพราะเจฟกลัว ลังเลที่จะทำตามใจตัวเอง” เบียร์เกริ่นนำ วันนั้นในอดีต เป็นวันที่ผมและเพื่อนสมาชิกรายวิชา English Listen And Speaking เดินทางกลับมาจากสมุยได้ไม่กี่วัน ผมสถิงสถิตตัวเองทำงานเขียน เก็บประสบการณ์ที่สมุยไว้เป็นตัวอักษรในสมุดบันทึกเล่มสีแดงที่เจฟให้ไว้ณ. ห้องเกียรติภ
1 ปีต่อมา... “ท่านผู้โดยสารคะ ขณะนี้สายการบินของเราได้นำพาท่านผู้โดยสารมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี เวลาในขณะนี้ 18.45 นาที เพื่อความปลอดภัย ผู้โดยสารทุกท่านนั่งประจำที่ของท่านและงดใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกจนกว่าเครื่องบินจอดสนิท สำหรับวันนี้ขอบคุณและสวัสดีค่ะ” เสียงประกาศจากหัวหน้าลูกเรือจบลงแล้ว เครื่องบินกำลังวิ่งบนแท็กซี่เวย์แล้วเข้าหลุมจอด สักครู่เครื่องบินเทียบสู่สะพานเทียบเครื่องบินหรืองวงช้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลง แอร์โฮสเตทเปิดประตูเครื่องบิน ผู้โดยสารปลดเข็มขัดนิรภัย ใครที่เก็บสัมภาระไว้ใช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ เปิดฝาช่องสัมภาระนำสัมภาระของตนมาถือไว้แล้วเดินออกจากจากเครื่องบิน โดยมีลูกเรือไหว้อำลาผู้โดยสาร ผมเปิดโทรศัพท์มือถือหลังจากปิดเครื่องตั้งแต่นั่งเครื่องบินมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ ผมกดโทรศัพท์โทรหาพี่นุระหว่างลงบันไดเลื่อนมาสัมภาระในโดงผู้โดยสารขาเข้าชั้นหนึ่งของส
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมเสื้อดึงคอ ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มปักเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงามันเลื่อม กำลังเดินขึ้นเขาเพราะตรงเชิงเขามีหอพักตั้งอยู่ จู่ๆ ฝนกระหน่ำตกลงมา “แย่จัง” เขาบ่นแล้วรีบวิ่งขึ้นเขา ปี๊นๆ เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังมา ทำให้เขาหยุดดู ใครกันหนอ เห็นหน้าไม่ชัดเลยใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ “ไปกับเรา” เสียงหนุ่มแวนซ์ปริศนาใส่เสื้อโปโลปักตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยสีม่วงจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ข้างทางแล้วคว้ามือเขาวิ่งนำพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องเล็กๆ ปิดตายไว้ “นี่มันอะไรกัน” เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มที่นำพาเขามาที่แห่งนี้ถอดหมวกันน็อคออก ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ถามว่าหน้าตาดีไหมก็ตอบว่าพาไปวัดตอนสายๆ ควงได้ไม่อายพระเณรหรอกหนา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนแต่ผิวพรรณไม่ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำ หน้าตาพิมพ์นี้เรียกว่าหน้าหยก ยังกับดาราฮ่องกง “กูรักมึงนะแบงค์” ห
1 ปีต่อมา... “ท่านผู้โดยสารคะ ขณะนี้สายการบินของเราได้นำพาท่านผู้โดยสารมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี เวลาในขณะนี้ 18.45 นาที เพื่อความปลอดภัย ผู้โดยสารทุกท่านนั่งประจำที่ของท่านและงดใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกจนกว่าเครื่องบินจอดสนิท สำหรับวันนี้ขอบคุณและสวัสดีค่ะ” เสียงประกาศจากหัวหน้าลูกเรือจบลงแล้ว เครื่องบินกำลังวิ่งบนแท็กซี่เวย์แล้วเข้าหลุมจอด สักครู่เครื่องบินเทียบสู่สะพานเทียบเครื่องบินหรืองวงช้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลง แอร์โฮสเตทเปิดประตูเครื่องบิน ผู้โดยสารปลดเข็มขัดนิรภัย ใครที่เก็บสัมภาระไว้ใช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ เปิดฝาช่องสัมภาระนำสัมภาระของตนมาถือไว้แล้วเดินออกจากจากเครื่องบิน โดยมีลูกเรือไหว้อำลาผู้โดยสาร ผมเปิดโทรศัพท์มือถือหลังจากปิดเครื่องตั้งแต่นั่งเครื่องบินมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ ผมกดโทรศัพท์โทรหาพี่นุระหว่างลงบันไดเลื่อนมาสัมภาระในโดงผู้โดยสารขาเข้าชั้นหนึ่งของส
“จะบอกอะไร อย่าบอกนะว่าจะมาสารภาพรักเรา” ผมดักคอมันก่อน “ไม่ใช่โว้ย คนที่รักแบงค์อยู่ไม่ใช่เราแต่เป็นเจฟ ใครว่าเจฟไม่เคยชายตามองแบงค์” เบียร์พูดความจริงที่เกี่ยวเนื่องด้วยเจฟ ความจริงที่ผมอยากรู้จนต้องวางจอกสุราขาวเพื่อตั้งใจฟัง “อะไรนะ เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้” “มันถึงเวลาที่เราจะต้องพูด เจฟบอกให้เราปิดบังความลับนี้เอาไว้ไปตลอดกาล เพราะเจฟกลัว ลังเลที่จะทำตามใจตัวเอง” เบียร์เกริ่นนำ วันนั้นในอดีต เป็นวันที่ผมและเพื่อนสมาชิกรายวิชา English Listen And Speaking เดินทางกลับมาจากสมุยได้ไม่กี่วัน ผมสถิงสถิตตัวเองทำงานเขียน เก็บประสบการณ์ที่สมุยไว้เป็นตัวอักษรในสมุดบันทึกเล่มสีแดงที่เจฟให้ไว้ณ. ห้องเกียรติภ
เรื่องของตุ่มและเจฟเงียบลงไปและเป็นที่แน่นอนว่าทั้งคู่ลดความสัมพันธ์ลงเป็นแค่เพื่อน ผมวางตนไว้ในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ และห่วงๆ ในค่ำคืนหนึ่ง ผมหลับฝันไปว่า... ผมกำลังนั่งเขียนนิยายอยู่ในบ้านเช่า มีเสียงรถจักรยานยนต์แล่นมาและจอดตรงหน้าบ้าน ผมชะโงกหน้าออกไปดูว่าเป็นใคร “ไปเที่ยวกันไหม?” เจฟชวนผมพร้อมส่งยิ้มให้ ผมไม่รู้สึกประหลาดใจเลย ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เจฟไม่เคยฉายตัวมายังบ้านประชุมรัตน์แม้เพียงแต่เงา “ไปสิ เรากำลังเบื่ออยู่พอดี วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขียนนิยายไม่ออกเลย” ผมรับคำชวน จากนั้นเจฟรับหน้าที่สารถีห้อรถจักรยานยนต์คันเดิมๆ สู่ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ไปรับประทานไอศกรีมไข่แข็งหน้าโรง
หลังจากกลับมากรุงชิงได้แค่เจฟเรียกประชุมสมาชิกสาขาวจก. ทั้งหมด แน่นอนมีเรื่องราวหลายเรื่องอยู่ในวาระการประชุมไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมรับน้องในปีการศึกษาหน้า และในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงมีงานเลี้ยงบายเฟรชชี่ “ในการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ประธานสาขาครั้งสุดท้ายของเรา ต่อจากนี้จะมีการเลือกประธานสาขาคนใหม่” เจฟประกาศต่อหน้าทุกๆ คน บางคนทราบข่าวแล้ว บางคนก็ยังไม่ทราบข่าว เจฟไปทำงานในองค์การบริหารนักศึกษาจึงต้องเลือกหน้าที่ในองค์การและทิ้งงานประธานสาขา เสมือนที่เขาเลือกตุ่มและทิ้งผม แมนลงช่วงชิงตำแหน่งกับเป้ ผลออกมาแมนชนะเป้ ผมสังเกตว่าทุกคนเลือกแมนโดยไม่มีความตั้งใจจริง อาจเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า งานประธานสาขาเป็นงานที่หนักเสมือนกระโถนท้องพระโรง ทำดีเสมอตัวทำชั่วโดนประณามสาปแช่ง ลึกๆ ทุกคนหวาดหวั่นว่าแมนจะทำหน้าที่นี้ด้วยระบอบเผด็จการ แต่ก็รู้อยู่ว่าพวกผู้ชายบางคนหัวแข็งคงจะไม
ผ่านพ้นไปสำหรับวันหยุดเทศกาลปีใหม่ เมื่อทุกคนกลับมายังมหาวิทยาลัยได้พบว่าการสูญเสียจากปีที่แล้วยังตกค้างมาถึงปีนี้ ครานี้หวยมาออกที่สาขาวิทยาการจัดการ บี-บุหงาประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เสียชีวิตแถวบ้านในจังหวัดยะลาในคืนแรกของปีใหม่ บีกับผมเป็นเพื่อนร่วมสาขาที่มามีปฏิสัมพันธ์ในภาคเรียนที่ 2 เพราะต้องทำแลปวิชา Biology ในกลุ่มเดียวกัน บีเป็นมุสลิมเมื่อพวกเราทราบข่าว ศพของบีถูกฝังในกุโบร์เรียบร้อยแล้ว “เขาว่ากันว่าทุกค่ำคืน ที่ชายหาดยังมีคนเห็น ชาวฝรั่ง ชาวไทย ทั้งชายและหญิงเล่นน้ำทะเลอยู่ คนที่เห็นต่างก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่คน” ปอนด์เล่าเรื่องจากเหตุการณ์สึนามิให้ผม แก้ว อ้อ ชุ ดา วิทย์ เอ และนนท์ฟังตรงม้าหินระหว่างหอ 4 และหอ 5 ฟังในค่ำคืนที่สองของภาคเรียนที่ 2 แน่นอนว่าทุกคนเริ่มอินกับเรื่องเร้นลับ ผนวกกับอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ขยับตัวรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน “เอาเรื่องใกล้ตัวดีกว่า เรื่องในหอนี่แหละ เห็นต้นตะเคียนหน้าหอ 4 ไหม เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์น่าดูเลยทีเดีย
ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ
โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ... ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม&nbs
พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สั
“ก้มหน้า... ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้” เสียงขู่ตะคอกยังคงดังต่อเนื่อง ผมตกใจจนตัวสั่นราวกับหมูที่มาถึงโรงเชือดเพียงแค่เห็นประตูทางเข้าก็ตกใจกลัวจนอุจจาระหดตดหายแล้ว “แต่ละคนเข้ามาอยู่นี่ เอาแต่หนุกกับหรอยลูกเดียว ไม่สาไหรเลย เห็นรุ่นพี่ก็ไม่ไหว้ เห็นอาจารย์ก็ไม่ไหว้ ที่แรงหว่านั้นคือเห็นพระรูปพระบิดาก็ไม่แสดงเคารพเจริญแล้ว” พวกปีหนึ่งโดนตำหนิด้วยสำเนียงภาษาท้องถิ่น ทำให้ผมนึกย้อนถึงตนเอง มันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมคงจะต้องปรับปรุงตนเอง เสียงว๊ากโหวกเหวกดังลั่นห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง พอผมนั่งก้มหน้านานเลือดเริ่มไปเลี้ยงสมองไม่ทันผลลัพธ์คือผมเวียนศีรษะ หน้ามืด “แบงค์ไหวมั้ย?” พี่หมอแฟนหนุ่มของพี่กระดิ่งเข้ามาถาม อันที่จริงแล้วพี่แกชื่อต้า แต่เพื่อนๆ แกลงความเห็นกันว่าแก่หน้าตากระเดียดไปทางพิมพ์นิยมของนักศึกษาแพทย์จึงเรียกว่าหมอมาตลอด พอหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว แกตั้งใจจะเรียนหมอนั่นแห