[2]
ห้ามใจไม่ให้รักเธอ ____________________ ตะวันขึ้นตรงศีรษะตอนที่ชลกรจอดรถภายในลานจอดของโรงแรมแห่งหนึ่ง ริมชายหาดสัตหีบจังหวัดชลบุรี มันเป็นโรงแรมมีชื่อทีเดียว และภาวนาขอให้มีห้องว่างสักห้องตอนฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ เขาจำต้องกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้งเมื่อแสงแดดที่แผดเหนือหัวกำลังจะย่างสดให้ผิวขาวๆ แห้งกรอบ ปรายรุ้งขยับกายยุกยิกแล้วปรือตาขึ้นมาพอดี หล่อนคงง่วงเอามากๆ เพราะไม่ตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดการเดินทาง “โอ...เจ้าหญิงนิทราฟื้นแล้ว” เขาแซวแล้วยิ้มขบขัน หยิบกระดาษเช็ดหน้าที่อยู่หน้ารถมาซับที่มุมปากของแม่นักศึกษาสาว ท่ามกลางการปัดป้องด้วยงัวเงียของหล่อน “อะไรของคุณ ไม่เอา” ปฏิเสธกระดาษเนื้อนุ่มแล้วลุกนั่งดีๆ หลังจากที่เอนหลังหลับสบายไปหลายตื่น “เอาไปเถอะน่า ยัยซกมกเอ๊ย นอนน้ำลายยืด” “ว่าไงนะ!?” ปรายรุ้งรีบหากระจกมาส่องดูสภาพหนังหน้า แล้วดวงตาสาวเจ้าก็ได้เบิกโตเมื่อเห็นร่องรอยของน้ำลายไหลย้อยที่ชลกรว่า “หึๆ ไม่ทันละ ฉันเห็นความทุเรศของเธอหมดแล้ว ฮ่าๆๆ” “อ๊าย! อีตาบ้าเอ๊ย! ทำไมไม่ปลุกฉัน!” ปรายรุ้งหน้าเง้าหน้างอ อยากฆ่าคนที่ได้เห็นตัวเองนอนน้ำลายยืด เขาน่าจะปลุกเธอบ้าง สะกิดกันหน่อยก็ยังดี “เอาน่า เรื่องธรรมชาติ แล้วนี่...ไม่ตกใจบ้างเหรอ นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ นะ” เขาท้วงเพราะหล่อนไม่มีวี่แววว่าจะตกใจเลยสักนิดที่ตื่นมาในที่ที่ไม่ใช่เมืองกรุงฯ “ต้องตกใจทำไม นี่ถิ่นฉัน โรงแรมนี่ฉันก็เห็นมาตั้งแต่เกิด” “หมายความว่าไง?” “ก็แถวนี้บ้านเกิดฉัน คุณเช็คอินยังเนี่ย” “ยัง เพิ่งมาถึง เข้าเช็คอินเลยไหม ค้างสักคืน ฉลองสอบเสร็จ” แนะแล้วยิ้มจนตาหยี เรื่องกินเรื่องเที่ยวขอให้บอก ชลกรถนัดครับ “ไม่ เปลืองตังค์ นอนบ้านฉันดีกว่า ขับรถไปตามถนนด้านหลังโรงแรม เลียบหาดไปสามกิโลฯ ก็ถึงแล้ว หมู่บ้านชาวประมงน่ะ” “หือ? น่าสนุก” เขาเอ่ยแล้วเริ่มสตาร์ตรถ ในขณะที่หญิงสาวเริ่มเก็บข้าวของที่ทิ้งไว้ในรถเขาตั้งแต่เมื่อเช้า สลับกับบอกทางเขาเป็นระยะ ที่นี่คือบ้านเกิดของปรายรุ้ง บ้านเกิดที่มีความทรงจำแสนเศร้าเหลือเกิน ____________________ บนถนนที่มีต้นมะพร้าวสูงชะลูดปลูกไว้เป็นแนวยาว คือสถานที่ที่ชลกรจอดรถเก๋งคันโก้ของเอาไว้ บ้านหลังไม่ใหญ่ไม่โตที่สร้างอยู่ริมหาดคือบ้านที่ปรายรุ้งบอกว่าคือบ้านของตัวเอง มันไร้ความสวยงามใดๆ และคงจะพังแน่ๆ หากว่าพายุเข้าสักลูกสองลูกในเร็ววันนี้ ตัวบ้านสร้างจากไม้เก่าๆ หลังคาสังกะสี มีหน้าต่างอยู่หลายบาน แต่ที่น่าสยองก็คือเสาบ้านทุกต้นมันจุ่มลงไปในน้ำทะเล เสายาวๆ ผอมๆ ของมันชวนให้เขาไม่มั่นใจว่าบ้านหลังนี้จะสามารถรับน้ำหนักผู้อยู่อาศัยได้ “เดินไปสิคุณ” ปรายรุ้งบอกขณะถอดรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่แล้วก้าวขึ้นไปบนสะพานไม้โกโรโกโสที่ทอดลงไปในทะเล มันเชื่อมบ้านหลังน้อยของเธอไว้กับผืนดิน บ้านเก่าลงไปมากโข แต่ยังนับว่าดูดีเมื่อเทียบกับอายุของมัน “เธอเคยอยู่ที่นี่เหรอ” “อาฮะ ตอนเด็กๆ ก็วิ่งไล่จับปูลมแถวนี้แหละ พอโตขึ้นมาหน่อยก็หาของไปขายให้กับชาวต่างชาติ พวกนักท่องเที่ยวน่ะ สนุกดี ได้เงินด้วย” “ความจนเป็นเรื่องสนุกเหรอ” เขาถามอีก ไม่ได้มีเจตนาประชด แต่มันอดไม่ได้ ปรายรุ้งดูมีความสุขทั้งที่มันมิใช่วิสัยของเด็ก ตอนเด็กเขายังสนุกอยู่กับการเล่นรถบังคับด้วยซ้ำ ไม่รู้เลยว่าการหาเงินเป็นอย่างไร แม้ตอนนี้ทำงานแล้ว แต่ก็ยังถือว่าสบายกว่าคนอื่นๆ “ไม่หรอก ความจนไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เราหาความสุขจากมันได้ เอ่อ...คุณกลัวไหม” ถามแล้วหันมามองคนที่เดินตามมา เขาตามมาห่างๆ ค่อยๆ เกาะเสาสะพานไม้มาเรื่อยๆ สะพานมันแคบและสูงมาก เขาคงจะกลัวกระมัง ปรายรุ้งหอบข้าวของตัวเองรวมทั้งรองเท้าไว้ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวายื่นไปหาคนที่เดินตามหลังมา “มานี่มา จับมือฉันไว้ ไม่รู้จะกลัวอะไรสิน่า” “กลัวมันหักน่ะสิ” ตอบแล้วยื่นมือมากุมมือหญิงสาว วินาทีแรกที่ฝ่ามือทั้งสองสัมผัสกัน ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ปรายรุ้งหน้าแดง ในขณะที่ชลกรรู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือผู้หญิง แต่มันไม่เหมือนครั้งนี้ มีบางอย่างกระทำต่อหัวใจเขา บางอย่างที่ส่งตรงมาจากมือบางของปรายรุ้งและสองตาประหม่าเขินของหล่อน “เดินสิคุณ จะโดนตากแห้งอยู่แล้ว” เอ่ยแก้เก้อแล้วดึงให้เขาเดินตามมา ชายชราวัยห้าสิบปลายๆ เดินออกมาเมียงมองที่หน้าประตูบ้าน แล้วท่านก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของปรายรุ้งชัดๆ “ยัยปราย!” “พ่อ! คิดถึง!!” ปรายรุ้งปล่อยมือชลกรในทันที เขาหาที่เกาะแทบไม่ทัน เกือบจะร่วงลงไปในทะเลแล้ว สองพ่อลูกโผกอดกันด้วยความคิดถึง ประดับ ปิ่นประดับ ยิ้มไม่หุบ การพบเจอบุตรสาวที่เข้าไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงฯ โดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้ท่านอดตื่นเต้นไม่ได้ “เอ็งมาได้ยังไงฮึ ไม่ต้องเรียนหนังสือเหรอ” ดันร่างบุตรสาวออกแล้วถามไถ่ความเป็นไป “สอบตัวสุดท้ายแล้วจ้า เลยแวะมาหาพ่อก่อน” ลูกสาวคนดียิ้มสวย ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเข้าใจ ลูบหัวลูกอีกสองสามที แล้วก็ได้เห็นว่าบุตรสาวไม่ได้มาคนเดียว “เฮ้ย! นี่เอ็งมีผัวแล้วเหรอ” “ไม่ใช่จ้ะพ่อ! ไม่ใช่! เขาเป็น...เอ่อ...” ปรายรุ้งจนใจเมื่อไม่รู้จะจัดชลกรไว้ในสถานะไหนสำหรับตัวเอง“ช่างเถอะน่า ข้าไม่อยากยุ่งหรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้าเอ็งจะมีผัวก็ตามใจเถอะ ขอให้เอ็งมีความสุขก็พอ” นายประดับบอกลูก ตั้งแต่โตมาปรายรุ้งไม่เคยทำให้ท่านต้องเสียใจ ตั้งใจเรียนและทำงานมาตลอด ส่วนเรื่องของหัวใจนั้น ท่านบังคับไม่ได้ สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ถ้าไม่ทำใจยอมรับ ก็คงต้องเป็นทุกข์อกแตกตายเท่านั้นเอง“โธ่...พ่อ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิน่า หนูยังเวอร์จิ้น เชื่อสิ!”คนเป็นลูกยืนกรานแต่คนเป็นพ่อส่ายหน้ารัวๆ จังหวะเดียวกันนั้นชลกรก็ไต่สะพานมาถึงตัวบ้านพอดี“สวัสดีครับคุณพ่อ”“นั่นไง ไหนเอ็งบอกไม่ใช่ผัว แล้วทำไมไอ้หนุ่มนี่เรียกข้าว่าพ่อวะ”ประดับเถียงจริงจัง ปรายรุ้งเกาหัวแกรกๆ ปวดกบาลเต็มที“โธ่...เขาก็เรียกตามหนูน่ะ โอ๊ย...จะบ้าตาย เข้ามาก่อนสิคุณ ชอบยืนอาบแดดหรือไง หน้าแดงหมดแล้ว” ท้วงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วดึงบิดาให้เข้ามาในบ้านนายประดับไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงเลแบบง่ายๆ และหันหน้าเข้าหาอวนที่ชำรุด ท่านกำลังซ่อมมันอยู่ จากอวนสามสิบหลังที่มี ประดับจะออกไปวางอวนในตอนกลางคืน และกลับมาในตอนเช้า แล้วแต่อารมณ์ว่าจะวางอวนกี่รอบ ท
นางเช่า##########บทนำ##########วันที่ 12 สิงหาคม ในปีหนึ่งเมื่อครั้งอดีตดอกมะลิตูมเต่งดอกหนึ่งกำลังถูกลิดให้หลุดร่อนออกจากมาลัยพวงงาม จะเหลือก็เพียงเชือกด้ายสีขาวที่ร้อยมันไว้กับอุบะกุหลาบสีแดงเท่านั้น ดวงตาสีน้ำตาลทองของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบจ้องมองสิ่งที่ร่วงหล่นบนหน้าตักอย่างเคืองใจ ตั้งแต่อนุบาลจนขึ้นชั้นประถมหนึ่ง ไม่มีเลยสักครั้งที่มาลัยดอกมะลิจะถูกวางบนตักของมารดาในวันสำคัญเช่นนี้เวลานี้นักเรียนทุกคนต่างกำลังซาบซึ้งต่อพระคุณแม่อยู่ ณ ลานอเนกประสงค์ สถานที่กิจกรรมของโรงเรียน คงมีเพียงเด็กชายตัวน้อยหน้าขาวคมเท่านั้น ที่หลบกายซ่อนเร้นให้ห่างจากสายตาผู้คนเด็กน้อยขมขื่นใจเกินจะกล่าว เพราะหากเขาเป็นเด็กกำพร้าคงไม่เจ็บปวดเท่านี้ แต่นี่ไม่ใช่เลย บิดามารดาทั้งสองของเขายังอยู่ครบ และมารดาเลือกที่จะไม่มาที่นี่ในวันนี้ เลือกที่จะให้เขาเจ็บปวดอ้างว้างอยู่ ณ มุมหนึ่งของห้องเรียนตามลำพัง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกปฏิบัติจากบิดามารดา ท่านทั้งสองไม่ได้เพิกเฉยต่อเงินทองและสิ่งที่เขาชี้นิ้วปรารถนา แต่ท่านมิเคยให้ในสิ่งที่เด็กอย่างเขาต้องการอย่างแท้จริงพี่สาวของเขามักแก้ต่างแทนเสมอว่าบิดามารดาต้
[1]นางเช่าแสบสะเด็ด_______________________ปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันผ้าซาตินผืนบางที่ปกติใช้คลุมเตียง ถูกดึงมาพันร่างอรชรที่เปลือยเปล่า ทรายทอง เลิศทินกร มักทำเช่นนี้เสมอจนกลายเป็นนิสัย การร่วมรักอย่างหักโหมสูบเรี่ยวแรงของเธอไปเกือบหมด มิเหลือแม้แต่จะลุกไปหาเสื้อผ้าอาภรณ์มาสวม นาฬิกาบนผนังบอกเวลาใกล้ตีห้าเต็มที และน่าดีใจนักที่เวลานอนของเธอกำลังจะมาเยือนติ๊ง!เสียงข้อความดังขึ้นที่สมาร์ตโฟนซึ่งวางอยู่ข้างหมอน หญิงสาวเหลือบตามอง มันเป็นข้อความจากแอปฯ ธนาคาร แจ้งว่ามีเงินโอนเข้ามา เธอขยับไปนั่งที่ปลายเตียง เหน็บปมผ้าซาตินให้แน่นในร่องอกอวบอิ่ม เขาอยู่ตรงหน้าเธอ กำลังโอนเงินค่าเช่ามาให้ ค่าเช่า...ในสิ่งที่เขาเพิ่งตักตวงจากร่างกายของเธอนี่อย่างไร“คืนนี้สามรอบ ฉันจ่ายสามหมื่น แต่วันมะรืนฉันต้องไปพบลูกค้าที่พัทยา เธอต้องไปกับฉันด้วย นั่นค่าตัวของเธอ”ทรายทองหยิบสมาร์ตโฟนมาพิจารณาอย่างเพลียๆ ทว่าพอเห็นตัวเลขในข้อความชัดๆ ก็ต้องมุ่นคิ้ว “คุณจ่ายเกินมาห้าหมื่นค่ะ”“นั่นค่าเสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เธอดูดีมีราคามากกว่าเมียเช่าฝรั่งที่มีออกเกลื่อน ทำตัวให้เหมือนคู่ควง เพราะเธอต้องพบลูกค้า
“เธอพูดเล่นใช่ไหม”“พูดจริงค่ะ”ทรายทองโป้ปด เพราะเกรงใจเขาเสมอมา การรับงานแต่ละครั้งจึงอยู่บนพื้นฐานขอบเขตที่จำกัด ไม่ขึ้นเตียง ไม่จูบ ได้แค่โอบกอด พูดคุย เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว จบงานก็จ่ายเงิน ไม่มีการค้างคืน หากแต่จงใจให้อังเดรเข้าใจไปอีกอย่าง บางครั้ง...ก็นึกอยากให้เขาหวงหึงทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้อังเดรพ่นลมหายใจแรงๆ โกรธที่ได้ฟังในสิ่งที่ไม่อยากฟัง หากหล่อนเลื่อนฐานะมาเป็นผู้หญิงของเขาละก็ อย่าหวังเลยว่าจะได้มีเวลาไปอ่อยผู้ชายคนอื่น แต่เห็นได้ชัดแล้วว่าทรายทองเป็นนางเช่าที่แสนฉลาดเหลือเกิน“อีกสามวันจะมารับแล้วกัน เตรียมตัวไว้ด้วย จัดกระเป๋าเผื่อไปสักสามสี่ชุดนะ”“ค่ะ แล้วคุณจะไม่มาอีกหรือคะ อีกตั้งสามวันนะ”“ฉันงานยุ่ง คงไม่ได้มา”“ว้า...แย่จัง ว่างงานตั้งสามวันเลยหรือนี่ สงสัยต้องโทรหาลูกค้าคนอื่นบ้างละ”“อย่าได้คิดทำแบบนั้นเชียวนะ เพลาๆ ลงซะบ้างเถอะเรื่องอย่างว่าน่ะ ที่ฉันปรนเปรอให้ไม่พอหรือไง แรงลุกมานั่งยังแทบจะไม่มีเลย”อังเดรว่าอย่างเคืองๆ ทรายทองชอบกวนประสาทเขาแบบนี้เสมอ หล่อนรู้ว่าเขายั่วขึ้นในเรื่องนี้“แหม...คุณเอื้อขา หลับสักตื่นทรายก็ฟื้นคืนชีพแล้วค่ะ รับคืนละสองค
EP 1/3 นางเช่าแสบสะเด็ด“มันโอเคใช่ไหมพี่” ถามคนที่รักเหมือนพี่สาวอย่างกังวล เธอรักทรายทองมาก แม้ว่าไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ก็ตาม พวกเธอเจอกันที่ DC ทรายทองเป็นเด็กไซด์ไลน์นั่งดื่มกับแขก ส่วนเธอเป็นสาวเสิร์ฟ ไม่รู้อะไรดลใจให้ทรายทองเอ็นดูเธอ แต่หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง หลังจากที่เธอไปทำงานที่นั่น ทรายทองก็ชวนให้มาอยู่บ้านนี้ด้วยกัน เดือนไหนเงินของเธอไม่พอใช้ ทรายทองจะหยิบยื่นให้เสมอ รวมถึงค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในบ้านนี้ด้วย พวกเธอกินข้าวด้วยกัน ดูหนังฟังเพลง ซื้อเครื่องสำอางบ้าง บางทีก็แย่งเสื้อกันเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ เธอสุขใจที่เป็นแบบนี้ แม้ว่าสายตาที่คนอื่นมองมา มักกล่าวหาว่าทรายทองเลี้ยงเธอไว้ใช้งานเหมือนเบ๊ก็ตาม“ไม่โอเคแน่ๆ แต่ฉันเบื่อจะรบกับคุณเอื้อ ฉันเหนื่อย ฉันจะนอน” แล้วทรายทองก็ล้มกายลงนอน ในขณะที่ปรายรุ้งทำหน้ายู่“ก็เพลาๆ ลงบ้างสิคะ เรื่องกินเรื่องเที่ยวน่ะ เรื่องอย่างว่าด้วย กว่าจะได้แต่งงานกับใครสักคนก็พังพอดี”“เรื่องแรกฉันพอทำได้นะปราย แต่ถ้าเรื่องหลังละก็ แกไปบอกคุณเอื้อของแกสิ เขาถนอมฉันมากเลยล่ะ!” ตอบแบบประชด ด้วยรู้ว่ายัยตัวดีที่ชื่อปรายรุ้งนี่แหละที่ชอบคาบข่าวเธอไปบอกอังเดร
คฤหาสน์อัชวิน เจ็ดโมงเช้าเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ เจ้าบ้านสาวใหญ่ในวัยสี่สิบห้าปี ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ราวกับต้องของร้อน เธอเดินไปหาคนที่เฝ้ารอ เขากำลังก้าวเข้ามาในบ้าน สีหน้าดูดีกว่าตอนที่ออกไปทำงานเมื่อวานนี้“กลับมาได้แล้วสินะ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยนี้ซะที อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว”อุษณี อัชวิน พี่สาวที่ยังดูสาวเกินอายุ ว่ากระทบน้องชาย คฤหาสน์หลังใหญ่ในเวลานี้เหลือเพียงสองพี่น้องอยู่อาศัย ด้วยว่าบิดามารดาล้มหายตายจากไปสิ้นแล้ว“พี่เลิกถามผมเมื่อไหร่ ผมก็จะเลิกเมื่อนั้น”“ตาเอื้อ! อย่ามายอกย้อนฉัน ฉันเป็นพี่แก ฉันแค่อยากให้แกแต่งงานมีครอบครัวซะที ปีหน้าแกจะสามสิบแล้วนะ” อุษณีเอ่ยเตือน ด้วยอยากให้อังเดรลงหลักปักฐานไปกับใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ทรายทอง เมียเช่าจากบาร์เหล้าที่พัทยา“ใช่ครับ ปีหน้าผมจะสามสิบ แล้วพี่ล่ะ ปีหน้าจะสี่สิบหกแล้วนะ แต่งๆ ไปกับใครสักคนเถอะครับ จะได้เลิกมาบงการชีวิตผมซะที”“ตาเอื้อ!?”“ครับพี่...” ตอบพี่สาวอย่างเพลียใจพลางจ้องมองใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มไว้ด้วยเครื่องสำอาง หากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าอุษณีอายุสี่สิบห้าแล้ว หล่อนยังสวย หุ่นบางร่างเล็กและยังทร
เสียงที่ออกแนวทะลึ่งทะเล้นดังมาจากรถที่จอดเทียบรถหญิงสาวอยู่ ปรายรุ้งกลอกตามองฟ้า อีตาบ้านี่จะอะไรกับเธอนักหนานะ ชอบกวนประสาทจริงๆ ทำไมสวรรค์ต้องบันดาลให้เขามาเจอเธอในสภาพนี้ด้วย โธ่เอ๊ย!“อย่าเพิ่งกวนประสาทฉันได้ไหม ไหนๆ คุณก็แวะมาดูแล้ว พอจะรู้จักเบอร์อู่ซ่อมหรือเปล่า ฉันต้องรีบใช้รถ” ปรายรุ้งร้องขอดีๆ เขายังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแบบทันสมัยแต่สภาพยับหน่อยๆ คงเพิ่งออกมาจากโรงแรมกับอีหนูสักคนละมั้ง เมื่อคืนเขานั่งดื่มที่ DC จนผับเกือบปิดถึงค่อยกลับ“ก็พอจะรู้จักละนะ แต่คงอีกนานกว่าจะเรียบร้อย เธอจะอยู่ที่นี่ในสภาพนี้เหรอ เพิ่งไปปาร์ตี้ชุดนอนมาหรือไง”ชลกร วัฒนากูร บุรุษหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบหกเศษๆ แกล้งแซวแล้วอมยิ้ม ด้วยขำแม่สาวร่างบางที่อยู่ในชุดนอนเหมือนสาว หล่อนเหมือนเด็กมัธยมที่ไร้ความเซ็กซี่ในชุดนอนลายการ์ตูน“แล้วมันนานไหม กว่าจะเสร็จ”“ไม่รู้สิ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้โทรเรียกช่างเลย เธอคิดว่ามันจะนานไหมล่ะ”ปรายรุ้งหลับตาแน่นเพื่อระงับโทสะจากวาจาพ่อพลเมืองดี“โธ่...เอาไงดีนะ เอาไงดี” ถามตัวเองรัวๆ แล้วหันไปหาที่พึ่งสุดท้ายท
พอปรายรุ้งเดินจากไป ชลกรก็ยกหูโทรศัพท์โทรหาอู่รถเจ้าประจำเพื่อมาลากรถของปรายรุ้งไปจัดการ ก่อนจะหาที่ทางอาบน้ำแล้วกลับมารอเจ้าหล่อนที่นี่ มันแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าปรายรุ้งเป็นภาระ แต่กลับรู้สึกสนุก และอยากอยู่กับหล่อน เขาเหมาเอาว่าความรู้สึกที่เป็นเกิดเพราะความน่ารักสดใสของปรายรุ้ง และความซื่อของหล่อน ความซื่อที่เขาหาจากใครไม่ได้ในจำนวนผู้หญิงที่พบเจอ หล่อนแตกต่างจากทรายทองอย่างสิ้นเชิง รายนั้นรอบจัด ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ที่สุด!____________________ สิบโมงเศษๆ ปรายรุ้งเดินออกมายังจุดที่คาดว่ารถของชลกรจะจอดรออยู่ เขาลงมายืนฉีกยิ้มอยู่ข้างรถ ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งยิ้มแล้วแจกไลน์ให้สาวๆ อีกต่างหาก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้นัก คนหล่อนี่ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดจริงๆ“ที่รัก! ทำอะไรฮะ! เค้าไม่อยู่แป๊บเดียวนี่อ่อยสาวเหรอ นี่ๆ พวกเธอ! ออกไปเลยนะ นี่ของฉันย่ะ!”ปรายรุ้งเดินแหวกกลุ่มสาวๆ ที่ห้อมล้อมชลกรอยู่ บางคนเรียนคณะเดียวกับเธอด้วย ขอกันท่าหน่อยเถอะ เพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะถ้าใครหลงคารมอีตานี่ละก็ เตรียมเหล็กท่อนใหญ่ๆ ไว้ดามอกได้เลยสาว
“ช่างเถอะน่า ข้าไม่อยากยุ่งหรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้าเอ็งจะมีผัวก็ตามใจเถอะ ขอให้เอ็งมีความสุขก็พอ” นายประดับบอกลูก ตั้งแต่โตมาปรายรุ้งไม่เคยทำให้ท่านต้องเสียใจ ตั้งใจเรียนและทำงานมาตลอด ส่วนเรื่องของหัวใจนั้น ท่านบังคับไม่ได้ สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ถ้าไม่ทำใจยอมรับ ก็คงต้องเป็นทุกข์อกแตกตายเท่านั้นเอง“โธ่...พ่อ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิน่า หนูยังเวอร์จิ้น เชื่อสิ!”คนเป็นลูกยืนกรานแต่คนเป็นพ่อส่ายหน้ารัวๆ จังหวะเดียวกันนั้นชลกรก็ไต่สะพานมาถึงตัวบ้านพอดี“สวัสดีครับคุณพ่อ”“นั่นไง ไหนเอ็งบอกไม่ใช่ผัว แล้วทำไมไอ้หนุ่มนี่เรียกข้าว่าพ่อวะ”ประดับเถียงจริงจัง ปรายรุ้งเกาหัวแกรกๆ ปวดกบาลเต็มที“โธ่...เขาก็เรียกตามหนูน่ะ โอ๊ย...จะบ้าตาย เข้ามาก่อนสิคุณ ชอบยืนอาบแดดหรือไง หน้าแดงหมดแล้ว” ท้วงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วดึงบิดาให้เข้ามาในบ้านนายประดับไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงเลแบบง่ายๆ และหันหน้าเข้าหาอวนที่ชำรุด ท่านกำลังซ่อมมันอยู่ จากอวนสามสิบหลังที่มี ประดับจะออกไปวางอวนในตอนกลางคืน และกลับมาในตอนเช้า แล้วแต่อารมณ์ว่าจะวางอวนกี่รอบ ท
[2]ห้ามใจไม่ให้รักเธอ____________________ ตะวันขึ้นตรงศีรษะตอนที่ชลกรจอดรถภายในลานจอดของโรงแรมแห่งหนึ่ง ริมชายหาดสัตหีบจังหวัดชลบุรี มันเป็นโรงแรมมีชื่อทีเดียว และภาวนาขอให้มีห้องว่างสักห้องตอนฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ เขาจำต้องกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้งเมื่อแสงแดดที่แผดเหนือหัวกำลังจะย่างสดให้ผิวขาวๆ แห้งกรอบ ปรายรุ้งขยับกายยุกยิกแล้วปรือตาขึ้นมาพอดี หล่อนคงง่วงเอามากๆ เพราะไม่ตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดการเดินทาง“โอ...เจ้าหญิงนิทราฟื้นแล้ว”เขาแซวแล้วยิ้มขบขัน หยิบกระดาษเช็ดหน้าที่อยู่หน้ารถมาซับที่มุมปากของแม่นักศึกษาสาว ท่ามกลางการปัดป้องด้วยงัวเงียของหล่อน“อะไรของคุณ ไม่เอา” ปฏิเสธกระดาษเนื้อนุ่มแล้วลุกนั่งดีๆ หลังจากที่เอนหลังหลับสบายไปหลายตื่น“เอาไปเถอะน่า ยัยซกมกเอ๊ย นอนน้ำลายยืด”“ว่าไงนะ!?”ปรายรุ้งรีบหากระจกมาส่องดูสภาพหนังหน้า แล้วดวงตาสาวเจ้าก็ได้เบิกโตเมื่อเห็นร่องรอยของน้ำลายไหลย้อยที่ชลกรว่า“หึๆ ไม่ทันละ ฉันเห็นความทุเรศของเธอหมดแล้ว ฮ่าๆๆ”“อ๊าย! อีตา
พอปรายรุ้งเดินจากไป ชลกรก็ยกหูโทรศัพท์โทรหาอู่รถเจ้าประจำเพื่อมาลากรถของปรายรุ้งไปจัดการ ก่อนจะหาที่ทางอาบน้ำแล้วกลับมารอเจ้าหล่อนที่นี่ มันแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าปรายรุ้งเป็นภาระ แต่กลับรู้สึกสนุก และอยากอยู่กับหล่อน เขาเหมาเอาว่าความรู้สึกที่เป็นเกิดเพราะความน่ารักสดใสของปรายรุ้ง และความซื่อของหล่อน ความซื่อที่เขาหาจากใครไม่ได้ในจำนวนผู้หญิงที่พบเจอ หล่อนแตกต่างจากทรายทองอย่างสิ้นเชิง รายนั้นรอบจัด ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ที่สุด!____________________ สิบโมงเศษๆ ปรายรุ้งเดินออกมายังจุดที่คาดว่ารถของชลกรจะจอดรออยู่ เขาลงมายืนฉีกยิ้มอยู่ข้างรถ ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งยิ้มแล้วแจกไลน์ให้สาวๆ อีกต่างหาก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้นัก คนหล่อนี่ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดจริงๆ“ที่รัก! ทำอะไรฮะ! เค้าไม่อยู่แป๊บเดียวนี่อ่อยสาวเหรอ นี่ๆ พวกเธอ! ออกไปเลยนะ นี่ของฉันย่ะ!”ปรายรุ้งเดินแหวกกลุ่มสาวๆ ที่ห้อมล้อมชลกรอยู่ บางคนเรียนคณะเดียวกับเธอด้วย ขอกันท่าหน่อยเถอะ เพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะถ้าใครหลงคารมอีตานี่ละก็ เตรียมเหล็กท่อนใหญ่ๆ ไว้ดามอกได้เลยสาว
เสียงที่ออกแนวทะลึ่งทะเล้นดังมาจากรถที่จอดเทียบรถหญิงสาวอยู่ ปรายรุ้งกลอกตามองฟ้า อีตาบ้านี่จะอะไรกับเธอนักหนานะ ชอบกวนประสาทจริงๆ ทำไมสวรรค์ต้องบันดาลให้เขามาเจอเธอในสภาพนี้ด้วย โธ่เอ๊ย!“อย่าเพิ่งกวนประสาทฉันได้ไหม ไหนๆ คุณก็แวะมาดูแล้ว พอจะรู้จักเบอร์อู่ซ่อมหรือเปล่า ฉันต้องรีบใช้รถ” ปรายรุ้งร้องขอดีๆ เขายังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแบบทันสมัยแต่สภาพยับหน่อยๆ คงเพิ่งออกมาจากโรงแรมกับอีหนูสักคนละมั้ง เมื่อคืนเขานั่งดื่มที่ DC จนผับเกือบปิดถึงค่อยกลับ“ก็พอจะรู้จักละนะ แต่คงอีกนานกว่าจะเรียบร้อย เธอจะอยู่ที่นี่ในสภาพนี้เหรอ เพิ่งไปปาร์ตี้ชุดนอนมาหรือไง”ชลกร วัฒนากูร บุรุษหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบหกเศษๆ แกล้งแซวแล้วอมยิ้ม ด้วยขำแม่สาวร่างบางที่อยู่ในชุดนอนเหมือนสาว หล่อนเหมือนเด็กมัธยมที่ไร้ความเซ็กซี่ในชุดนอนลายการ์ตูน“แล้วมันนานไหม กว่าจะเสร็จ”“ไม่รู้สิ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้โทรเรียกช่างเลย เธอคิดว่ามันจะนานไหมล่ะ”ปรายรุ้งหลับตาแน่นเพื่อระงับโทสะจากวาจาพ่อพลเมืองดี“โธ่...เอาไงดีนะ เอาไงดี” ถามตัวเองรัวๆ แล้วหันไปหาที่พึ่งสุดท้ายท
คฤหาสน์อัชวิน เจ็ดโมงเช้าเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ เจ้าบ้านสาวใหญ่ในวัยสี่สิบห้าปี ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ราวกับต้องของร้อน เธอเดินไปหาคนที่เฝ้ารอ เขากำลังก้าวเข้ามาในบ้าน สีหน้าดูดีกว่าตอนที่ออกไปทำงานเมื่อวานนี้“กลับมาได้แล้วสินะ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยนี้ซะที อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว”อุษณี อัชวิน พี่สาวที่ยังดูสาวเกินอายุ ว่ากระทบน้องชาย คฤหาสน์หลังใหญ่ในเวลานี้เหลือเพียงสองพี่น้องอยู่อาศัย ด้วยว่าบิดามารดาล้มหายตายจากไปสิ้นแล้ว“พี่เลิกถามผมเมื่อไหร่ ผมก็จะเลิกเมื่อนั้น”“ตาเอื้อ! อย่ามายอกย้อนฉัน ฉันเป็นพี่แก ฉันแค่อยากให้แกแต่งงานมีครอบครัวซะที ปีหน้าแกจะสามสิบแล้วนะ” อุษณีเอ่ยเตือน ด้วยอยากให้อังเดรลงหลักปักฐานไปกับใครสักคนที่ไม่ใช่แม่ทรายทอง เมียเช่าจากบาร์เหล้าที่พัทยา“ใช่ครับ ปีหน้าผมจะสามสิบ แล้วพี่ล่ะ ปีหน้าจะสี่สิบหกแล้วนะ แต่งๆ ไปกับใครสักคนเถอะครับ จะได้เลิกมาบงการชีวิตผมซะที”“ตาเอื้อ!?”“ครับพี่...” ตอบพี่สาวอย่างเพลียใจพลางจ้องมองใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มไว้ด้วยเครื่องสำอาง หากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าอุษณีอายุสี่สิบห้าแล้ว หล่อนยังสวย หุ่นบางร่างเล็กและยังทร
EP 1/3 นางเช่าแสบสะเด็ด“มันโอเคใช่ไหมพี่” ถามคนที่รักเหมือนพี่สาวอย่างกังวล เธอรักทรายทองมาก แม้ว่าไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ก็ตาม พวกเธอเจอกันที่ DC ทรายทองเป็นเด็กไซด์ไลน์นั่งดื่มกับแขก ส่วนเธอเป็นสาวเสิร์ฟ ไม่รู้อะไรดลใจให้ทรายทองเอ็นดูเธอ แต่หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง หลังจากที่เธอไปทำงานที่นั่น ทรายทองก็ชวนให้มาอยู่บ้านนี้ด้วยกัน เดือนไหนเงินของเธอไม่พอใช้ ทรายทองจะหยิบยื่นให้เสมอ รวมถึงค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในบ้านนี้ด้วย พวกเธอกินข้าวด้วยกัน ดูหนังฟังเพลง ซื้อเครื่องสำอางบ้าง บางทีก็แย่งเสื้อกันเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ เธอสุขใจที่เป็นแบบนี้ แม้ว่าสายตาที่คนอื่นมองมา มักกล่าวหาว่าทรายทองเลี้ยงเธอไว้ใช้งานเหมือนเบ๊ก็ตาม“ไม่โอเคแน่ๆ แต่ฉันเบื่อจะรบกับคุณเอื้อ ฉันเหนื่อย ฉันจะนอน” แล้วทรายทองก็ล้มกายลงนอน ในขณะที่ปรายรุ้งทำหน้ายู่“ก็เพลาๆ ลงบ้างสิคะ เรื่องกินเรื่องเที่ยวน่ะ เรื่องอย่างว่าด้วย กว่าจะได้แต่งงานกับใครสักคนก็พังพอดี”“เรื่องแรกฉันพอทำได้นะปราย แต่ถ้าเรื่องหลังละก็ แกไปบอกคุณเอื้อของแกสิ เขาถนอมฉันมากเลยล่ะ!” ตอบแบบประชด ด้วยรู้ว่ายัยตัวดีที่ชื่อปรายรุ้งนี่แหละที่ชอบคาบข่าวเธอไปบอกอังเดร
“เธอพูดเล่นใช่ไหม”“พูดจริงค่ะ”ทรายทองโป้ปด เพราะเกรงใจเขาเสมอมา การรับงานแต่ละครั้งจึงอยู่บนพื้นฐานขอบเขตที่จำกัด ไม่ขึ้นเตียง ไม่จูบ ได้แค่โอบกอด พูดคุย เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว จบงานก็จ่ายเงิน ไม่มีการค้างคืน หากแต่จงใจให้อังเดรเข้าใจไปอีกอย่าง บางครั้ง...ก็นึกอยากให้เขาหวงหึงทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้อังเดรพ่นลมหายใจแรงๆ โกรธที่ได้ฟังในสิ่งที่ไม่อยากฟัง หากหล่อนเลื่อนฐานะมาเป็นผู้หญิงของเขาละก็ อย่าหวังเลยว่าจะได้มีเวลาไปอ่อยผู้ชายคนอื่น แต่เห็นได้ชัดแล้วว่าทรายทองเป็นนางเช่าที่แสนฉลาดเหลือเกิน“อีกสามวันจะมารับแล้วกัน เตรียมตัวไว้ด้วย จัดกระเป๋าเผื่อไปสักสามสี่ชุดนะ”“ค่ะ แล้วคุณจะไม่มาอีกหรือคะ อีกตั้งสามวันนะ”“ฉันงานยุ่ง คงไม่ได้มา”“ว้า...แย่จัง ว่างงานตั้งสามวันเลยหรือนี่ สงสัยต้องโทรหาลูกค้าคนอื่นบ้างละ”“อย่าได้คิดทำแบบนั้นเชียวนะ เพลาๆ ลงซะบ้างเถอะเรื่องอย่างว่าน่ะ ที่ฉันปรนเปรอให้ไม่พอหรือไง แรงลุกมานั่งยังแทบจะไม่มีเลย”อังเดรว่าอย่างเคืองๆ ทรายทองชอบกวนประสาทเขาแบบนี้เสมอ หล่อนรู้ว่าเขายั่วขึ้นในเรื่องนี้“แหม...คุณเอื้อขา หลับสักตื่นทรายก็ฟื้นคืนชีพแล้วค่ะ รับคืนละสองค
[1]นางเช่าแสบสะเด็ด_______________________ปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันผ้าซาตินผืนบางที่ปกติใช้คลุมเตียง ถูกดึงมาพันร่างอรชรที่เปลือยเปล่า ทรายทอง เลิศทินกร มักทำเช่นนี้เสมอจนกลายเป็นนิสัย การร่วมรักอย่างหักโหมสูบเรี่ยวแรงของเธอไปเกือบหมด มิเหลือแม้แต่จะลุกไปหาเสื้อผ้าอาภรณ์มาสวม นาฬิกาบนผนังบอกเวลาใกล้ตีห้าเต็มที และน่าดีใจนักที่เวลานอนของเธอกำลังจะมาเยือนติ๊ง!เสียงข้อความดังขึ้นที่สมาร์ตโฟนซึ่งวางอยู่ข้างหมอน หญิงสาวเหลือบตามอง มันเป็นข้อความจากแอปฯ ธนาคาร แจ้งว่ามีเงินโอนเข้ามา เธอขยับไปนั่งที่ปลายเตียง เหน็บปมผ้าซาตินให้แน่นในร่องอกอวบอิ่ม เขาอยู่ตรงหน้าเธอ กำลังโอนเงินค่าเช่ามาให้ ค่าเช่า...ในสิ่งที่เขาเพิ่งตักตวงจากร่างกายของเธอนี่อย่างไร“คืนนี้สามรอบ ฉันจ่ายสามหมื่น แต่วันมะรืนฉันต้องไปพบลูกค้าที่พัทยา เธอต้องไปกับฉันด้วย นั่นค่าตัวของเธอ”ทรายทองหยิบสมาร์ตโฟนมาพิจารณาอย่างเพลียๆ ทว่าพอเห็นตัวเลขในข้อความชัดๆ ก็ต้องมุ่นคิ้ว “คุณจ่ายเกินมาห้าหมื่นค่ะ”“นั่นค่าเสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เธอดูดีมีราคามากกว่าเมียเช่าฝรั่งที่มีออกเกลื่อน ทำตัวให้เหมือนคู่ควง เพราะเธอต้องพบลูกค้า
นางเช่า##########บทนำ##########วันที่ 12 สิงหาคม ในปีหนึ่งเมื่อครั้งอดีตดอกมะลิตูมเต่งดอกหนึ่งกำลังถูกลิดให้หลุดร่อนออกจากมาลัยพวงงาม จะเหลือก็เพียงเชือกด้ายสีขาวที่ร้อยมันไว้กับอุบะกุหลาบสีแดงเท่านั้น ดวงตาสีน้ำตาลทองของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบจ้องมองสิ่งที่ร่วงหล่นบนหน้าตักอย่างเคืองใจ ตั้งแต่อนุบาลจนขึ้นชั้นประถมหนึ่ง ไม่มีเลยสักครั้งที่มาลัยดอกมะลิจะถูกวางบนตักของมารดาในวันสำคัญเช่นนี้เวลานี้นักเรียนทุกคนต่างกำลังซาบซึ้งต่อพระคุณแม่อยู่ ณ ลานอเนกประสงค์ สถานที่กิจกรรมของโรงเรียน คงมีเพียงเด็กชายตัวน้อยหน้าขาวคมเท่านั้น ที่หลบกายซ่อนเร้นให้ห่างจากสายตาผู้คนเด็กน้อยขมขื่นใจเกินจะกล่าว เพราะหากเขาเป็นเด็กกำพร้าคงไม่เจ็บปวดเท่านี้ แต่นี่ไม่ใช่เลย บิดามารดาทั้งสองของเขายังอยู่ครบ และมารดาเลือกที่จะไม่มาที่นี่ในวันนี้ เลือกที่จะให้เขาเจ็บปวดอ้างว้างอยู่ ณ มุมหนึ่งของห้องเรียนตามลำพัง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ถูกปฏิบัติจากบิดามารดา ท่านทั้งสองไม่ได้เพิกเฉยต่อเงินทองและสิ่งที่เขาชี้นิ้วปรารถนา แต่ท่านมิเคยให้ในสิ่งที่เด็กอย่างเขาต้องการอย่างแท้จริงพี่สาวของเขามักแก้ต่างแทนเสมอว่าบิดามารดาต้