หน้าหลัก / LGBTQ+ / น้ำค้างมองพระจันทร์ / บทที่ 1 สายใยรักสายใยม่วงแดง(ปฐมบท)

แชร์

บทที่ 1 สายใยรักสายใยม่วงแดง(ปฐมบท)

ผู้แต่ง: กัลปังหา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-20 14:05:14

ปลายเดือนพฤษภาคม...

          วันที่ผมย้ายเข้าหอพักภายในมหาวิทยาลัยเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส ผู้ที่มาส่งผมก็พี่ชายเจ้าเก่าหน้าเดิม ขับรถมาส่งตามเคย หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ตรงเชิงเขาท่าเพชร ก่อนอื่นผมไปติดต่อรับกุญแจห้องพักที่สำนักงานหอพักตรงหอ 2 เพื่อนๆ นักศึกษาทั้งชายและหญิงที่มีภูมิลำเนาไกลๆ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บรรยากาศบริเวณหอพักทั้ง 5 หอคึกคักคลาคล่ำด้วยผู้คน ผมเซ็นชื่อแล้วรับกุญแจห้อง ผมได้กุญแจห้องหมายเลข 2310 หอพักชายไม่ต้องเดินไปไกล เพราะหอพัก 2 อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักยังเป็นหอพักชายอีกด้วย

              “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? พี่จะกลับแล้วนะ” พี่นุบอกกับผม หลังจากที่เขาวางตะกร้าใส่เสื้อผ้าของผมลงพื้นในห้อง

              “ครับ” ผมเดินลงไปส่งพี่นุตรงลานจอดรถ ผมเห็นว่ามีซุ้มขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มของชมรมอาสาพัฒนาตั้งอยู่เลยลองไปประเดิมอุดหนุนสักหน่อย

              “เอาอะไรดีจ๊ะ” พี่ผู้หญิงผมซอยสั้นเอ่ยทักผม นอกเหนือจากเธอแล้ว ยังมีเพื่อนๆ ของเธออีก 4 คนเป็นผู้ชาย 1 หญิง 3 คน

              “ชาเขียวรสมะนาวหนึ่งกล่องครับ”

              “มาใหม่ล่ะซี อยู่สาขาอะไรล่ะ” พี่ผู้หญิงไว้ผมยาวทำสีผมไฮไลท์สีทองทัก

              “วจก. ครับ” เป็นคำตอบที่ผมตอบเมื่อมีใครถาม

              “ทั้งพี่กระดิ่ง พี่อาย พี่สปัน พี่ตงและพี่ พี่ชื่อพี่ชี้คเรียนวจก. ทั้งหมดแหละ” พี่ชี้คบอก กลายเป็นว่าผมเป็นรุ่นน้องคนแรกที่พวกพี่ๆ รู้จัก ชาเขียวกล่องนั้นผมไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย พี่เบลล์ออกเงินให้พร้อมกับแถมขนมขบเคี้ยวอีกสองห่อ จากนั้นผมยืนพูดคุยกับพวกรุ่นพี่ต่ออีกนานเลยทีเดียว

              “จะว่าไปพี่ก็ตั้งใจเลือกมาเรียนที่นี่นะ เพราะพี่เบื่อหาดใหญ่แล้ว บ้านพี่อยู่ในวิทยาเขตหาดใหญ่เลย เกิดและโตมาในนั้นแหละจ้ะ” พี่ชี้คเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟัง นับว่าพี่ชี้คสวนกระแสพอควรเลยทีเดียว

              ทว่าความสนใจของผมตกไปอยู่ที่พี่ตง ชายเดียวในหมู่ผู้หญิงคนนี้ อาจเป็นเพราะว่าผมชอบผู้ชายลักษณะนี้  ใช่แล้วครับผมเป็นเกย์และรู้ตัวมาเนิ่นนานแล้ว ในอดีตผมอาจจะเป็นเกย์ที่ออกสาว มีจริตกิริยากระเดียดไปทางผู้หญิงยามเมื่ออยู่กับเพื่อนฝูงชะนี แต่เมื่ออยู่กับครอบครัวผมก็ใช้ชีวิตแบบผู้ชายเงียบๆ เรียบร้อยประมาณผ้ายับพับไว้ ผมเข้ามหาวิทยาลัยคิดไว้ว่าจะใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายทั่วไปแต่ไม่ถึงกับลุยได้ทุกสถานการณ์ วกกลับมาเรื่องของพี่ตงดีกว่านะ พี่ตงเป็นผู้ชายร่างสันทัดไม่สูงเด่น แน่นอนว่าเขาเตี้ยกว่าผม ใบหน้าตี๋เพราะเขามีเชื้อจีน สีผิวไม่ขาวนักแต่ไม่ถึงกับคล้ำดำ กล่าวโดยสรุปพี่ตงมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ผมสนใจ นึกออกแล้ว... คนๆ นี้คือผู้ชายในฝัน ผู้ชายที่พาผมไปหลบฝนบนสิ่งก่อสร้างทรงประหลาดที่คนที่ในมหาวิทยาลัยเรียกว่าฝาชีบ้างเอย ศาลาจานบินบ้างเอย แล้วสารภาพรักผมก็คือพี่ตงนี่แหละ ทำไมผมถึงฝันแบบนี้ไปได้นะ

              “แบงค์เรียนสายอะไรมาล่ะ?” พี่กระดิ่งถาม

              “ฮะพี่ตง ผมเรียนสายศิลป์-คำนวณครับ”

              “ใจลอยไปถึงไหนนี่ ฉันถามเธอไม่ใช่อีตง เออโชคดีแล้วล่ะ ในหลักสูตรมีฟิสิกส์ เคมี ชีวะด้วย” พี่กระดิ่งบอก “รู้ไว้แต่เนิ่นๆ น่ะดีแล้ว ไม่ได้ยากอะไรเสียจนน่ากลัว ความรู้ระดับม. ปลายนั่นแหละ”

              ผมพูดคุยกับพวกพี่ๆ จนได้เวลาพอควรและดูเหมือนว่าพวกพี่ๆ จะออกไปข้างนอกสักที่ใดที่หนึ่ง ผมตัดบทจบการสนทนาและการทำความรู้จัดด้วยการ...

              “เอ่อพี่ๆ ครับ ผมคงต้องขอตัวไปจัดห้องก่อนนะครับ ผมไปล่ะ” ผมอำลาพวกพี่ๆ เพื่อขึ้นห้องไปจัดข้าวของให้เรียบร้อย

              รูมเมทของผมจะเป็นใครหนอ เขาจะมีนิสัยอย่างไร เขาจะรับข้อเสียของผมได้ไหม แล้วผมจะรับข้อเสียของเขาได้หรือเปล่า ผมคิดไปพลางจัดของไป เมื่อจัดของเสร็จ ผมไม่รู้จะทำอะไรในห้อง ผมจึงลงไปข้างล่างอีกรอบ ผมเห็นว่าตรงซุ้มร้านค้าชมรมอาสาไม่มีพวกพี่ๆ อยู่กันแล้ว ผมเดินลงเขาไปเรื่อยๆ ชื่นชมกับธรรมชาติ อากาศยามบ่ายที่นี่ไม่ค่อยร้อนเท่าใดนัก มีสายลมพัดมาเรื่อยๆ ผ่านตึกร้างที่ปกคลุมไปด้วยเถาตำลึงและพื้นที่รอบๆ หญ้าคาขึ้นรกเรื้อ มีรถแม็คโครที่จอดทิ้งไว้จนสนิมขึ้นเกรอะกรัง เดินไปอีกนิดถึงตึกเรียนรวมหลังคาสีฟ้าสบายตา เบื้องหลังเป็นเขาท่าเพชรเขียวครึ้มด้วยแมกไม้มีเสาอากาศ 5 เสายืนทแยงเสียดฟ้า ผมผ่านตึกอีกสองตึกตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน แม้ตึกทั้งสองมีรูปทรงต่างกันแต่หลังคาเป็นสีเดียวกันคือโทนสีฟ้าน้ำเงิน ผ่านมาทั้งสี่ตึกผมรู้สึกว่าที่นี่เหมือนเมืองร้างมีมนุษย์อยู่เพียงคนเดียวคือผม ผมมาถึงร้านมินิมาร์ทอย่างหอบเหนื่อยซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่มานั่งดื่มพักผ่อนดูรายการโทรทัศน์ที่ทางร้านเปิด

              “เด็กใหม่เหรอ” น้าผู้หญิงที่เป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักทายผม เธอนั่งที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน

              “ใช่ครับ” ผมตอบ

              “ยินดีต้อนรับเฟรชชี่จ้า” คุณน้ากล่าว “เด็กเก่าเขาจะแวนซ์ตะลอนๆ ไปไหนมาไหนกัน”

              “เหรอครับ ว่าแต่ที่นี่มีรับซักรีดผ้าไหมครับ”

              “มีจ้า เดือนละ 300 บาท ถ้าตกลงจดเลขห้องลงในสมุดนี้เลย พี่เขาจะไปเก็บผ้าอาทิตย์ละ 2 หนนะ “

              “ตกลงครับ” ผมจดชื่อและหมายเลขห้องลงในสมุดแล้วก็เลือกเดินซื้อของเป็นของจำพวกขนมขบเคี้ยวและน้ำผลไม้จ่ายเงินเสร็จก็เดินกลับมาเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยเดินได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดสูดลมหายใจมองบรรยากาศรอบๆ นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลา 16.00 น.  ผมเดินผ่านตึกเรียนรวม เสียงรถมอเตอร์ไซค์ทะยานแหวกอากาศขึ้นเนินเขาไล่หลังผมมา ผมเดินต่อไป รถจักรยานยนต์คันนี้มีผู้ชายรูปร่างผอมๆ ใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินสวมกางเกงยีนส์ขับผ่านไปเหมือนพอเขาเห็นผมก็ชะลอรถเทียบข้างผม

              “ไปหอข้างบนใช่ไหม?” ชายผู้นั้นถามผม “ขึ้นมาซ้อนท้ายเลย”

              ผมขึ้นนั่งซ้อนท้ายโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น ระหว่างทางเราสองคนไม่ได้พูดคุยกระไรเลย จนมาถึงที่จอดรถในหอ 3

              “ขอบใจนะ” ผมเอ่ยขอบคุณขณะลงจากรถ

              “ไม่เป็นไร เราชื่อเจฟ”

              “เราชื่อแบงค์” ผมบอกชื่อไป นับว่าเขาเป็นเพื่อนคนแรกของที่นี่เลยทีเดียว

              “เราเรียนวจก. แบงค์ล่ะเรียนอะไร?”

              “วจก. เหมือนกัน เจฟเป็นคนสุราษฎร์เหรอ?”  ผมเห็นป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ก็เลยถาม

              “ใช่แล้ว เราเป็นคนสุราษฎร์ อย่าบอกนะว่าเป็นคนสุราษฎร์เหมือนกัน“ ผมแค่พยักหน้าตอบว่าใช่ เขาเผยอยิ้มเผยฟันเรียงไม่เป็นระเบียบ “เราเรียนโรงเรียนเมือง บ้านอยู่แถวสี่แยกการุณ”

              “เราเรียนโรงเรียนจังหวัด บ้านเราอยู่ซอยเสม็ดเรียง” ผมบอกกับเขา มันน่าแปลกนะที่เราสองคนอาศัยอยู่หน้าเขาท่าเพชรแต่ไม่เคยได้เห็นไม่เคยได้เจอกัน แต่ก็มารู้จักกันยังที่มหาวิทยาลัยหลังเขาท่าเพชร

              “ก็ดีเลย ได้เพื่อนเพิ่มมาอีกคนแล้ว เราอยู่ชั้น 4 ห้อง 2408” เจฟแยกกับผมเมื่อขึ้นบันไดหอมาถึงชั้น 3 เขาขึ้นไปชั้นสี่ เมื่อเขามาในห้องพบว่ารูมเมทของผมได้อยู่ในห้อง เราสองคนได้ทำความรู้จักกัน เขาชื่อมดเรียนสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นคนสุราษฎร์เหมือนกับผมและเจฟ รูปร่างหน้าตาของมดทำให้ผมนึกถึงน้องทรายคุณแม่ร้อง ขออภัยมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ลองให้เขาใส่วิกแต่งหน้าทาปากรับรองเลยว่าแยกแยะไม่ออกเลยทีเดียว

              พอย่ำค่ำ ทุกๆ คนโดนเรียกลงมารวมตัวตรงลานหน้าหอเพื่อทำกิจกรรมสันทนาการ คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจว่าเด็กมหาวิทยาลัยอุตส่าห์เอ็นทรานซ์เข้ามา แล้วมาเต้นแร้งเต้นกาทำอะไรพิลึกๆ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้น เพื่อละลายพฤติกรรมหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเพราะแต่ละคนมาจากต่างที่ ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรมถ้าไม่รู้จักปรับตัวก็จะอยู่ไม่ได้ในที่แห่งนี้ ผมรู้สึกเหนื่อยแต่ก็สนุกสนานไปกับการเต้นและร้องได้รู้จักเพื่อนๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายคน รุ่นพี่ที่เป็นผู้นำสันทนาการคือ พี่แอนสาวผิวสีน้ำผึ้งยิงมุขกระจายราวกับเป็นเจ้าของฟาร์มไข่มุก และพี่เอ๋สาวหมวยที่ลูกคู่รับส่งมุขกับพี่แอน

              “เอาล่ะจ้า น้องๆ เพลงต่อไปที่เราจะร้องกันคือเพลงกิ่งก้านใบพี่รู้นะว่าน้องๆ ร้องเพลงนี้ไม่ได้กัน ไม่เป็นไรร้องตามพี่ก่อนนะ เอาว่าตาม... กิ่งก้านใบ...ชะ...ชะ...ใบก้านกิ่ง...ฝนตกลงมาจริง.ๆ...ฝนตกลงมาจริงๆ...ชะ...ชะ...กิ่งก้านใบ”

              เมื่อพวกเราทั้งหมดพอร้องได้ พวกพี่ๆ ในทีมสันทนาการที่เหลือแสดงท่าประกอบเพลง กลุ่มพี่พวกนี้เรียกว่า กรมเจ้าท่า ซึ่งท่าทีที่พวกเขาแสดงกันช่างน่าขันเหมือนอย่างเพลงอื่นๆ เช่นไก่ย่าง รถตุ๊กตุ๊ก โรตี เป็นต้น เรียกว่าพอเลิกกิจกรรมตรงนี้อาบน้ำเสร็จนอนหลับเพราะความเพลีย

... ... ...

              วันต่อมา... เป็นวันปฐมนิเทศผมได้ใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศครั้งแรก ผมมีปัญหาเรื่องการผูกเนคไทค์ มดแต่งตัวและออกไปจากห้องนานแล้ว ผมเลยเดินไปขอความช่วยเหลือจากเจฟ ผมเคาะประตูห้อง วิทย์เปิดประตูห้อง ผมเห็นว่าเจฟกำลังแต่งตัวอยู่ เพื่อนร่วมห้องของเขากำลังแต่งตัวเช่นเดียวกัน

              “อรุณสวัสดิ์ ขอรบกวนหน่อยดิ คือว่าเราผูกไทไม่เป็น เจฟช่วยผูกให้เราได้ไหม?”

              “เอาไทของเราไปผูกก่อน เราทำสำเร็จรูปไว้แล้ว เพียงแค่สวมคอแล้วรูดสายไทค์เส้นที่ติดกับตัวเสื้อลง ปักเข็มตรามหาวิทยาลัยก็เสร็จแล้ว ส่วนไทค์ของแบงค์เราก็เอาไว้ใช้เอง ถือว่าแลกกัน” เจฟจัดการปัญหาเนกไทของผมได้อย่างสวยงาม

               ผมแยกกับเจฟมาส่องกระจกที่ห้องน้ำรวมยิ้มให้ตัวเองในกระจกก่อนที่หุบยิ้มลง น่าเสียดายที่พ่อและแม่ไม่มีโอกาสได้เห็นผมใส่ชุดนักศึกษาเพราะท่านทั้งสองลาโลกนี้ไปสู่สวรรค์ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอผมนึกถึงเรื่องทีไรก็อดเสียใจไม่ได้ ผมสะกดกลั้นอารมณ์ออกมาจากห้องน้ำ เดินออกมาจากหอลงเขาสู่ตึกเรียนรวมเพียงคนเดียว ผมเดินมาถึงศาลาจานบินเจฟที่ขับรถจักรยานยนต์ลงมาแวะจอดรับ ตลอดทางไม่ได้คุยอะไรกันเพราะหนทางมันใกล้ บรรยากาศที่ลานตึกเรียนรวมคึกคักเหมือนวันที่ผมรายงานและสอบสัมภาษณ์

              “แบงค์กินอะไรมาแล้วยัง” เจฟถามขณะจอดรถให้เรียบร้อย

              “ยังเลย ไปที่ร้านยายกันดีกว่า เรารู้สึกหิวแล้ว” ผมเดินปรี่ไปที่ซุ้มร้านอาหารว่างแล้วเลือกแซนวิช นมพร่องมันเนย ส่วนเจฟก็เลือกขนมปังไส้สังขยากับนมช็อคโกแล็ต พอกินเสร็จก็นั่งคุยอยู่ที่ม้านั่งกับเจฟ เพื่อนๆ ที่จำเขาได้จากกิจกรรมสันทนาการเมื่อคืนนี้ก็เข้ามาทักทายทั้งชายหญิง และเจฟก็ได้แนะนำผมให้กับเพื่อนๆ คนอื่นได้รู้จัก จนกระทั่งถึงเวลา 8.30 น. เจ้าหน้าที่และพวกรุ่นพี่เรียกเหล่านักศึกษาชั้นปีที่ 1 เข้าสู่ห้อง D 266 หรือชื่อพวกรุ่นพี่เรียกอย่างลำลองว่าห้อง 500 ลงทะเบียนที่โต๊ะหน้าห้องรับเอกสารเข้าห้องที่มีอุณหภูมิเย็นเฉียบ เมื่อจับจองที่นั่งได้แล้ว ผมก็คุยกับพวกเพื่อนๆ  นอกเหนือจากเจฟก็มีแก้ว อ้อ ติ๊ก ตุ้ม เอ แมน และชุ

              “ทำไมเขาเรียกว่าห้อง 500 ล่ะ ใครรู้บ้าง”  ผมถาม

              “เขาเรียกตามจำนวนที่นั่ง ที่หาดใหญ่เขาก็เรียกชื่อห้องเรียนที่ตึกฟักทองตามจำนวนที่นั่งเหมือนกัน แล้วที่นี่ตึกเรียนรวมมีชื่อเรียกอีก 2 ชื่อคือตึกเกือกม้ากับตึกตัวยู” เอให้คำตอบผมอย่างชัดเจน

              “เฮ้ย! นับยังไงก็ไม่ครบ 500 “ ผมไล่นิ้วนับเก้าอี้ในห้อง ยังไงก็ไม่ครบ

              “นับที่พื้นกับที่ขี่คอแก้วอยู่แล้วยังแบงค์” เจฟยิงมุขหยอกทั้งผมและแก้ว

              “จะบ้าเหรอเจฟ เล่นมุขอะไรก็ไม่รู้น่ากลัวอ่ะ ยิ่งเมื่อตอนตีสี่แก้วตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงพระสวดมนต์ด้วย” แก้วเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมา

              “จริงเหรอแก้ว เราก็ได้ยิน” ผมนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อเช้ามืด ผมตื่นเนื่องจากเสียงกรนของมดไปรบกวนผนวกกับได้นอนเต็มอิ่มแล้ว ได้ยินเสียงพระสวดมนต์แว่วมาแต่ไกล “ไม่มีอะไรหรอกแก้ว เป็นธรรมดาที่พระทำวัตรเช้าช่วงตีสี่ แถวนี้มีวัด มีวัดก็ต้องมีพระ พระก็ต้องสวดมนต์เป็นธรรมดา”

              เมื่อได้เวลาอันสมควรก็เริ่มการปฐมนิเทศด้วยพิธีเปิด เปิดวิดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยและได้รับหนังสือคู่มือนักศึกษากับหนังสือแนะนำมหาวิทยาลัยที่ใช้ชื่อเฟรชชี่ 2007 ซึ่งจัดทำขึ้นมาจากใจรุ่นพี่ทุกวิทยาเขต เราได้ฟังประสบการณ์ชีวิตในเขตรั้วสีบลูจากศิษย์เก่า รับประทานอาหารกลางวัน ตกบ่ายมีกิจกรรมพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อนแนะนำการลงทะเบียนเรียนนับเป็นโชคดีที่ผม เจฟและแมนต่างมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันคืออาจารย์เกมส์ อาจารย์ได้สอนวิธีการลงทะเบียนเรียน ระดับมหาวิทยาลัยนั้นชื่อวิชาที่เรียนเป็นชื่อภาษาอังกฤษและก็ยาวๆ ทั้งนั้นก็เลยมีชื่อย่ออย่างวิชา Management Scince มีชื่อว่า Manage และ Principle of Marketing มีชื่อย่อว่า Market อาจารย์คุยกับพวกเราและแจกเบอร์โทรศัพท์พอสมควรแก่เวลาก็กลับมารวมตัวกันที่ห้อง 500 อีกครั้ง และแล้วสิ่งที่ผมกลัวอยู่ลึกๆ ภายในใจเริ่มก่อร่างชัดเจนขึ้นนั้นคือเอกสารเซ็นชื่อยินยอมเข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง ทุกคนต่างเคยเห็นเคยได้ยินข่าวความรุนแรงของกิจกรรมรับน้องที่จะต้องมีนักศึกษาสังเวยชีวิตกับประเพณีของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าปัญญาชน แม้ว่าผมจะวิตกแต่ก็ต้องไหลตามน้ำเซ็นยินยอมเพราะไม่อาจขัดขืนต่อกระแสสังคมของที่นี่ ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อต้านและยอมรับการเป็นแกะดำไปได้ การปฐมนิเทศจบลงเมื่อทุกๆ คนส่งใบตอบรับกิจกรรมรับน้อง พวกรุ่นพี่ให้พวกเราทั้งหมดเข้าแถวเรียงต่อกันออกจากห้อง 500 เสียงข้างนอกที่ดังอื้ออึงทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นคอยลุ้นระทึกว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอกห้อง จนเมื่อผมก้าวพ้นจากห้อง 500 สิ่งที่ผมเห็นคือกลุ่มรุ่นพี่ปีสองนำสร้อยข้อมือถักมีจี้เปลือกหอยมาผูกให้กับเหล่านักศึกษาเป้นรายคน เมื่อถึงคิวผมรุ่นพี่ที่นำสร้อยข้อมือมาผูกให้นั้นเป็นผู้หญิง เธอไว้ผมยาวประบ่า สิ่งที่ทำให้ผมจดจำเธอได้น่าจะเป็นสีผิวที่ดำเนียนราวกับดินที่ใช้ทางการเกษตรของเธอ ผมไหว้ทักทาย “สวัสดีครับผมชื่อแบงค์อยู่วจก.”

              “พี่ชื่อหวิวนะจ๊ะอยู่สิ่งแวดล้อม ตามหาพี่ให้เจอ” เธอบอกกับผมขณะที่กำลังผูกสายสร้อยข้อมือถักสีส้มจี้เปลือกหอยสีขาวเส้นนี้ “รักษาสร้อยเชลล์ไว้ให้ดีล่ะ อย่าทำหาย ถ้าหอยแตกรีบบอกพี่ล่ะ อย่าถอดจนกว่าเสร็จรับน้องเดี๋ยวจะเกิดเรื่อง” พี่หวีดสั่งกำชับไว้ก่อนแยกจากกัน ตอนนี้ผมได้ทราบว่าสร้อยข้อมือที่พี่หวีดตั้งใจผูกให้กับผมมีชื่อเฉพาะว่าสร้อยเชลล์ ผมปลีกตัวออกมากำลังจะก้าวเดินลงบันไดสู่ลานตึกเกือกม้า เจฟรีบตามลงมาแจ้งข่าวว่าเวลา 19.00 น. มีการประชุมสาขาครั้งแรกตรงลานหอวิจัยคือบริเวณที่ทำกิจกรรมสันทนาการเมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นเท่ากับว่ามีเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ  เจฟชวนไปรับประทานอาหารเย็น เราสองคนต่างมีความคิดเห็นว่าไปรับประทานอาหารเย็นที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ใต้หอ 2 สรุปได้ว่าเราสองคนเลือกรับประทานอาหารเย็น ณ ร้านครัวเคียงในอาคารโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ เพราะเปิดใหม่นี่แหละทำให้อะไรๆ ล่าช้าไปหมด เราสองคนใช้เวลารับประทานอาหารเกือบชั่วโมง ผมสั่งข้าวหมูทอดส่วนเจฟสั่งข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวซึ่งกว่าจะได้รับประทานก็ครึ่งชั่วโมงหลังจากสั่งอาหาร

              “มีเรื่องอะไรกังวลใจเปล่า” เจฟสังเกตสีหน้าผมที่แสดงออกถึงความวิตกกังวลเห็นได้ชัดเจน ขณะที่เราสองเดินกลับหอ

              “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เรากลัวเรื่องรับน้อง” ผมไว้วางใจเจฟจึงกล้าพูดเรื่องนี้ “ใจจริงเราไม่ชอบหรอก ไอการที่จะต้องมาทำกิจกรรมอะไรสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต”

              “อย่ากลัวไปเลยแบงค์ อะไรที่เขาสั่งเราทำได้ เราก็ทำ อะไรที่เขาสั่งแล้วเราทำไม่ได้ เราก็ไม่ต้องทำ ไม่มีใครสามารถเอามีดมาจ่อคอเราบังคับให้ทำโน่นนี่นั่นได้หรอก” เจฟกุมมือผมแล้วพูดเพื่อให้คลายวิตก “เราต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนเอง เขาเป็นรุ่นพี่ก็ทำหน้าที่รุ่นพี่ เราเป็นรุ่นน้องก็ทำหน้าที่รุ่นน้อง ถ้าเกิดอะไรที่เลวร้ายกับแบงค์ขึ้นมา เรายินดีที่จะรับมันแทน”

              “ขอบใจนะ” แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ผมก็พูดจากใจจริง ผมรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ผู้พิทักษ์คนนี้จะคอยปกป้องผม

              เวลา 19.00 น. พวกเรานักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิทยาการจัดการมารวมตัวประชุมโดยพร้อมเพรียงกันที่ลานหอวิจัย ต้องยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นว่าเพื่อนๆ มีจำนวนเท่าไหร่ สาขานี้มีสมาชิกประมาณ 125 คน เกือบเท่าหนึ่งของรุ่นพี่ปีสอง พวกรุ่นพี่ให้ผมและเพื่อนๆ ทั้งหมดแนะนำตนเองว่าชื่ออะไร ชื่อเล่น รหัสนักศึกษา จบจากโรงเรียนอะไร มาจากจังหวัดอะไร

              “สวัสดีครับ ผมพงษ์ชิษณุ สุริยะกุล ชื่อเล่นแบงค์ รหัสนักศึกษา 4x98761 จบจากโรงเรียนสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ” นี่คือประโยคแนะนำตัวของผม เมื่อผมแนะนำเสร็จมีเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่ เท่าที่ผมมองเห็นมีรุ่นพี่แอบกระซิกระซาบกัน ผมทำอะไรผิดหรือนี่ ผมเริ่มใจเสีย เลยนั่งลงกับพื้นเหมือนอย่างเดิมและทำตัวเงียบๆ พยายามไม่ใส่ใจอะไร หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จ พี่แป๊ะก็ให้พวกเราเลือกประธานสาขา เป็นการขับเคี่ยวระหว่างเจฟและปิ๊ก ผลสรุปออกมาว่าเจฟชนะอย่างสูสี

              “เอาล่ะน้องๆ ต่อไปก็ถึงประเพณีพิเศษ สาขาวจก. ของเราที่ผ่านมาจะต้องผ่านพิธีการนี้ เป็นประเพณีที่พิสูจน์ว่าน้องๆ แต่ละคนรักพี่ๆ และเพื่อนๆ พิธีกรรมจะให้น้องๆ ทุกเข้าร่วมก็คงไม่ไหว จะต้องมีตัวแทนเพื่อนๆจำนวน 5 คนจะชายหรือหญิงก็ได้” พี่แป็กจะทำอะไรกับพวกผม เพื่อนๆ ทุกคนและผมใจตรงกันไม่มีกล้ายกมืออาสา

              “รักกันจริงนะวจก. ปีนี้ แบงค์กับเจฟออกมาเลย บีเตรียมของ” คุณพระช่วย! หวยออกที่ผม ผมและเจฟลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ พี่แป็ก เจฟยังสงบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรแต่ผมนี่สิลุ้นว่าพี่แป๊ะจะให้ทำอะไรยิ่งกว่าตอนที่ลุ้นว่านางงาม 2 คนสุดท้ายใครจะได้มงกุฎนางงามจักรวาลเสียอีก “ที่ต้องเรียกสองคนนี้ออกมาเพราะ เจฟเป็นประสาขาจะต้องเสียสละตนเอง อะไรที่ดีต้องให้เพื่อนๆ ก่อน อะไรที่ร้ายๆ ก็ต้องรับไว้เอง ส่วนแบงค์พี่รหัสเขารีเควสมา แบงค์เอ๋ยแบงค์ แกนี่โชคดีหรือโชคร้ายวะที่เป็นน้องรหัสของมัน เขาฝากบอกมาว่าแกเป็นผู้ชายแกต้องรับแทนฝนมันด้วย”

              ผมหันมองพี่วู้ด พี่เขาเดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่รอยยิ้มที่มุมปากของพี่เสมือนจะบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่แกจะโดน หรือว่าแกจะปิดปากผมไม่ให้ผมบอกกับใครว่าผมเป็นเด็กปีหนึ่งคนแรกที่รู้จักพี่รหัสของตนเอง เอเพื่อนร่วมสาขาบอกกับผมว่าที่นี่ทุกๆ คนจะมีพี่รหัส โดยปกติแล้วพี่รหัสจะทำตัวลึกลับให้เราสืบหาเอาเอง ผมเห็นพี่อ๊อฟมาตั้งแต่วันแรกเขาหอพัก เขาขายขนมอยู่ซุ้มชมรมอาสาพัฒนา เมื่อผมไปดูเลขรหัสนักศึกษาที่ตึกเกือกม้า พี่อ๊อฟก็ตามไปดูด้วย แกถามกับเพื่อนๆ แกว่ารู้จัก พงษ์ชิษณุไหม ผมบังเอิญได้ยินก็ดันไปบอกกับแกว่าผมนี่แหละพงษ์ชิษณุ แกเดินหนีเลย งานนี้ต้องขอบอกว่าโป๊ะแตกสิ ตั้งแต่นั้นพี่เขาเจอผมก็หลบหน้าผมตลอด

              “มีกันสองคนจะสนุกอะไร เป้มึงออกมาเลย ได้ข่าวว่าซ่านิมึง ขิงด้วย ไอนี่มีคดีส่วนตัว ได้ข่าวว่าไปแซวแฟนกู” เอาล่ะซี งานนี้ได้มีเฮ จะได้ดูมวยซะงั้น นี่กลายเป็นการแก้แค้นส่วนตัวพัวพันกับการรับน้องไปเสียแล้ว “อ้าว! บีหยิบโอรีโอมาดิ แล้วบอกไปว่ากินแล้วเป็นไง”

              “กินโอรีโอแล้วขี้ดำค่ะ” พี่บีตะโกนเสียงดังพร้อมชูซองขนมคุกกี้ยี่ห้อดังให้เพื่อนๆ ดู

              “ลืมวิธีการกินแบบปกติที่บิดชิมครีมแล้วจุ่มนมลืมไปได้เลย เราจะกินกันแบบอมไว้ในปาก 5 วินาทีแล้วคายส่งต่อๆ กันโดยเริ่มต้นที่แบงค์” ผมต้องทำอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ ผมหยิบคุกกี้หนึ่งชิ้นมาจากมือของบีกลั้นใจนำเข้าปากแล้วอมไว้จนพี่แป็กสั่งให้ผมคายส่งต่อให้เป้ ส่งต่อให้ขิงและเจฟตามลำดับ

              “เพื่อไม่ให้มีการเสียเปรียบ เจฟส่งคืนให้แบงค์มันกิน” ตายแล้ว! นึกว่าผมจะรอดพ้น คุกกี้ชิ้นกลับมาอยู่ในมือของผมอีกครั้ง มันชุ่มโชกไปด้วยน้ำลายราวกับเปียกน้ำ มือของผมสั่นระรัวเมื่อจะหย่อนคุกกี้ลงช่องปากคล้ายกับคนที่กำลังจะกินยาเม็ดที่ขมปี๋

              “ช้าก่อนแบงค์” ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่หยุดการกระทำที่น่าขยะแขยงนั้นแล้วหันไปมองเจฟ แต่สายตาทุกคู่หันไปมองที่เขา “พี่แป็กครับ ผมขอกินโอริโอชิ้นนั้นแทนแบงค์ครับ ในฐานะที่ผมเป็นประธานสาขา มีสิ่งที่ดีต้องสละให้เพื่อนๆ เมื่อสิ่งร้ายๆ ก็ต้องรับไว้แทนเพื่อน” เขาเดินมาหยิบคุกกี้ในมือผมแล้วใส่เข้าปากเคี้ยว เมื่อคุกกี้ชิ้นนั้นลงท้องเหตุการณ์จึงยุติลง ต่อจากนั้นพวกรุ่นพี่กับพวกเราทั้งหลายทำกิจกรรมสันทนาการกัน ก็เป็นเพลงที่ร้องกันเหมือนเมื่อวาน แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือการขับร้องเพลงสายใยม่วงแดงซึ่งเป็นเพลงประจำวิทยาเขตแห่งนี้

มหาวิทยาลัย

ชื่อเสียงเกรียงไกรสงขลานครินทร์

ทั่วแคว้นแดนดิน

ต่างได้ยินสีบลูเราชาวมอ.

สุราษฎร์ธานีเมืองคนดีเป็นที่รู้จัก

เรามอบใจภักดิ์รักสถาบันอันสูงค่า

ถิ่นนี้เหมือนมีมนตรา มาเถิดก้าวมา

ร่วมพัฒนาให้ก้าวไกล

มอ. สุราษฎร์ธานี

ร่วมใจน้องพี่เลือดสีม่วงแดง

ศรัทธากล้าแกร่งมุ่งมั่นไปให้ถึงจุดหมาย

ร่วมร้อยเรียงฝัน

สร้างสายสัมพันธ์ไม่คลาย

เราต่างภาคภูมิใจ

สถาบันดีเป็นศรีสังคม...

              ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เริ่มแทรกซึมลงในจิตใจของผมอย่างช้าๆ และไม่รีบร้อน สายใยรักสีม่วงแดงถักทอกลายเป็นผ้าผืนงามที่เรียกว่าความผูกพัน

... ... ...

              มีเรื่องให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อยเมื่อวิชาเทนนิสที่ผมเลือกลงทะเบียนในวันปฐมนิเทศ เวลาเรียนไปซ้อนกับวิชาคอมพิวเตอร์ ตามกฎเกณฑ์ต้องวิชาที่สำคัญน้อยกว่าในกรณีผมคือถอนวิชาเทนนิสแล้วไปเลือกลงวิชา Physical and Recreation หรือวิชากีฬาและนันทนาการแทน และก่อนจะเรียนในวันจันทร์ที่จะถึงก็มีกิจกรรมใหญ่อันแสนหฤโหดในความรู้สึกของผมคือกิจกรรมรับน้องใหญ่ประจำวิทยาเขต พวกรุ่นพี่แนะนำว่าให้หาเสื้อผ้าที่คิดว่าใส่ทีเดียวแล้วทิ้งเลย เพราะต้องเลอะเทอะ แต่ก่อนจะถึงกิจกรรมนั้นมีกิจกรรมวอล์คแรลลี่อุ่นเครื่อง  พวกนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มารวมพลกันที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย เมื่อแบ่งกลุ่มๆ ละ 10 คนโชคดีที่ในกลุ่มของผมมีเจฟอยู่ด้วย และแน่นอนว่าต้องมีชื่อกลุ่ม กลุ่มที่ผมและเจฟต้องร่วมชะตากรรมนั้นมีชื่อว่า “ยังเพ” เป็นภาษาท้องถิ่นปักษ์ใต้ที่มีความหมายว่ามีทุกอย่าง กลุ่มยังเพมีพี่เลี้ยงที่สมาชิกในกลุ่มไปตะลุยในที่ต่างๆ คือ พี่โอ๋สาขาวจก. ปี 2 เริ่มต้นกิจกรรมในฐานหน้ามุขตึกเกือกม้า

              “สวัสดีคะ น้องๆ ทุกคน ฐานนี้มีชื่อว่าแพทซิย่าโซนหรือแพศยาโซนนั่นเองนะคะ ฐานนี้กิจกรรมที่น้องๆ ต้องทำคือบอกใบ้ทายคำ ซึ่งหากทายถูกก็จะมีรางวัลเป็นลูกอม แต่ถ้าทายไม่ถูกก็ต้องโดนลงโทษ เอาล่ะค่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เริ่มต้นกันดีกว่า” พี่ผู้หญิงประจำฐานเกริ่นแนะนำกิจกรรมประจำฐาน พวกเราในกลุ่มยืนเรียงแถวตอนหันไปทางเดียวกัน พวกพี่ๆ บอกคำตอบให้คนสุดท้ายของแถวดำตอบแล้วแสดงท่าทางบอกใบ้โดยไม่พูด มันแน่นอนว่าแต่ละคนที่ผ่านๆ มาก่อนถึงผมท่าทางที่สื่อถึงคำก็ตกหล่นจนหาคำตอบไม่ได้ ผลที่ออกมากลุ่มยังเพทายคำไม่ถูกซึ่งคำเฉลยคือน้ำขึ้นให้รีบตัก กลุ่มยังเพจึงโดนลงโทษด้วยการเป่าแป้งมันในกะละมังทีละคนหน้าตาแต่ละคนเหมือนกุ้งที่คลุกแป้งพร้อมลงทอด พวกพี่ๆ แนะนำสถานที่ในบริเวณฐานกิจกรรมก็เป็นอันเสร็จกิจกรรมในฐานนี้ ทุกฐานก็มีกิจกรรมสนุกๆ ให้เล่น เรียกว่าสนุกสนานแต่เหนื่อยกับการวิ่งรอกไปมา กลุ่มยังเพมาถึงฐานหน้าหอประชุม ฐานนี้เป็นอีกฐานหนึ่งของรุ่นพี่สาขาวจก.ชั้นปี 2 และพี่วู้ดอยู่ในกลุ่ม แน่นอนว่าผมได้รับการต้อนรับจากพี่วู้ดทันทีด้วยสะตอเม็ดเขียวหนึ่งเม็ด อย่างกับว่าแกทราบว่าผมไม่กินสะตอ รสชาติก็พะอืดพะอมสำหรับผมหากเป็นคนอื่นก็คงจะอร่อยเหาะเป็นไปได้

              “ฐานนี้ก็มีกิจกรรมให้พวกน้องๆ กลุ่มยังเพได้ร่วมสนุกกัน น้องๆ จะต้องกรอกน้ำจากกะละมังลงขวดแก้วให้เต็มภายใน 3 นาทีด้วยวิธีการใดก็ได้นะคะแต่พี่ขอเตือนน้องๆ ว่าต้องคิดให้ดีก่อน ย้ำนะคะว่าต้องคิดให้ดี พี่ตูนจับเวลา เริ่มได้” พี่ลิตเติ้ลบอกกับน้องๆ กลุ่มยังเพถึงกิจกรรมในฐานนี้และสั่งให้ผมและเพื่อนๆ เริ่มทำกิจกรรมได้

              ทุกคนในกลุ่มต่างมีความคิดเห็นเป็นของตนเองที่จะใช้อุปกรณ์ต่างๆ ถ่ายเทน้ำจากกะละมังสู่ขวดแก้ว ผึ้งสาขาผลิตกรรมชีวภาพถอดรองเท้าผ้าใบตักน้ำกรอกลงขวด ผมก็ทำตามเธอโดยการถอรองเท้าผ้าใบของผมกรอกน้ำลงขวดแก้ว ปากขวดที่แคบไม่อาจจะรองรับน้ำทั้งหมดได้จึงกระเฉาะออก จนหมดเวลาน้ำในขวดแก้วก็ไม่อาจเต็มได้ ผมและทุกคนรู้สึกเสียดายที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ

              “ทำไมทำกันแบบนี้!” พี่ลิตเติ้ลยเอ็ดตะโรลั่นใส่สมาชิกกลุ่มยังเพทุกคน “บอกแล้วว่าคิดให้ดีก่อนจะทำ สิ่งที่ได้คือน้ำล้างรองเท้าขุ่นๆ เช่นนี้นะเหรอ?” พี่น้อยชูขวดแก้วที่บรรจุน้ำขุ่นสีโคลนที่ปริ่มคอขวด สีหน้าท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว จากนางฟ้าร่างอวบกลายเป็นนางยักษ์ขมูขี ผมหลบตาหล่อนและลอบมองเพื่อนๆ ในกลุ่ม ผึ้งก้มหน้าแต่มีน้ำตาไหล เจฟยืนหน้านิ่งๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำหน้าเจื่อนๆ เหมือนกัน “ขอให้จำไว้เป็นบทเรียน พี่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้น้องๆ คิดให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไป จะทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ใช่ว่าสักแต่ทำให้เสร็จ สุกเอาเผากินอย่างไรฉันไม่สน และนี่คือบทลงโทษที่จะทำให้ทุกคนหลาบจำ อีโอ๋แกกินน้ำในขวดนี้ให้หมด”

              ใจผมแทบจะหยุดเต้น ไม่นึกเลยว่าผลจากการกระทำของผมและเพื่อนๆ จะส่งผลร้ายกาจต่อผู้อื่น

              “เอาจริงๆ เหรอลิตเติ้ล?” พี่โอ๋ถามย้ำด้วยความตกใจ หล่อนคงไม่เชื่อว่าเพื่อนจะทำเพื่อนได้ถึงขนาดนี้

              “เออสิโอ๋ ถ้าแกไม่กินไอพวกนี้มันก็จะได้ใจ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง คนที่เดือดร้อนไม่ได้มีเฉพาะพวกมันเท่านั้น” พี่ลิตเติ้ลยื่นขวดแก้วบรรจุน้ำขุ่นโคลนที่เป็นฝีมือของพวกเราให้พี่โอ๋ เธอรับมาหลับตากระดกดื่ม เธอคงจินตนาการว่ามันเป็นน้ำดื่มปกติที่สามารถดื่มได้แต่เธอไม่ใช่นักแสดงจึงเล่นบทนี้ไม่เก่งผลที่ผมเห็นสีหน้าของเธอบ่งบอกว่าน้ำล้างรองเท้าไม่อร่อยเลย

              “พอเถอะครับพี่โอ๋” เสียงเจฟปราม “ความผิดของพวกผม ผมจะรับผิดชอบเอง” เขาคว้าขวดน้ำล้างรองเท้านั้นมาจากพี่กุ้ง

              “ไม่นะเจฟ เรากินเอง เราทำผิดก็ต้องรับผิด” ผมยื้อแย่งขวดน้ำจากมือของเขา

              “ก็เราบอกแล้วไงแบงค์ เราจะไม่ให้อันตรายใดๆ มาข้องเกี่ยวกับแบงค์” เจฟต่อล้อต่อเถียงกับผม ต่างคนต่างไม่ยอมกัน น้ำล้างรองเท้านั้นกลายเป็นน้ำวิเศษไปเสียแล้ว ผมและเขาต่างขันอาสาดื่มน้ำล้างรองเท้านั้น เพื่อให้อีกฝ่ายรอดปลอดภัย

              “อ้าว! ไม่ต้องเถียงกัน ได้กินทั้งคู่แหละ ตูนไปเอาแก้วมา 2 ใบ” พี่ลิตเติ้ลตัดสินอย่างยุติธรรม พี่ตูนรูมเมทของพี่วู้ดหยิบแก้วน้ำพลาสติกมา 2 ใบรินน้ำล้างรองเท้าจากขวดแก้ว ผมและเจฟหยิบขึ้นมาดื่มคนละแก้ว ผมดื่มรวดเดียวหมดชนิดไม่กลัวตาย รสชาตินั้นหรือ? มันก็เฝื่อนๆ เพราะมันคือน้ำผสมดินนั่นแหละ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ปะปนมาด้วย โชคดีที่ไม่มีแก้วที่สอง กิจกรรมฐานนี้จึงยุติลงด้วยเพราะล่วงเลยเวลามานานมากแล้ว

              หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับกิจกรรมวอล์คแรลลี่ทั่วมหาวิทยาลัย มีเวลาได้พักผ่อนหายใจหายคอ วันนี้เวลาหกโมงเย็นมีการประชุมนักศึกษาที่อยู่หอพักในมหาวิทยาลัยทั้งหมด เรื่องที่ประชุมคือนักศึกษาชายทั้งหมดที่พักอยู่ในหอ 2 ต้องสลับหอพักกับนักศึกษาหญิงที่พักอยู่ที่หอ 5 ในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ประชุมกันเสร็จ เวลาที่เหลือพวกปีหนึ่งก็ใช้เวลาในการล่าประวัติรุ่นพี่พร้อมลายเซ็น ผมโชคดีที่มีเจฟให้ลอกประวัติของรุ่นพี่ ส่วนการได้ลายเซ็นจากพวกรุ่นพี่ก็ต้องอาศัยความสามารถของตนเอง รุ่นพี่บางคนยื่นประวัติให้ตรวจก็เซ็นลายเซ็นให้ทันที บางคนต้องรายงานตัวแนะนำตัวเองให้รุ่นพี่รู้จัก ที่แย่หน่อยกว่าจะได้ลายเซ็นรุ่นพี่ก็ต้องเต้นแร้งเต้นกาทำอะไรก็ตามแต่ที่รุ่นพี่สั่ง สำหรับผมเองก็ได้รับคำสั่งจากพี่อ๊อฟว่าหาประวัติชองพี่เขาให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองหน้ากระดาษเอ 4 แต่ผมก็ไม่ได้สืบหาประวัติพี่อ๊อฟและรุ่นพี่คนอื่นๆ เพราะมีอาการท้องเดินเล่นงานเข้าให้ โชคดีที่ห้องพักของผมอยู่ใกล้ห้องน้ำรวมมากที่สุด มิฉะนั้นคงจะมีเรี่ยราดรายทาง ส่วนเรื่องหาประวัติของพี่อ๊อฟ ผมฝากฝังให้เป็นหน้าที่ของฝนไป เพื่อให้หายกันหลังจากที่ผมไปทำหน้าที่อมขนมคุกกี้แทนเธอ

              ตลอดทั้งคืนนั้นเป็นคืนอันแสนทรมาน ผมถ่ายทุกข์จนไม่มีอะไรจะถ่ายแล้ว ผมแน่ใจแล้วว่าสิ่งผมรับประทานเข้าไปจนผิดสำแดงคือน้ำล้างรองเท้านั่นเอง แต่น่าแปลกที่เจฟไม่มีอาการอะไรเลย คงเป็นเวรเป็นกรรมผมเอง รองเท้าไม่คิดจะซักทำความสะอาดจะท้องเสียตายเพราะน้ำล้างรองเท้าตนเองก็เอาเถอะ สงสารเจ้ารูมเมทผม มันก็ต้องมาทรมานทรกรรมร่วมกันกับผม เนื่องด้วยอาการท้องเสียวิ่งเข้าวิ่งออกรบกวนการนอนหลับของเขา เช้านี้ผมเก็บของอย่างลวกๆ ลงกล่อง บอกอำลาห้อง 2310 ย้ายสู่ห้อง 5413 และต้องขอบคุณเจฟที่ช่วยเหลือในการขนสัมภาระ

              “ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ไปห้องพยาบาลที่หอวิจัยก่อนดีไหม?” เจฟถามขณะที่วางกล่องหนังสือลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ

              “ไม่เป็นไรหรอก เรากินยาเข้าไปแล้ว” ผมพูดปดทั้งๆ ที่รู้สึกว่าตนเองใกล้ตายเต็มทนแล้ว และทุกๆสิ่งพลันวูบดับลง ผมไม่รู้สึกอะไรอีกเลย จนกระทั่ง....

... ... ...

              ผมมารู้สึกตัวอีกทีพบว่าไม่ได้อยู่ที่ห้อง 5413 แล้ว ผมสวมชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียงนอนผู้ป่วยในห้องคนไข้รวมมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ข้างๆ เตียงมีพี่นุคอยเฝ้าอยู่ แสงไฟนีออนที่เรียงอยู่ตรงทางเดินในห้องคนไข้รวมและความไม่พลุกพล่านทำให้ผมคาดเดาว่าเป็นเวลากลางคืน ผมมองไปข้างเตียงเห็นพี่นุอ่านนิตยสารดูแลสุขภาพสำหรับผู้ชายอยู่

              “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” เพราะความป่วยหนักทำให้ผมยังไม่มีพละกำลังพอที่เปล่งเสียงพูดได้อย่างปกติ เสียงเปล่งออกมาแผ่วเบา

              “โล่งอกไปทีที่แกฟื้น ถ้าเป็นอะไรมากไปกว่านี้ใครจะรับผิดชอบ” พี่นุพูดอย่างไม่สบอารมณ์

              “แล้วผมเป็นอะไรครับ และใครไปบอกพี่นุล่ะ”

              “เพื่อนแกที่ชื่อเจฟบอกอาจารย์เกม อาจารย์เป็นธุระเรียกรถพยาบาลและโทรศัพท์บอกกับพี่ตามประวัติที่กรอกไว้ พอมาถึง หมอก็ทำการวินิจฉัยและรักษาอาการ ผลสรุปมาว่าแกท้องเสียอย่างรุนแรงจนขาดน้ำผนวกกับอาการหวัดแดด มันน่าโมโหจริงๆ เล่นบ้าเล่นบออะไรกันก็ไม่รู้ นี่หากแกเป็นอะไรมากไปกว่านี้ใครจะรับผิดชอบ”

              “ช่างเถอะพี่นุ เรื่องมันผ่านไปแล้ว มันเป็นความผิดของผมเอง หากผมใช้สมองอันของผมคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป จะมีกี่คนในโลกนี้ได้กินน้ำล้างรองเท้าของตนเอง” ผมบอกปัดให้พี่นุสบายใจ แต่ความเป็นจริงแล้วมันถูกต้องแล้วหรือที่ปล่อยคนอื่นๆ มาบังคับขู่เข็ญ เพียงแค่อ้างว่าในชีวิตจริงเจอความเลวร้ายมากกว่าสิ่งที่พวกเขาสั่งให้ทำ นี่มันยุคไหนแล้ว ยุคที่ทุกๆ คนแขวนป้ายบอกกับคนในสังคมว่าฉันมีสิทธิและเสรีภาพ คนอื่นๆ ห้ามละเมิดสิทธิและเสรีภาพของฉัน หรือนี่คือกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการเอาคืนจากรุ่นสู่รุ่น กลับมาเรื่องของผมดีกว่า อย่างน้อยการที่ผมมานอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลมันดีกว่าเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ก่อนผมจะป่วยพี่กระดิ่งได้เตือนว่ารับน้องใหญ่จะเป็นกิจกรรมที่สกปรกที่สุดในชีวิตเลยเพราะฉะนั้นให้ใส่เสื้อผ้าแบบที่ใส่ทีเดียวทิ้งเลย ความทรมานทรกรรมจะหนักกว่าการได้ดื่มน้ำล้างรองเท้ามากกว่าหลายเท่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไม่คิดถึงเรื่องลึกลับที่ในโรงพยาบาลที่เคยได้ยินมา

              วันต่อมา... คุณหมอมาตรวจร่างกายแต่เช้า ผลตรวจเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีอาการที่อันตราย คุณหมอยังอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้เพียงแต่ให้ระวังเรื่องอาหารการกินและงดกิจกรรมหนักๆ เพราะพละกำลังยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ พี่นุมารับผมออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายและไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอรถแล่นพ้นประตูมหาวิทยาลัย ผมเห็นภาพบรรยากาศการรับน้องตามสถานที่ต่างๆ ในบริเวณสวนศรีตรัง เนินเขาระหว่างหอประชุมกับตึกเกือกม้า เป็นต้น ผมเห็นพวกเพื่อนๆ ทั้งชายหญิงเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนสีแดง ดินสอพองผสมสี ดูสนุกสนานจนผมเปลี่ยนความคิดจากที่มองการรับน้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่สภาพสังขารผมไม่พร้อมกิจกรรมนั้นจึงงดไปโดยปริยาย ผมเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือนิยายเล่มหนา จนถึงเวลาห้าโมงเศษๆ  ผมได้ยินเสียงพวกเพื่อนๆ ดังเอ็ดตะโรลั่นหอ นั่นแปลว่าพวกเพื่อนๆ กลับกันมาแล้ว มดไขกุญแจเข้ามาในห้องต่างคนต่างตกใจเพราะว่า

              “ไม่คิดว่าจะกลับมาแล้ว” เขาชิงทักทายผมก่อน

              “เลอะขนาดนี้เชียว “ สภาพของมดดูไม่ได้เลย ทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะเปรอะไปด้วยโคลนดินแดง กลิ่นกะปิและปลาร้าที่โชยมาทำไมให้ผมต้องถอยห่าง ผมเดินไปหยิบถุงพลาสติกจากตู้ใส้เสื้อผ้ามาวางไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือของมด “ผลัดผ้าแล้วเอาใส่ถุงโยนทิ้งเลย”

              “คงต้องลงไปล้างตัวที่ข้างล่าง พวกรุ่นพี่ช่วยกันฉีดน้ำล้างอยู่”

              “งั้น! เราจะไปช่วยล้าง” ผมอาสาและตามมดลงไปข้างล่างหอ เพื่อนๆ ที่ผมพบเจอทุกคนสภาพดูไม่ได้เลยสักคน พวกรุ่นพี่ก็ช่วยกันฉีดน้ำทำความสะอาดให้เพื่อนๆ

              “เป็นไง ได้ข่าวขี้รั่วจนเกือบตาย” พี่เบลล์ พี่เทคของผมเอ่ยทักทายเมื่อเห็นผม

              “ดีขึ้นแล้วพี่ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่าย มาถึงก็เห็นเพื่อนๆ เลอะเทอะจนแทบจำไม่ได้” ผมตอบพลางฉีดน้ำจากสายยางชำระล้างความสกปรกออกจากตัวเพื่อนๆ พอล้างเนื้อล้างตัวกันเสร็จแล้ว ผม เจฟ เอ แมน กับพวกผู้หญิงในสาขาวจก. มีตุ่ม แก้ว ชุ ดา และติ๊กนัดแนะไปกินข้าวกันที่ร้านครัวเคียงในอาคารโรงแรม พวกเขาและหล่อนเล่าประสบการณ์การรับน้องที่เจอมาทั้งวันให้ผมฟัง โซนรับน้องของวจก. ดูสนุกและโหดน้อยที่สุด เมื่อมาถึงโซนนี้จะได้รับประทานผักเสี้ยนดองที่เปลี่ยนชื่อเรียกให้หรูหราว่าสาหร่ายสไปรูรีน่า พี่ซอนย่ารับบทเป็นองค์ประทับเจ้าแม่ต้องไปจุดธูปเคารพกราบไหว้(เรื่องพี่ซอนย่ามีองค์ลงนี่ พี่กระดิ่งเล่าให้ฟังในวันหลังว่าไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีเพราะแกเล่นนั่งสั่นไม่หยุดจนป่วยเป็นไข้และปวดเมื่อยไปทั้งตัว) บูชาเจ้าแม่เสร็จต้องลงไปขุดคุ้ยในร่องดินแดงเพื่อหาไข่ต้มมาให้หัวหน้ากลุ่มกิน ความสกปรกในโซนนี้คือการโดนป้ายกะปิและแมงลักตามผมและร่างกาย พวกพี่ๆ เรียกว่าน้ำหอมจากปารีสและวิตามินบำรุงผม ไม่ว่าจะโซนของสาขาวิชาอะไรผลสรุปเละเทะซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกผู้หญิงบ่นอุบว่ากลับไปต้องอาบน้ำอีกหนกลิ่นกิปลาร้าสารพัดสารพันสิ่งของที่มีกลิ่นรุนแรงยังแทรกซึมอยู่ในอณูรูขุมขน

              เช้าวันต่อมา... เป็นวันจันทร์ที่เป็นวันเปิดภาคเรียน นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคนมารวมตัวกันบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกเกือกม้าตั้งแต่เช้าตรู่  ใช่ว่าทางมหาวิทยาลัยจัดตารางเรียนให้ตั้งแต่ไก่โห่หากวันนี้มีกิจกรรมเล็กน้อยคือกิจกรรมติดเข็มผูกไทค์ โดยรุ่นพี่ผู้ชายจะต้องผูกเนคไทค์ให้แก่รุ่นน้องผู้ชาย ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็จะติดเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยตรงปกเสื้อนักศึกษารุ่นน้องผู้หญิง สิ่งเหล่านี้แสดงว่าความเป็นนักศึกษาของผมและพวกเพื่อนๆ สมบูรณ์แล้ว เมื่อเสร็จกิจกรรมส่วนนี้แล้ว ผมไปหาอาหารเช้ารับประทานตรงซุ้มขายอาหารว่างและเครื่องดื่มในบริเวณลานตึกเกือกม้า ยังเหลือเวลาก่อนเข้าเรียนวิชาแรก พวกเพื่อนๆ ในสาขาที่มีรถมีราก็ออกไปหาอะไรรับประทานกันข้างนอกหรือไม่ก็กลับไปหลับเอาแรงที่หอพัก ส่วนพวกที่ไม่มีรถก็ทำอย่างผมคือหาอะไรรับประทานเป็นมื้อเช้าและนั่งพูดคุยกันจนถึงเวลาเก้าโมงเช้า  ผมและเพื่อนๆ ขึ้นสู่ห้อง D266 หรือห้อง 500 ที่เคยใช้เป็นห้องปฐมนิเทศ  วิชาที่เรียนในวันนี้คือวิชา Mangement Science  เป็นวิชาของพื้นฐานของพื้นฐานของสาขาวิชาวิทยาการจัดการ ผมจับจองที่นั่งเตรียมพร้อมที่จะเรียน   อาจารย์รุ้งเป็นผู้สอนวิชานี้ อาจารย์ท่านรูปร่างเล็กผมซอยสั้นและแว่นสายตากรอบสีแดงทำให้ท่านดูอ่อนกว่าซักสองสามปี ชุดสูทกระโปรงสีน้ำตาลเจือแดงทำให้ท่านดูน่าเกรงขามเหมือนอย่างตอนที่ผมเข้ามาสอบสัมภาษณ์ในรอบเอ็นทรานช์ระบบตรง แรกๆ ผมเกร็งจนตอบคำถามตะกุกตะกักแต่อาจารย์รุ่งก็ชวนผมพูดคุยแบบสบายๆ ถามคำถามเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยซึ่งผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิทยาเขตแห่งนี้เพราะเมื่อนึกถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็นึกถึงวิทยาเขตหาดใหญ่ที่มีคณะแพทย์ทำการรักษาผู้ป่วย อนิจจาเขาท่าเพชรบังมหาวิทยาลัยเสียมิดจนไม่มีใครนึกถึงเลย พอผมทราบผลว่าสอบได้ต้องไปตรวจการเพื่อขอใบรับรองแพทย์ คุณหมอผู้หญิงยังแสดงความยินดีว่าผมได้เป็นลูกพระบิดาเดียวกันกับเธอ ตอนนั้นผมก็ยังงงๆ ว่าอะไรคือพระบิดาจนได้มาที่นี่อ่านประวัติของพระองค์ท่านในหนังสือเฟรชชี่ 2004 บังเกิดความเคารพและศรัทธาพระองค์ท่านและจะปฏิบัติตนตามพระปณิธานแห่งพระองค์

              “นักศึกษาคะ อาจารย์จะแจกคอร์สเอาท์ไลน์ให้นักศึกษาเพื่อให้ได้ทราบว่าเนื้อหาการเรียนสอนในวิชานี้เป็นอย่างไร”  ในขณะที่อาจารย์กล่าวเอกสารได้ทยอยส่งมาต่อๆ กันจนมาถึงมือผม 1 ชุด  “อาจารย์อยากให้นักศึกษาดูในเกณฑ์การให้คะแนนโดยที่คะแนนสอบอัตราส่วนคะแนนเก็บต่อคะแนนสอบไฟนอลอยู่ที่ 60:40 อาจารย์คิดจะลดอัตราส่วนคะแนนเป็น 70:30 ดีไหมคะ”

              “ดีค่ะครับ(ค่ะ)”

              “โอ.เค. อาจารย์ก็คงจะต้องมีรายงานกลุ่มเพิ่มมา 1 ชิ้นซึ่งหัวข้อรายงานอาจารย์จะพูดในสัปดาห์ต่อไป ส่วนสัปดาห์นี่ยังไม่มีการเรียนการสอน อาจารย์จะให้แต่ละคนแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร ชื่อเล่น  คติประจำใจเริ่มที่เธอเลย” อาจารย์รุ่งให้หนิงอิงเริ่มต้นแนะนำ ผมฟังเพื่อนๆ แนะนำตนเองบ้างไม่ฟังบ้างเพราะมัวแต่คติประจำตนเอง

              “สวัสดีค่ะชื่อแอนมาจากกรุงเทพค่ะ  คติประจำใจแฟนเหมือนแฟนเรา” เมื่อแอนพูดจบเพื่อนๆ ฮาครืนเลยทีเดียว

              “อันตรายนะคะนักศึกษา เป็นเพื่อนหนูแอนแล้วมีแฟน” ตั้งแต่นั้นมาแอนก็มีฉายาว่าแอนชีแคน

              “สวัสดีครับผมนันทพงศ์ พรหมมาศ ชื่อเล่นเจฟ คติประจำใจไม่หล่อแต่อร่อยครับ”  เจฟไม่ทิ้งลายตลก อยากจะรู้ว่ารสอร่อยของผู้ชายคนนี้เป็นรสอะไร  และก็มาถึงคิวของผม

              “สวัสดีครับ  ผมชื่อพงษ์ชิษณุ สุริยะกุล  ชื่อเล่นแบงค์  คติประจำใจจงเป็นปราชญ์ในหมู่เปรตดีกว่าเป็นเปรตในหมู่ปราชญ์ครับ”

              “แล้วแบงค์คิดว่าตนเองเป็นเปรตหรือปราชญ์จ๊ะ?”  อาจารย์รุ้งยิงคำถามซะฮากันทั้งห้อง

              “ผมยังตอบไม่ได้ครับ ต้องดูกันไปนานๆ “ และในที่สุดการแนะนำตัวของสมาชิกสาขาวจก. จำนวน 120 กว่าชีวิตก็เสร็จสิ้น อาจารย์รุ้งมีจุดประสงค์ข้อหนึ่งของการแนะนำตัวว่าเพื่อให้ตัดสินใจเลือกสมาชิกเข้ากลุ่มทำรายงาน วิชานี้เลิกเรียนสิบโมงครึ่ง เจฟขอให้พวกเราทั้งหมดอยู่ต่อซักนิดเพื่อประชุมสาขา

              “สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคน เราได้รับข่าวมาจากรุ่นพี่มาแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบ” ผมและทุกคนตั้งใจฟังเขาพูด “พี่ๆ บอกว่าพวกปีหนึ่งทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมเชียร์ในเวลาหกโมงเย็น การแต่งกายให้ใส่เสื้อของมหาวิทยาลัยตัวสีฟ้ากางกางขายาวรองเท้าผ้าใบ อีกเรื่องหนึ่งคือแป๊ะบอกว่าทำเสื้อสาขาราคาตัวละ 199 บาทให้เพื่อนๆ บอกไซส์และจ่ายเงินที่ชะภายในวันศุกร์นี้” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทุกคนๆ ตั้งใจฟังเขาพูดราวกับเขาเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกๆ คนให้ความสำคัญ ผู้ชายคนนี้ยามที่อยู่ปกติเขาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลยเป็นผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาธรรมดาๆ แต่หากให้พูดอะไรที่เป็นหลักการ ทุกคนที่ฟังเขาจะหยุดฟังอย่างตั้งใจ

              การเรียนในวันแรกผ่านพ้นไป ผม เจฟและกลุ่มเพื่อนๆ หาอะไรรับประทานกันเสร็จก็แยกย้ายกันอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตามที่เจฟรับคำสั่งจากรุ่นพี่มาบอก จนเกือบหกโมงเย็นพวกปีหนึ่งมารวมตัวกันที่ลานหอวิจัย พวกรุ่นพี่ให้รุ่นน้องปีหนึ่งเดินลงจากเนินเขาสู่หอประชุมเบื้องล่างเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบ เมื่อมาถึงหอประชุม พวกพี่ๆ กรมเจ้าท่าให้พวกเราทั้งหมดทำกิจกรรมสันทนาการจนเพลิดเพลินสนุกสนาน

              “น้องๆ ทุกคนนั่งลงกับพื้นนะคะ พี่แอนเห็นว่าน้องๆ คงจะเหนื่อยกัน พักผ่อนก่อนนะจ๊ะ” พี่แอนให้พวกหยุดพักแล้วก็ออกจากห้องประชุมไปพร้อมกับทีมงานกรมเจ้าท่า ประตูทางเข้าห้องประชุมถูกปิดหมด หลอดไฟนีออนสีขาวรางยาวดับลงเหลือเพียงแสงไฟจากหลอดตะเกียบสีส้มนวลสลัวๆ บรรยากาศเงียบสงัดอย่างไม่เป็นปกติ ความคิดของผมไม่ได้คิดไปในทิศทางที่ดีเลยสักนิดเดียว

              “ปัง! สวัสดีครับ ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้ทุกๆ คน” กลุ่มชายชุดดำเข้ามาในห้องประชุมจากประตูทุกบาน เสียงการเปิดประตู คำทักทายและคำสั่งที่ตะคอกขู่คำรามทำให้ผมรับรู้ได้ว่าการมาของพวกเขาไม่ได้เป็นมิตรเอาเสียเลย ผมและเพื่อนๆ ก้มหน้าลงมองหน้าตักตนเอง เสียงตะโกนกร่นด่าดังลั่นทุกทิศทาง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร?

จบบท

บทที่เกี่ยวข้อง

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 2 สายใยรักสายใยม่วงแดง(ปัจฉิมบท)

    “ก้มหน้า... ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้” เสียงขู่ตะคอกยังคงดังต่อเนื่อง ผมตกใจจนตัวสั่นราวกับหมูที่มาถึงโรงเชือดเพียงแค่เห็นประตูทางเข้าก็ตกใจกลัวจนอุจจาระหดตดหายแล้ว “แต่ละคนเข้ามาอยู่นี่ เอาแต่หนุกกับหรอยลูกเดียว ไม่สาไหรเลย เห็นรุ่นพี่ก็ไม่ไหว้ เห็นอาจารย์ก็ไม่ไหว้ ที่แรงหว่านั้นคือเห็นพระรูปพระบิดาก็ไม่แสดงเคารพเจริญแล้ว” พวกปีหนึ่งโดนตำหนิด้วยสำเนียงภาษาท้องถิ่น ทำให้ผมนึกย้อนถึงตนเอง มันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมคงจะต้องปรับปรุงตนเอง เสียงว๊ากโหวกเหวกดังลั่นห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง พอผมนั่งก้มหน้านานเลือดเริ่มไปเลี้ยงสมองไม่ทันผลลัพธ์คือผมเวียนศีรษะ หน้ามืด “แบงค์ไหวมั้ย?” พี่หมอแฟนหนุ่มของพี่กระดิ่งเข้ามาถาม อันที่จริงแล้วพี่แกชื่อต้า แต่เพื่อนๆ แกลงความเห็นกันว่าแก่หน้าตากระเดียดไปทางพิมพ์นิยมของนักศึกษาแพทย์จึงเรียกว่าหมอมาตลอด พอหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว แกตั้งใจจะเรียนหมอนั่นแห

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 3 เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป

    พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สั

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 4 คนใจบางบางขอจองเธอไว้ในใจ

    โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ... ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม&nbs

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 5 เพื่อนสนิท

    ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทนำ ผู้ชายในฝัน

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมเสื้อดึงคอ ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มปักเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงามันเลื่อม กำลังเดินขึ้นเขาเพราะตรงเชิงเขามีหอพักตั้งอยู่ จู่ๆ ฝนกระหน่ำตกลงมา “แย่จัง” เขาบ่นแล้วรีบวิ่งขึ้นเขา ปี๊นๆ เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังมา ทำให้เขาหยุดดู ใครกันหนอ เห็นหน้าไม่ชัดเลยใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ “ไปกับเรา” เสียงหนุ่มแวนซ์ปริศนาใส่เสื้อโปโลปักตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยสีม่วงจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ข้างทางแล้วคว้ามือเขาวิ่งนำพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องเล็กๆ ปิดตายไว้ “นี่มันอะไรกัน” เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มที่นำพาเขามาที่แห่งนี้ถอดหมวกันน็อคออก ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ถามว่าหน้าตาดีไหมก็ตอบว่าพาไปวัดตอนสายๆ ควงได้ไม่อายพระเณรหรอกหนา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนแต่ผิวพรรณไม่ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำ หน้าตาพิมพ์นี้เรียกว่าหน้าหยก ยังกับดาราฮ่องกง “กูรักมึงนะแบงค์” ห

บทล่าสุด

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 5 เพื่อนสนิท

    ความสัมพันธ์ระหว่างผม เจฟ และพี่ตงยังคงคุลมเครือเหมือนท้องฟ้าสีหม่นในวันเปิดเรียนวันแรกของภาคเรียนที่ 2 ผมกั๊กพี่ตงไว้อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกกับเจฟเกินเลยคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นรอยยิ้มที่เผยฟันไม่เป็นระเบียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษอะไรเลย หากบัดนี้รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามันมีคุณค่า ด้วยอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจทำให้ผมไม่อาจเผยความจริงออกไปได้ ผมแสดงออกกับเจฟด้วยการเว้นระยะห่างความสัมพันธ์ ไม่วุ่นวาย ไม่สุงสิงกับเจฟ จนเขาสังเกตเห็นท่าทีของผม เขานัดผมให้ขึ้นมาคุยกัน ณ ศาลาจานบินในค่ำคืนวันที่ 3 ของภาคเรียนที่ 2 “ปิดเทอมไปเนี่ย แบงค์ไปทำอะไรมาบ้างล่ะ?” เจฟไต่ถาม “อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มีเรื่องพิเศษนิดนึงตรงที่พี่นุซื้อรถเครื่องคันใหม่เป็นของขวัญที่เราเอ็นท์ติดหลังจากค้างไว้เทอมนึงเต็มๆ เจฟคงเห็นแล้วแหละ เพราะเราเอามาใช้ที่นี่” ผมตอ

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 4 คนใจบางบางขอจองเธอไว้ในใจ

    โลกแห่งความฝันมักสวยงามเสมอ... ผ่านกิจกรรมรับน้องมา ชีวิตของผมปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว การสอบกลางภาคมาถึงในช่วงกลางเดือนสิงหาคม พวกเพื่อนๆ ของผมดูเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบ สำหรับผมแล้วนอกจากเคร่งเครียดเรื่องเรียนแล้ว ผมยังกังวลเรื่องความรักของผมที่มีต่อพี่ตง ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเลย ผ่านพ้นคืนเฟรชชี่ไนท์มา ผมก็ไม่ได้พบกับพี่ตงเลย ในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันของมันสวนทางกัน อย่างที่ผมบอกไปในโลกของความจริงความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตงไม่ถึงไหนเป็นได้เพียงแค่พี่สาขากับน้องสาขา ส่วนในโลกแห่งความฝันผมกับพี่เขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็นความรักที่ใครๆ อิจฉา ความคิดคำนึงถึงพี่ตงแสดงออกมาที่สีหน้าของผม เจฟสังเกตเห็นแล้วพูดคุยกับผมเรื่องนี้อย่างจริงจังในเย็นวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปราย ผมยืนมองทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตรงหลังระเบียงห้องเจฟ เขาชงช็อคโกแลตร้อนให้ผมดื่ม&nbs

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 3 เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป

    พวกเรากลับมาถึงในเย็นวันเสาร์ สุดสัปดาห์นี้ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมเลยกลับบ้านเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเอาผ้าไปซักที่บ้าน ไปรับแว่นสายตาที่สั่งตัดเอาไว้ และที่สำคัญคือ ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟที่ตลาดสดชั้น 2 เดินดูสินค้ากิฟต์ช็อป การเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เจฟเป็นโจทย์ยากเหมือนกัน ผมถูกใจกับตุ๊กตาหมีสีฟ้าขนาดน่ากอดที่อยู่ในกรงไม้ หลังจากต่อรองราคากับแม่ค้าจนเป็นที่น่าพอใจแล้วซื้อมันมา ผมให้พี่นุมาส่งที่หอพักมหาวิทยาลัยเกือบๆ 7 โมงเช้าเท่าที่ผมทั่วบริเวณหอทุกหอเงียบเชียบกว่าครั้งอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะมีความเคลื่อนไหวบ้างเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ วันเริ่มต้นการเรียนในสัปดาห์ ผมเข้าห้อง 5413 ก็พบความผิดปกติคือ มดไม่อยู่แต่บนโต๊ะของเขามีถ้วยกระเบื้องบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังรับประทานไม่หมดทิ้งไว้จนอืดและบูด ผมพลาดอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ถ้ามีกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า ผมก็คงจะเห็นตามทางที่ผ่านมา ความสงสัยนี้ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมจึงนึกถึงเจฟเลยไปหาเขาที่ห้อง 5401 ผมเคาะประตูเรียกคนในห้องได้สั

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 2 สายใยรักสายใยม่วงแดง(ปัจฉิมบท)

    “ก้มหน้า... ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้” เสียงขู่ตะคอกยังคงดังต่อเนื่อง ผมตกใจจนตัวสั่นราวกับหมูที่มาถึงโรงเชือดเพียงแค่เห็นประตูทางเข้าก็ตกใจกลัวจนอุจจาระหดตดหายแล้ว “แต่ละคนเข้ามาอยู่นี่ เอาแต่หนุกกับหรอยลูกเดียว ไม่สาไหรเลย เห็นรุ่นพี่ก็ไม่ไหว้ เห็นอาจารย์ก็ไม่ไหว้ ที่แรงหว่านั้นคือเห็นพระรูปพระบิดาก็ไม่แสดงเคารพเจริญแล้ว” พวกปีหนึ่งโดนตำหนิด้วยสำเนียงภาษาท้องถิ่น ทำให้ผมนึกย้อนถึงตนเอง มันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมคงจะต้องปรับปรุงตนเอง เสียงว๊ากโหวกเหวกดังลั่นห้องประชุมอย่างต่อเนื่อง พอผมนั่งก้มหน้านานเลือดเริ่มไปเลี้ยงสมองไม่ทันผลลัพธ์คือผมเวียนศีรษะ หน้ามืด “แบงค์ไหวมั้ย?” พี่หมอแฟนหนุ่มของพี่กระดิ่งเข้ามาถาม อันที่จริงแล้วพี่แกชื่อต้า แต่เพื่อนๆ แกลงความเห็นกันว่าแก่หน้าตากระเดียดไปทางพิมพ์นิยมของนักศึกษาแพทย์จึงเรียกว่าหมอมาตลอด พอหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว แกตั้งใจจะเรียนหมอนั่นแห

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทที่ 1 สายใยรักสายใยม่วงแดง(ปฐมบท)

    ปลายเดือนพฤษภาคม... วันที่ผมย้ายเข้าหอพักภายในมหาวิทยาลัยเป็นวันอาทิตย์ที่อากาศแจ่มใส ผู้ที่มาส่งผมก็พี่ชายเจ้าเก่าหน้าเดิม ขับรถมาส่งตามเคย หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ตรงเชิงเขาท่าเพชร ก่อนอื่นผมไปติดต่อรับกุญแจห้องพักที่สำนักงานหอพักตรงหอ 2 เพื่อนๆ นักศึกษาทั้งชายและหญิงที่มีภูมิลำเนาไกลๆ เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว บรรยากาศบริเวณหอพักทั้ง 5 หอคึกคักคลาคล่ำด้วยผู้คน ผมเซ็นชื่อแล้วรับกุญแจห้อง ผมได้กุญแจห้องหมายเลข 2310 หอพักชายไม่ต้องเดินไปไกล เพราะหอพัก 2 อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานหอพักยังเป็นหอพักชายอีกด้วย “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม? พี่จะกลับแล้วนะ” พี่นุบอกกับผม หลังจากที่เขาวางตะกร้าใส่เสื้อผ้าของผมลงพื้นในห้อง “ครับ” ผมเดินลงไปส่งพี่นุตรงลานจอดรถ ผมเห็นว่ามีซุ้มขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มของชมรมอาสาพัฒนาตั้งอยู่เลยลองไปประเดิมอุดหนุนสักหน่อย “เอาอะไรดีจ๊ะ” พี่ผู้หญิงผมซอยสั้นเอ่ยทักผม นอกเหนือจากเธอแล้ว ยังมีเพื่อนๆ ของเธออีก 4 คนเป็นผู้ชาย 1 หญิง 3 คน “ชาเขียวรสมะนาวหนึ่งกล่องครับ” “มาใหม่ล่ะซี อยู่สา

  • น้ำค้างมองพระจันทร์   บทนำ ผู้ชายในฝัน

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นติดกระดุมเสื้อดึงคอ ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มปักเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงามันเลื่อม กำลังเดินขึ้นเขาเพราะตรงเชิงเขามีหอพักตั้งอยู่ จู่ๆ ฝนกระหน่ำตกลงมา “แย่จัง” เขาบ่นแล้วรีบวิ่งขึ้นเขา ปี๊นๆ เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังไล่หลังมา ทำให้เขาหยุดดู ใครกันหนอ เห็นหน้าไม่ชัดเลยใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ “ไปกับเรา” เสียงหนุ่มแวนซ์ปริศนาใส่เสื้อโปโลปักตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยสีม่วงจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้ข้างทางแล้วคว้ามือเขาวิ่งนำพาไปสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องเล็กๆ ปิดตายไว้ “นี่มันอะไรกัน” เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มที่นำพาเขามาที่แห่งนี้ถอดหมวกันน็อคออก ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ถามว่าหน้าตาดีไหมก็ตอบว่าพาไปวัดตอนสายๆ ควงได้ไม่อายพระเณรหรอกหนา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนแต่ผิวพรรณไม่ขาวจั๊วะ แต่ก็ไม่ได้ดำคล้ำ หน้าตาพิมพ์นี้เรียกว่าหน้าหยก ยังกับดาราฮ่องกง “กูรักมึงนะแบงค์” ห

DMCA.com Protection Status