ทรายทองลุกไปเข้าห้องน้ำ จังหวะนั้นต้องเดินผ่านโต๊ะของบุรุษมาดเข้มที่ชื่อ อังเดร เธอพยายามไม่มองเขา แต่รู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าเขามองตามมาชนิดที่ว่าแทบจะแปะลูกตาติดบั้นท้ายเธอ
“มองได้มองไป ไม่สนหรอกย่ะ” บอกตัวเองแล้วเดินไปทางห้องน้ำหญิง เข้าไปจัดการธุระราวห้านาทีแล้วเดินออกมา แน่นอนว่าที่หน้าประตูทางเข้าห้องน้ำ มีร่างสูงของอังเดรยืนตรงดิกรออยู่ เธอทำเป็นมองไม่เห็น และเดินผ่านเขาไป แต่ก็ถูกมือใหญ่ดึงแขนกลับมาเผชิญหน้ากัน “เอ๊ะ! อะไรของคุณฮะ ทรายมากับลูกค้านะ” “แล้วไงล่ะ ห้าทุ่มแล้ว กลับบ้านได้แล้ว” เขาเริ่มไม่สบอารมณ์ “เพิ่งห้าทุ่มต่างหาก ผีเสื้อราตรีอย่างทรายออกหากินตอนกลางคืนค่ะ กลับบ้านตอนนี้ก็หมดสนุกสิคะคุณเอื้อขา...” บอกเขาอย่างล้อเลียน อังเดรได้ฟังก็ส่ายหัว ไม่พอใจในคำตอบและไม่พอใจในชุดสีทองอร่ามที่แนบเนื้อเจ้าหล่อนไปทุกส่วนเช่นนี้ “ชุดบ้าอะไรของเธอ ไม่แก้ผ้ามาซะเลยล่ะ” “อย่ามาว่าชุดทรายนะ ชุดนี้แพงจะตาย เรียบหรูดูดีกว่าชุดของผู้หญิงที่คุณควงมาซะอีก” “อย่าดึงคนอื่นมาเกี่ยวในเรื่องนี้ กลับบ้าน! เดี๋ยวฉันไปส่ง” “ไม่...ปล่อยนะคุณเอื้อ ทรายจะไปต่อกับเฮียจิว เราจะไปฟังเพลงกัน ทรายรับเงินเขามาแล้วด้วย” “เอาเงินคืนเขาไป ฉันจะจ่ายแทนเอง” “เอ๊ะ! อย่ามาก้าวก่ายงานทรายนะ!” เธอชักฉุน เขาชักจะล้ำเส้นมากไปแล้ว “ก็ฉันไม่ชอบ ดึกแล้ว กลับบ้าน!” “ไม่! ปล่อยนะ! อย่ามาวุ่นวายกับทรายได้ไหม ปล่อย!” เธอพยายามแกะมือแกร่งออกจากรอบข้อมือน้อย แอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างทำให้เรี่ยวแรงที่มีลดลงไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ “มีเรื่องอะไรกันคะพี่เอื้อ” แธมม่า สตรีวัยเบญจเพส ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส เอ่ยถามคนที่เธอควงมา แธมม่าเห็นว่าอังเดรลุกมาเข้าห้องน้ำนานเกินไปก็เลยออกมาตาม ไม่คิดว่าเขาจะแอบมาคุยกับสาวอื่นอยู่ แบบถึงเนื้อถึงตัวเสียด้วย ที่สำคัญคือเจ้าหล่อนมีอาชีพที่ไม่ธรรมดา เธอได้ยินเต็มสองหู “ไม่มีอะไรแธมม่า กลับไปรอที่โต๊ะเถอะ” เขาร้องขอกลายๆ ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือทรายทอง “ถ้าจะให้ดี ช่วยเอาคนของคุณกลับไปด้วยก็ดีนะคะคุณนางแบบ” ทรายทองหันไปบอกแธมม่า นางแบบสาวที่กำลังโด่งดังของเมืองไทย “พี่เอื้อคะ?” “กลับไปรอที่โต๊ะแธมม่า ขอร้อง!” น้ำเสียงที่ใช้เริ่มห้วนจนแธมม่าหน้าเสีย นางแบบสาวมีศักดิ์ศรีพอตัว และไม่ต้องการเป็นตัวสำรองของใครด้วย “ถ้าพี่ไม่ว่าง แธมม่าจะกลับค่ะ” “เอ้าๆๆ จะกลับซะแล้ว อย่างนี้คุณอังเดรก็หมดสนุกสิคะ แหม...คืนนี้เหมาจ่ายไปเท่าไหร่ละคะ หึๆๆ” “ทรายทอง!” “ขา...คุณเอื้อ...” ทรายทองลากเสียงยาวขานรับ จงใจป่วนประสาทเขา แธมม่าหายใจเร็วแรง ยอมรับว่าโกรธที่โดนดูถูก มีคนเดินผ่านไปมาบริเวณนี้พอสมควร ที่สำคัญมีสายข่าวอยู่ที่นี่ไม่น้อย ถ้าคำพูดของผู้หญิงบ้าคนนี้เข้าหูนักข่าวละก็ เธอคงได้เสียชื่อเป็นแน่ “อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะเหมือนตัวเองนะคะคุณทรายทอง เรามันคนละระดับกัน ฉันไม่ได้มีไว้หิ้ว ไม่เหมือนคุณค่ะ รู้ไว้ซะ!” แธมม่าตอบด้วยเสียงราบเรียบที่กำลังระงับความโกรธไว้สุดชีวิต ในขณะที่ทรายทองสลัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอังเดรได้สำเร็จ และหันไปตอกคืนแม่สาวแธมม่าพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช่ค่ะ เรามันคนละระดับกัน เพราะทุกครั้งที่ฉันถูกหิ้ว ฉันได้เงินค่ะ ส่วนคุณน่ะ คงจะ...ฟรี!” เผียะ! พลั่ก! “กรี๊ด! พี่เอื้อ! จมูกแธมม่า โอ๊ย...” แธมม่าร้องโอดโอยเมื่อหนึ่งตบที่ฟาดใส่ซีกแก้มของทรายทองถูกตอกกลับมาด้วยหมัดน้อยๆ ของเจ้าหล่อน มันปะทะเข้ากับปลายจมูกโด่งๆ พอดิบพอดี “ทรายทอง! เธอทำอะไรของเธอเนี่ย” เขาถามร้อนรนเพราะแธมม่าถูกชกจนจมูกเสียรูปทรง แถมมีเลือดสดๆ ไหลออกมาด้วย “ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ ก็แค่ชกคนที่มันตบหน้าฉันน่ะ” บอกเขาอย่างเคืองๆ ยกมือขึ้นลูบแก้มป้อยๆ พนักงานรวมถึงลูกค้าที่มาใช้บริการที่ห้องอาหารแห่งนี้ เริ่มแตกตื่นเมื่อแขกมีเรื่องทะเลาะวิวาท จิวรีบเดินมาทางนี้เมื่อเห็นชุดสีทองของทรายทองส่งประกายวิบวับเป็นจุดเด่น “หนูทราย? เป็นอะไรหรือเปล่า” จิวถามด้วยห่วงใย ดึงทรายทองมาไว้ข้างตัว “ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่โดนหมาตัวเมียกัดน่ะ” “พูดให้มันดีๆ หน่อยทรายทอง” อังเดรปราม ในอ้อมแขนยังมีร่างแธมม่าที่จมูกมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด ทรายทองเบะปากใส่แล้วหันไปเอาเรื่องแม่สาวแธมม่า “ค่าเหลาดั้งใหม่น่ะเก็บกับคุณอังเดรเลยนะคะคุณแธมม่า ส่วนค่ารักษาพยาบาลที่โดนตบน่ะ ฉันไม่เอาค่ะ เพราะว่าฉันมีหมอส่วนตัวรักษาให้แล้ว ไปกันเถอะค่ะเฮียจิว ไปหาอะไรประคบแก้มตุ่ยๆ ของทรายดีกว่า” ทรายทองบอกแล้วควงแขนจิวออกไปจากตรงนั้น ทิ้งอังเดรไว้กับแธมม่าและเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของเจ้าหล่อน ชายหนุ่มรีบล้วงเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง “ฮัลโหลนิค ผีเสื้ออยู่ที่นี่ พาผีเสื้อกลับบ้านด้วย” “ครับนาย” ปลายสายรับคำแล้วรีบปฏิบัติตามที่เจ้านายสั่ง นิคเป็นคนขับรถของอังเดร เขาเป็นชายร่างหนา สูงใหญ่ และแทบจะเหมือนยักษ์เมื่อเทียบกับชายไทยไซส์ปกติ นิคมายืนรอทรายทองที่หน้าลิฟต์ชั้นล่างสุด ชนิดที่ว่าเมื่อลิฟต์ตัวใดในสามตัวนี้เปิดออก เขาจะสามารถเห็นทรายทองได้ในทันที ติ๊ง! เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นและเปิดออก ทรายทองก้าวออกมาพร้อมจิวและลูกค้าท่านอื่น ๆ ของทางโรงแรม หญิงสาวอ้าปากค้างเมื่อเจอร่างยักษ์ของคนที่คุ้นตา “โอ๊ย! จะบ้าตาย!” เธอร้องออกมาดังๆ เมื่อเห็นนิคยืนเอามือไขว้หลังยืนรออยู่เหมือนพวกการ์ดหรือบอดี้การ์ดอะไรเทือกนั้น “อะไรอีกละหนู” จิวเริ่มงง ทรายทองยังทำหน้ายู่ และลากเขาให้เดินออกไปจากตัวโรงแรม พาเดินไปยังลานจอดรถขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เขาเพิ่งสังเกตว่าชายร่างยักษ์ที่เจออยู่หน้าลิฟต์กำลังเดินตามมา “ไอ้หมอนั่นใครเหรอ” “คนขับรถของอังเดรค่ะ” “อังเดร? ผู้ชายที่เราเจอที่ห้องอาหารใช่ไหม” “ค่ะ” “แล้วเขาตามมาทำไม” “เขามาตามให้ทรายกลับบ้าน หรืออย่างน้อยก็ทำทุกวิถีทางไม่ให้ทรายเปิดห้องแล้วค้างกับเฮีย” “หือ? ถ้าจะคุมขนาดนี้ทำไมทรายไม่ไปอยู่กับเขาให้รู้แล้วรู้รอดล่ะ” ถามเพราะดูจากการแต่งตัวและการมีคนขับรถร่างยักษ์เหมือนพวกบอดี้การ์ด ทำให้เขามั่นใจว่าบุรุษที่ชื่ออังเดรคงมีทั้งเงินและบารมี เขาเชื่อว่าทรายทองจะสุขสบายหากไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น “ทรายเป็นผีเสื้อราตรีค่ะ ไม่ใช่นก ทรายไม่ชอบอยู่ในกรง” เธอให้คำอธิบายซึ่งจิวเห็นว่าจริงแท้ที่สุด เพราะขนาดไม่ได้เป็นผู้หญิงของอังเดร ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะตามคุมทรายทองทุกฝีก้าว “ทำไมไม่แจ้งตำรวจ เฮียว่าเขาทำเกินไป” คุณหมอว่า “เอ่อ...มันพูดยากค่ะ” “พูดยากหรือไม่อยากทำ รักเขาละสิ” “เฮีย!?” “หึๆๆ กลับบ้านได้แล้วไป เฮียก็จะกลับเหมือนกัน” “ไม่เอา ทรายจะไปดริงก์ต่อ” เธอพูดดังๆ ให้นิคได้ยิน และเจ้าตัวก็ขยับร่างยักษ์เข้ามาขวางหน้าในทันใด “คุณทรายทองควรจะกลับบ้านได้แล้วครับ ถ้าไม่อยากมีปัญหากับเจ้านาย” “ฉันต้องทำตามคำสั่งนายด้วยหรือนิค” ทรายทองไม่พอใจ นิคก้มหน้าลง แต่ไม่ยอมจากไปจนกว่าจะต้อนผีเสื้อตัวน้อยของเจ้านายกลับรังได้ “กลับเถอะทราย เฮียว่าหนูคงยุ่งยากหากมีปัญหากับเขานะ” จิวแนะ กดรีโมตปลดล็อกเมื่อแลเห็นรถตัวเองจอดอยู่ไม่ไกล ทรายทองหน้าบูดหน้าบึ้ง ทำไมเฮียต้องเข้าข้างอังเดรด้วย “โอเค! กลับก็ได้!”[3]หวง______________________________ทรายทองกลับมาบ้านด้วยความอนุเคราะห์ของนิค เขาคงอยากมาส่งถึงห้องนอนเลยถ้าทำได้ นิคกลับไปในเวลาต่อมา เธออยากร้องเรียกปรายรุ้งให้หาเหล้ามาให้ดื่มสักนิด ด้วยว่าแอลกอฮอล์ในร่างยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปรายรุ้งกลับไปหาบิดาที่สัตหีบ และรถของเธอนั้นยังอยู่ที่อู่ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัวที่โทรมาแจ้งตอนหัวค่ำ“บ้าจริง! ปวดหัวชะมัด” บอกตัวเองแล้วลุกจากโซฟาไปหาแอลกอฮอล์ในห้องครัว เธอได้เหล้าติดมือมาสมใจ แต่น่าเสียดายนักที่คงรินได้ไม่ถึงสองแก้วก่อนที่มันจะเกลี้ยงขวด “ยัยปรายก็ไม่อยู่ รถก็ไม่มี แล้วฉันจะหาเหล้าได้จากไหนเนี่ย” ถามตัวเองอย่างเซ็งๆ แล้วสาดเหล้ารสชาติหวานบาดทรวงลงคอ ดีกรีของมันทำให้ต้องหลับตาปี๋“อ๊า...แรงชะมัด!” บ่นไปอย่างนั้นแต่กลับรินเหล้าอีกแก้ว ยกขวดค้างไว้ให้เหล้าไหลออกจากขวดจนเกลี้ยงที่สุด ก่อนจะยกแก้วซดอีกครั้งแล้วลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทรายทองไม่ได้อาบน้ำ แต่เปลี่ยนมาใส่ชุดนอนเลย เธอล้างเครื่องสำอางลวกๆ แล้วปีนขึ้นเตียงแม้ดวงตายังค้างแข็ง อยากเปลี่ยนใจไปคลายเครียดที่บ่อน แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุก
บ้านหลังน้อยของทรายทองอังเดรไขรั้วเข้ามาด้วยกุญแจที่เขามี บ้านช่องเงียบเชียบ ทว่าเปิดไฟทิ้งไว้หลายดวง เขาไขกุญแจประตูบ้านอีกชั้น และน่าโมโหนักที่ทรายทองเลินเล่อขนาดลืมล็อก เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน แล้วความเงียบสงัดก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของใครบางคน“กรี๊ดดด!!!”อังเดรวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน เสียงกรีดร้องของทรายทองทำเอาใจเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หล่อนเป็นอะไร มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับหล่อนอย่างนั้นหรือ และเขาก็ได้รู้คำตอบ ทรายทองยังนอนอยู่บนเตียงตอนที่เขาเปิดประตูเข้ามา ห้องทั้งห้องสว่างโร่ ราวกับว่าหล่อนกลัวที่จะปิดไฟนอน“ทราย! ทรายทอง! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!” เขาจับร่างน้อยเขย่าเบาๆ และต้องเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นเมื่อหล่อนยังอยู่ในห้วงนิทราอันแสนทุกข์“ไม่! ไม่ไป! หนูไม่ไป กรี๊ดดด!!!”“ทราย! ตื่น! ทรายทอง!!”เฮือก!ทรายทองดีดตัวขึ้นนั่ง หายใจหอบแรงราวกับไปวิ่งมาสักสิบกิโลฯ หยดน้ำตายังเปื้อนบนใบหน้างาม แต่ยังน้อยกว่าความงุนงงที่อังเดรมานั่งอยู่ข้างเธอ สีหน้าเขาดูตื่นตระหนก และเขา...ยังหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง“เธอฝันร้าย?”หญิงสาวพยักหน้า ขมปร่าในลำคอ แล้วนาทีถัดมาหยดน้ำตาก็พร่างพรู เธอกอดเขาไว้ ซบหน้าเ
กลางดึกวันเดียวกันเสียงซ่าๆ ดังอยู่เหนือหลังคาบ้านหลังน้อย ปรายรุ้งเปิดประตูออกมาดูความเรียบร้อยนอกห้องนอน บิดาของเธอยังไม่กลับเข้ามา มันน่าห่วงเพราะว่าฝนกำลังตกหนัก“ฝนตกหนักมาก” ชลกรลุกมานั่งกอดเข่าแน่นๆ บ้านหลังน้อยมีลักษณะเปิดโล่งด้านหน้าชาน และในเมื่อเขาต้องนอนหน้าจอโทรทัศน์ มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะหลบเลี่ยงอากาศอันหนาวเย็น“ใช่ พ่อยังไม่กลับเข้ามาเลย จะเป็นอะไรไหมนะ” เพราะห่วงใยเลยออกไปยืนชะเง้อที่ระเบียงชาน โผล่หน้าออกไปดูท้องทะเลเพียงเดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบกลับเข้ามาเพราะว่าโดนฝนสาดใส่จนเสื้อชุ่ม แสงจากเรือยนต์ยามค่ำคืนมีหลายลำเสียจนเธอไม่รู้ว่าลำไหนเป็นเรือของบิดา“อาจกำลังกลับมาก็ได้” เขาให้กำลังใจ รู้สึกไม่ดียามเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของปรายรุ้งเธอเดินกลับมาหาชลกร เห็นรอยน้ำฝนสาดเข้ามาใกล้เขาจนแทบจะถึงฟูกบางๆ ที่ปูไว้ให้ ก็นึกสงสาร“ถ้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรฉัน ฉันจะให้คุณเข้าไปนอนข้างใน” เธอต่อรอง“ฉันนอนห้องข้างๆ เธอก็ได้” เขาต่อรองบ้าง ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดใจไม่แตะต้องปรายรุ้งได้ไหมหากต้องเข้าไปนอนในห้อ
“แหวะ! ว่าไปนั่น”“ลองดูสิ” ไม่ท้าเปล่าๆ แต่ยืดกายขึ้นนั่งด้วยสองเข่าแล้วโน้มกายหาร่างปรายรุ้ง บังคับด้วยสองแขนจนหล่อนนอนราบลงไปบนที่นอนบางๆ“จะทำอะไร!”“ก็พิสูจน์ไงสาวน้อย มองตาฉันสิ”“ไม่” ปรายรุ้งปฏิเสธ เบี่ยงหน้าหนีดวงตาวับวาวของชายเจ้าชู้ แต่ก็ถูกคนมือไวจับหน้าให้หันกลับมาจุดเดิม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังขึ้นมาอยู่บนเตียงกับเธอ สองมือเขากดมือเธอไว้กับฟูก ใบหน้าเขาโน้มลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน“จ้องตาฉันสิ เธอเห็นอะไร”“ก็...ลูกตามั้ง” ตอบแบบเกร็งๆ หัวใจเต้นแรงแปลกๆ พยายามดิ้นให้หลุดจากสองมือ แต่เหมือนเขามีพลังช้าง หรือไม่ก็เธอเองที่ไม่มีเรี่ยวแรง ก็แหม...ดูตาเขาสิ วิบวับเชียว มันทอดมองเธอเหมือนว่าเธอมีครีมเค้กปาดหน้าไว้อย่างไรอย่างนั้น เขาคงอยากชิมครีมเค้กสินะ และคงกำลังใช้ดวงตาคู่นั้นล่อลวงเธออยู่“ปรายรุ้ง...แน่ใจหรือว่าไม่หลงเสน่ห์ฉันน่ะ ดูตาฉันสิ จ้องมันดีๆ อย่าลืมจ้องตรงนั้นล่ะ”“หา!?”“ปากไงเล่า หึๆๆ” ชลกรแทบเล่นมุกนี้ต่อไปไม่ไหว ปรายรุ้งกำลังจะทำให้เขาหลุดขำยามแกล้งหล่อนอย่างนี้ ดวงตากลมคู่นั้น
“พ่อหิวข้าวไหม หนูทำอะไรให้กินก่อนกลับ”“โอย....ไม่ต้องหรอก ไปบ้านเจ้าชดมา กินกับมันมาแล้ว”“โธ่...พ่อ หัดเกรงใจเขาซะบ้างเถอะ”“เกรงใจทำไมวะ คนกันเองแท้ๆ ว่าแต่เอ็งมานี่ซิ”นายประดับกวักมือเรียกบุตรสาวไปคุยกันที่หน้าชานชลกรพยายามเงี่ยหูฟัง เพราะทั้งสองคุยกันไม่ดังนัก เขาไม่ค่อยได้ยิน ปรายรุ้งหน้ายุ่งไม่น้อย เหมือนจะไม่พอใจบิดาบางอย่าง มือเจ้าหล่อนเปิดกระเป๋าสตางค์ออกดู แล้วก็หน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเดินกลับมาหาเขา“มีอะไร”“คือ...เอ่อคือ...ขอยืมตังค์หน่อยได้ไหมคะ”น้ำเสียงเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยความเกรงใจ ชลกรรู้ในทันทีว่าหากปรายรุ้งมีทางเลือกอื่น คงไม่เอ่ยปากขอยืมเขาแน่ๆ“ได้สิ เธอจะเอาเท่าไหร่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามีเงินสดพอไหม” เขารีบล้วงเอากระเป๋าหนังใบหรูออกมาจากกระเป๋ากางเกงช้าง เปิดดูก็พบว่ามีเงินสดอยู่เจ็ดพันบาท“ขอยืมก่อนห้าพัน สิ้นเดือนคืนให้พร้อมดอกเบี้ย” เธอเอ่ยรัวเร็วชลกรมุ่นคิ้วพลางควักเงินให้สาวเจ้า เขาเดินตามหลังหล่อนมา หล่อนยื่นเงินให้บิดาพร้อมกับเสียงบ่นเบาๆ“อะ
“เขารอคุณหรือคะ”“เปล่า เขามาเที่ยว และเรา...จะทำเหมือนว่าเราไปเที่ยว ฉันเคยเจอเขามาแล้ว แบบฉาบฉวยน่ะ และยังไม่เคยคุยเรื่องธุรกิจ แต่คราวนี้...ฉันจะคุย” เขาบอกแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยมาดอันสุขุม“และถ้าคุณเที่ยวโดยไม่มีผู้หญิงเคียงข้าง มันจะดูจงใจไปเจอเขามากเกินไปใช่ไหมคะ”“เธอฉลาด แต่จะฉลาดกว่านี้ถ้าลุกจากเตียงเสียที ฉันอยากถึงพัทยาก่อนบ่ายสอง” เขาบอกโดยไม่หันกลับมาทรายทองลุกขึ้นยืนอย่างเพลียๆ พาตัวเองในชุดนอนสุดเซ็กซี่เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ตาแทบจะลืมไม่ขึ้น และพอแปรงฟันเสร็จ เธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเดินออกมาที่หน้าประตูห้องน้ำ อังเดรหันมาพอดี เธอเสยผมอีกครั้งหนึ่ง มันคงยุ่งเหยิง แต่คงน่าดูสำหรับคนที่กำลังจ้องเธอตาโต“ทรายยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้า”เขาตีหน้ายุ่ง เดินมาหาแม่สาวสุดเซ็กซี่ในชุดนอน เอื้อมมือไปหลังเอวบางแล้วดึงร่างน้อยเข้าหาตัว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปากเจ้าเล่ห์ของเขา“ไม่เอาน่า ทรายเพลีย” บอกเขาแล้วส่ายหน้าช้าๆ“จะเอา”“ไม่...”“ครั้งเดียว” เขาต่อรอง หรี่ต
[4]ลิ้นกับฟัน__________________________________________________________________________________________________อังเดรเดินออกจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่ได้อาบ เขาเดินลงบันไดมา คาดว่าจะได้เห็นท่าทีซึมๆ ของทรายทอง แต่เปล่าเลย หล่อนนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา มือหนึ่งถือแก้วน้ำส้ม ส่วนมืออีกข้างถือสมาร์ตโฟนแนบหูอยู่ เขายืนมองจากขั้นบันได เริ่มกอดอกเมื่อได้ยินเสียงหวานๆ ของหล่อน“ทรายไม่ว่างเลยค่ะมี่ถง...อยากไปหาคุณจะแย่ พอดีว่าพ่อทรายมาเยี่ยม จะปล่อยทิ้งไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ พ่อยังไม่ค่อยชินถนนหนทางในเมืองเท่าไหร่ค่ะ คุณอย่าโกรธทรายนะคะ”เสียงอ่อนเสียงหวานนั้นไม่ได้เข้ากับท่าทีเนือยๆ ราวเบื่อโลกของเจ้าของเลย ทรายทองมีความสามารถอย่างล้นเหลือในการหลอกคู่สนทนาว่าตอนที่พูดนั้นเธอกำลังพูดแล้วยิ้มไปด้วย“คิดถึงคุณเหมือนกันค่า...” ตอบกลับคนปลายสายแล้วถอนหายใจเบา ๆ การรักษาฐานลูกค้าดีๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอาชีพอย่างเธอ พ่อหนุ่มในสายก็เป็นคนหนึ่งในนั้น เขาโทรมารบเร้าขอเช่าชั่วโมงนางเช่าอย่างเธอไปดูหนังฟังเพลงค่ำนี้ แต่เธอต้องปฏิเสธเพราะรับปากอังเดร อภิมหาลูกค้าชั้นยอดไว้แล้วเรียบร้อย“อาทิตย์หน้าเจอก
ปรายรุ้งตะเบ็งเสียงร้องประหนึ่งว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้คว้านท้องฆ่าตัวตาย “พี่อย่ามาบังคับหนูนะ หนูเพิ่งเรียนจบ และหนูจะไม่ยอมให้พี่จับแต่งงานเด็ดขาด”“นี่แสดงว่าแกไปกับผู้ชายมาจริงๆ ใช่ไหม!”“หนูไม่บอกพี่หรอก พี่อยากแต่งก็แต่งเองสิ!” ปรายรุ้งเถียงคอเป็นเอ็นการมีปากเสียงของสองพี่น้องต่างสายเลือดกำลังเข้มข้นตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมาเจอ เขาวางกระเป๋าเดินทางสองใบที่ถือมาไว้ข้างบันได“ฉันแต่งแน่ถ้าเจอผู้ชายดีๆ สักคน แต่แกก็เห็นว่าตอนนี้มันหายากมาก แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าฉันเจอเขาละก็ ฉันไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่!”“เธอคิดจริงๆ หรือว่าจะได้แต่งงานน่ะ”เสียงห้วนๆ ของอังเดรถามทรายทองราวประชด“แน่นอนฉันจะแต่ง” หันไปตอบอย่างมุ่งมั่น“ฉันจะพังงานแต่งงานเธอ จะเอาคลิปที่เราสนุกกันตอนอยู่บนเตียงไปฉายแทนวิดีโอพริเวดดิ้งของบ่าวสาว เจ้าบ่าวคงจะปลื้มตาค้างเลย หึๆๆ”ทรายทองอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง ในขณะที่ปรายรุ้งตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน“นี่พวกพี่เป็นพวกบ้า
บทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ
“โอเคๆ ตั้งแล้วๆ อ่า...คนนี้ชื่ออะไรดีน้า อืม...อนาวิลดีไหม”“เพราะมากค่ะสามีขา...” คนขี้อ้อนเอ่ยชมสามีทันทีที่ได้ชื่อถูกใจ “แล้วอีกคนละคะ”อังเดรทำหน้าคิดหนักยิ่งกว่าเก่า “อืม...อนาวิลแล้วก็ต้อง...อณิษฐ์...ใช่ อณิษฐ์” เขายิ้มกว้าง ทรายทองกระแซะร่างเข้าหาสามี สอดแขนโอบเอวเขาไว้ ในขณะที่อังเดรก็กอดเธอกลับมา“สามีตั้งชื่อเก่งมากค่ะ ชื่อเล่นเดี๋ยวทรายตั้งเอง” บอกเขาแล้วเงยหน้าจุมพิตปลายคางสากไปหนึ่งที“หายโกรธแล้วใช่ไหมคนดี”ทรายทองส่ายหน้าเบาๆ“ไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจ โดนสามีง้อบ่อยๆ เดี๋ยวก็หาย ถ้าจะให้หายไวละก็ควรมีกระเป๋าแบรนด์เนมมาปลอบใจสักโหลสองโหล”“โอเว่อร์ มันเปลือง...อีกอย่างน่ะ เงินฉันฉันให้เธอหมดแล้ว อยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาครับ”คราวนี้อังเดรเป็นต่อ เขากลั้นขำ หากจะให้สามีทำเซอร์ไพรส์มอบของขวัญให้ในวันพิเศษต่างๆ ละก็ หล่อนคงหมดหวังละ เพราะทุกบาททุกสตางค์ให้ศรีภรรยาไปหมดสิ้นแล้ว“โอ๊ย...คุณเอื้ออ่า...ไม่รับมุกเลย งั้นเดี๋ยวทรายจะโอนเงินให้เดือนละแสนแล้วกัน”“เอาไว้ให้สามีใช้จ่ายใช่ไหมที่รัก”“เอาไว้ซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์เมียย่ะ”“เธอมันร้ายจริงๆ”“ก็มันเป็นนิสัยของทรายไปแล้ว...อื้อ
[19]ผู้ชายที่ไม่เคยถูกรัก________________เช้าวันถัดมาก๊อกๆๆประตูถูกเคาะและถูกเปิดออกในนาทีต่อมา ทรายทองยืนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ อังเดรปรากฏกายใต้กรอบประตู เขาเดินเข้ามาช้าๆ มีร่างเอลฟ์ยักษ์ของนิคเดินตามมาติดๆ นิคหยุดยืนอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง ส่วนอังเดรหยุดยืนที่กลางห้อง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างประหม่า“นึกว่า...จะไม่มานะคะ”“มาสิ ฉันต้องมาแน่ แต่ว่า...ช้าไปหน่อย...ฉันรีบที่สุดแล้ว มันไม่มีเที่ยวบินที่เร็วกว่านี้ ฉัน...”อุแว้....อุแว้...“โอ...คุณพระ! นี่ฉันได้ลูกแฝด!?”อังเดรช็อกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแสนโวลต์ เขาจ้องมองกระบะทารกทั้งสองตาค้าง ปรายรุ้งอุ้มทารกคนหนึ่งขึ้นมา เจ้าหนูยังร้องจ้า“พี่ทราย สงสัยน้องจะหิว พี่กลับขึ้นเตียงเถอะจะได้เอาน้องกินนม” คนเป็นน้องบอกทรายทองขยับขึ้นไปนั่งแล้วรีบเอ่ยบางอย่าง“ให้คุณเอื้ออุ้มลูกมาซิปราย”อังเดรยืนตัวแข็ง หัวใจเขาเต้นแรง นั่นมันมนุษย์ตัวเล็กที่แผดเสียงร้องจ้า ที่สำคัญคือมีมนุษย์ตัวเล็กตั้งสองคนแน่ะ ให้ตายเถอะ! ประสาทจะกิน ทรายทองไม่ยอมบอกเขาเลยกับการมีครรภ์แฝด หล่อนมันตัวแสบ อยากให้เขาช็อกตายหรืออย่างไร“เอาสิคุ
“อย่ามาพูด เลิกจ้ำจี้ฉันเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกทีย่ะ” ปรามเขาอย่างเคืองๆ ก็ปากบอกอยากจะมีลูก แต่ใช้งานเธออย่างกับนางเอกหนังเอวีละก็ เชิญไปมีกับคนอื่นเถอะ ถ้ามีลูกขึ้นมาเธอคงเหมือนซอมบี้ ไม่ต้องมีเวลาหลับเวลานอนกันละ“ปรายใจร้าย...” เขาสวนทันควัน มือข้างหนึ่งเลื่อนไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัว ทว่ายังจ้องผิวเนื้อของทารกแฝดไม่วางตา“มีลูกนี่งานใหญ่นะคุณโช เรายังไม่เต็มอิ่มกับชีวิตหนุ่มสาวเลย ฉันยังอยากอยู่กับคุณไปก่อน เราอย่าเพิ่งมีลูกกันเลย รออีกสักนิดดีกว่า นะๆ” ปรายรุ้งอ้อนสามี ทั้งอธิบายความเป็นจริงให้เขารู้ชลกรขยับไปยืนซ้อนหลังปรายรุ้ง กอดเอวหล่อนไว้หลวมๆ แล้วเกยคางบนไหล่บาง แอบสูดกลิ่นหอมของคนรักที่ซอกคอขาวแต่สองตายังจ้องสองแฝด“แล้วแต่เธอเถอะ แต่อย่านานนะที่รัก ม๊าอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”“ฉันรู้ค่ะ รออีกสักปีนะคะ ระหว่างนี้เราก็มาช่วยพี่ทรายเลี้ยงหลาน ฝึกงานไปด้วยดีไหมคะ”“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก ซ้อมบทพ่อแม่ไปพลางๆ เวลาเรามีลูกเราจะได้ไม่หัวหมุนเนาะ”หนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนทรายทองลอบยิ้ม พวกเขาดูรักกันดี ออดอ้อนกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่เหมือนคู่เธอเลยที่ฝ่ายชายเอาแ