กลางดึกวันเดียวกัน
เสียงซ่าๆ ดังอยู่เหนือหลังคาบ้านหลังน้อย ปรายรุ้งเปิดประตูออกมาดูความเรียบร้อยนอกห้องนอน บิดาของเธอยังไม่กลับเข้ามา มันน่าห่วงเพราะว่าฝนกำลังตกหนัก “ฝนตกหนักมาก” ชลกรลุกมานั่งกอดเข่าแน่นๆ บ้านหลังน้อยมีลักษณะเปิดโล่งด้านหน้าชาน และในเมื่อเขาต้องนอนหน้าจอโทรทัศน์ มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะหลบเลี่ยงอากาศอันหนาวเย็น “ใช่ พ่อยังไม่กลับเข้ามาเลย จะเป็นอะไรไหมนะ” เพราะห่วงใยเลยออกไปยืนชะเง้อที่ระเบียงชาน โผล่หน้าออกไปดูท้องทะเลเพียงเดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบกลับเข้ามาเพราะว่าโดนฝนสาดใส่จนเสื้อชุ่ม แสงจากเรือยนต์ยามค่ำคืนมีหลายลำเสียจนเธอไม่รู้ว่าลำไหนเป็นเรือของบิดา “อาจกำลังกลับมาก็ได้” เขาให้กำลังใจ รู้สึกไม่ดียามเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของปรายรุ้ง เธอเดินกลับมาหาชลกร เห็นรอยน้ำฝนสาดเข้ามาใกล้เขาจนแทบจะถึงฟูกบางๆ ที่ปูไว้ให้ ก็นึกสงสาร “ถ้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรฉัน ฉันจะให้คุณเข้าไปนอนข้างใน” เธอต่อรอง “ฉันนอนห้องข้างๆ เธอก็ได้” เขาต่อรองบ้าง ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดใจไม่แตะต้องปรายรุ้งได้ไหมหากต้องเข้าไปนอนในห้องเดียวกัน ห้องที่มีประตูหน้าต่างปิดมิดชิดเสียอย่างนั้น “ห้องนั้นนอนไม่ได้ นั่นห้องพี่สาวฉัน” “หือ...พี่สาว?” “ใช่ มันเป็นห้องแห่งความทรงจำน่ะ แม่รักห้องนั้น เราจึงไม่อยากให้ใครเข้าไป” ปรายรุ้งอธิบายแล้วเดินไปเปิดประตูรอเขา เขาเดินตามเข้ามาในห้องนอน เธอจึงปิดประตูลงเสีย เสียงฝนยังลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ บนหลังคา ราวกับว่ามันโกรธกันนักหนา “แล้วพี่สาวเธอล่ะ” “แม่บอกว่าพี่เสียแล้ว ตั้งแต่เล็กๆ น่ะ” เล่าแล้วยิ้มเศร้าๆ ให้คนถาม ชลกรกวาดตามองรอบห้องเล็กของปรายรุ้ง มันไม่ได้มีความสวยงามใดๆ เครื่องเรือนเก่าๆ ไร้ความทันสมัย ราวกับว่ามีไว้เพื่อการใช้สอยจริงๆ “เสียใจด้วย” “อย่าห่วงเลย มันนานมากแล้ว อ้อ...เตียงมันเล็กนะ ฉันว่าคุณนอนข้างล่างจะดีกว่า” แนะเขาแล้วเดินออกไปเอาฟูกหลังเก่าที่ด้านนอกเข้ามาปูให้ชายหนุ่ม มันเริ่มชื้นนิดๆ แต่ยังพอใช้ได้ “ขอบใจ” เขาบอกเมื่อการปูที่นอนเสร็จเรียบร้อย อย่างน้อยๆ ในห้องนี้ก็อุ่นกว่าข้างนอก “ไม่กลัวพ่อว่าหรือไง ที่ให้ฉันเข้ามานอนในนี้” “พ่อไม่ว่าหรอก ปักใจเชื่อไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณเป็นผัวฉัน” บอกเขาอย่างเคืองๆ ในขณะที่ชลกรอมยิ้มแก้มปริ “เป็นจริงๆ ก็ดีสิ” “อะไรนะ!” “เปล่าๆ เอ่อ...ผ้าห่ม ขอผ้าห่มสักผืนสิ” เขาเสเอ่ยเรื่องอื่น ปรายรุ้งหาผ้าห่มมาให้ มันไม่ได้เนื้อดีนุ่มฟู แต่ห่มแล้วกลับอุ่นจนถึงหัวใจ “หอมจัง” “คะ?” “ผ้าห่มน่ะ” “อ้อ...ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มเยอะมั้ง ซักไว้นานแล้ว นานๆ ได้กลับบ้านที” บอกเขาแล้วล้มกายลงนอน ไม่ได้ปิดไฟหรอกนะเพราะกลัวว่าความมืดจะทำให้ใครบางคนอดใจไม่ไหว จงใจเปิดไฟทิ้งไว้ให้สว่าง เผื่อเขาทำอะไรเธอขึ้นมาจะได้เตะถูกจุด “ทำไมเธอไม่ให้พ่อเลิกทำงานล่ะ” “บอกจนปากจะฉีกแล้วย่ะ แต่พ่อก็ยังทำ มันอดไม่ได้มั้ง บางครั้งเงินที่ขายกุ้งขายปลาได้ น้อยกว่ากว่าค่าซ่อมเรือซะอีก เป็นหนี้เป็นสิน แต่ก็ยังทำ พ่อเกิดมาเพื่อทำงานนี้ ถ้าเลิกทำพ่อคงเหงา คลื่นทะเลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพ่อไปแล้ว พ่อมีความสุขที่ได้ออกเรือ” “ดีนะ ความสุขหาง่ายจัง” “ใช่ ไม่เหมือนพวกคนรวยที่ความสุขต้องซื้อด้วยเงินเท่านั้น อ้อ...ตกลงคุณทำงานอะไร” ถามเพราะไม่อยากเล่าเรื่องตัวเองแล้ว เวลาสั้นๆ ที่ได้คลุกคลีกันนั้น ชลกรรู้เรื่องของเธอตั้งมากมาย ในขณะที่เธอไม่รู้เรื่องของเขาเลย “บริษัทของครอบครัวน่ะ วันๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เข้าบริษัทไปเซ็นเอกสารแกรกสองแกรก แล้วก็ออกมาเที่ยวเตร่” “สบายจริง” “ไม่หรอก ก่อนจะลงนาม เราก็ต้องพิจารณาเอกสาร ลายเซ็นเราแค่อันเดียวแต่มีผลต่อทั้งบริษัท มันคือการตัดสินใจ ถ้าเราตัดสินใจพลาด บริษัทก็ไม่ได้กำไร เกิดภาระเสี่ยงต่อการเป็นหนี้และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะ” “น่าปวดหัวชะมัด” เธอบ่นแล้วหันตะแคงมองคนที่นอนอยู่ข้างล่าง ใบหน้าขาวผ่องของเขาขาวยิ่งกว่าหมอนที่หนุนอยู่เสียอีก “เป็นแบบที่เธอกับพ่อเป็นมันดีที่สุดแล้วปราย คิดถึงแค่ตัวเองกับพ่อ ไม่ต้องคิดถึงส่วนรวม ไม่ต้องแบกรับความกังวลของใคร ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเงินที่ไม่ใช่ของเราคนเดียวด้วย” “คุณเลยต้องดื่มหนักแล้วควงหญิงเพื่อคลายเครียดเหรอ” ถามแบบประชดนิดๆ ชลกรยิ้มกว้าง ลุกขึ้นมานั่ง ปรายรุ้งก็ลุกขึ้นมาบ้าง “ก็มีบ้าง แต่นั่นฉันคิดว่ามันเป็นข้ออ้างละนะ เธอดูฉันสิ ทั้งหล่อทั้งรวย ทั้งน่ากอดไปทั้งตัว มันก็ต้องบริหารเสน่ห์กันหน่อย หึๆๆ” ปรายรุ้งส่ายหน้าระอา “หลงตัวเองชะมัด” “พิสูจน์ไหมล่ะ” “คะ?” “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จ้องตาฉันแล้วไม่ใจอ่อน” “ใจอ่อนอะไร” เธอสงสัย “ใจอ่อนให้ฉันจูบน่ะสิ”“แหวะ! ว่าไปนั่น”“ลองดูสิ” ไม่ท้าเปล่าๆ แต่ยืดกายขึ้นนั่งด้วยสองเข่าแล้วโน้มกายหาร่างปรายรุ้ง บังคับด้วยสองแขนจนหล่อนนอนราบลงไปบนที่นอนบางๆ“จะทำอะไร!”“ก็พิสูจน์ไงสาวน้อย มองตาฉันสิ”“ไม่” ปรายรุ้งปฏิเสธ เบี่ยงหน้าหนีดวงตาวับวาวของชายเจ้าชู้ แต่ก็ถูกคนมือไวจับหน้าให้หันกลับมาจุดเดิม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังขึ้นมาอยู่บนเตียงกับเธอ สองมือเขากดมือเธอไว้กับฟูก ใบหน้าเขาโน้มลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน“จ้องตาฉันสิ เธอเห็นอะไร”“ก็...ลูกตามั้ง” ตอบแบบเกร็งๆ หัวใจเต้นแรงแปลกๆ พยายามดิ้นให้หลุดจากสองมือ แต่เหมือนเขามีพลังช้าง หรือไม่ก็เธอเองที่ไม่มีเรี่ยวแรง ก็แหม...ดูตาเขาสิ วิบวับเชียว มันทอดมองเธอเหมือนว่าเธอมีครีมเค้กปาดหน้าไว้อย่างไรอย่างนั้น เขาคงอยากชิมครีมเค้กสินะ และคงกำลังใช้ดวงตาคู่นั้นล่อลวงเธออยู่“ปรายรุ้ง...แน่ใจหรือว่าไม่หลงเสน่ห์ฉันน่ะ ดูตาฉันสิ จ้องมันดีๆ อย่าลืมจ้องตรงนั้นล่ะ”“หา!?”“ปากไงเล่า หึๆๆ” ชลกรแทบเล่นมุกนี้ต่อไปไม่ไหว ปรายรุ้งกำลังจะทำให้เขาหลุดขำยามแกล้งหล่อนอย่างนี้ ดวงตากลมคู่นั้น
“พ่อหิวข้าวไหม หนูทำอะไรให้กินก่อนกลับ”“โอย....ไม่ต้องหรอก ไปบ้านเจ้าชดมา กินกับมันมาแล้ว”“โธ่...พ่อ หัดเกรงใจเขาซะบ้างเถอะ”“เกรงใจทำไมวะ คนกันเองแท้ๆ ว่าแต่เอ็งมานี่ซิ”นายประดับกวักมือเรียกบุตรสาวไปคุยกันที่หน้าชานชลกรพยายามเงี่ยหูฟัง เพราะทั้งสองคุยกันไม่ดังนัก เขาไม่ค่อยได้ยิน ปรายรุ้งหน้ายุ่งไม่น้อย เหมือนจะไม่พอใจบิดาบางอย่าง มือเจ้าหล่อนเปิดกระเป๋าสตางค์ออกดู แล้วก็หน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเดินกลับมาหาเขา“มีอะไร”“คือ...เอ่อคือ...ขอยืมตังค์หน่อยได้ไหมคะ”น้ำเสียงเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยความเกรงใจ ชลกรรู้ในทันทีว่าหากปรายรุ้งมีทางเลือกอื่น คงไม่เอ่ยปากขอยืมเขาแน่ๆ“ได้สิ เธอจะเอาเท่าไหร่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามีเงินสดพอไหม” เขารีบล้วงเอากระเป๋าหนังใบหรูออกมาจากกระเป๋ากางเกงช้าง เปิดดูก็พบว่ามีเงินสดอยู่เจ็ดพันบาท“ขอยืมก่อนห้าพัน สิ้นเดือนคืนให้พร้อมดอกเบี้ย” เธอเอ่ยรัวเร็วชลกรมุ่นคิ้วพลางควักเงินให้สาวเจ้า เขาเดินตามหลังหล่อนมา หล่อนยื่นเงินให้บิดาพร้อมกับเสียงบ่นเบาๆ“อะ
“เขารอคุณหรือคะ”“เปล่า เขามาเที่ยว และเรา...จะทำเหมือนว่าเราไปเที่ยว ฉันเคยเจอเขามาแล้ว แบบฉาบฉวยน่ะ และยังไม่เคยคุยเรื่องธุรกิจ แต่คราวนี้...ฉันจะคุย” เขาบอกแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยมาดอันสุขุม“และถ้าคุณเที่ยวโดยไม่มีผู้หญิงเคียงข้าง มันจะดูจงใจไปเจอเขามากเกินไปใช่ไหมคะ”“เธอฉลาด แต่จะฉลาดกว่านี้ถ้าลุกจากเตียงเสียที ฉันอยากถึงพัทยาก่อนบ่ายสอง” เขาบอกโดยไม่หันกลับมาทรายทองลุกขึ้นยืนอย่างเพลียๆ พาตัวเองในชุดนอนสุดเซ็กซี่เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ตาแทบจะลืมไม่ขึ้น และพอแปรงฟันเสร็จ เธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเดินออกมาที่หน้าประตูห้องน้ำ อังเดรหันมาพอดี เธอเสยผมอีกครั้งหนึ่ง มันคงยุ่งเหยิง แต่คงน่าดูสำหรับคนที่กำลังจ้องเธอตาโต“ทรายยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้า”เขาตีหน้ายุ่ง เดินมาหาแม่สาวสุดเซ็กซี่ในชุดนอน เอื้อมมือไปหลังเอวบางแล้วดึงร่างน้อยเข้าหาตัว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปากเจ้าเล่ห์ของเขา“ไม่เอาน่า ทรายเพลีย” บอกเขาแล้วส่ายหน้าช้าๆ“จะเอา”“ไม่...”“ครั้งเดียว” เขาต่อรอง หรี่ต
[4]ลิ้นกับฟัน__________________________________________________________________________________________________อังเดรเดินออกจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่ได้อาบ เขาเดินลงบันไดมา คาดว่าจะได้เห็นท่าทีซึมๆ ของทรายทอง แต่เปล่าเลย หล่อนนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา มือหนึ่งถือแก้วน้ำส้ม ส่วนมืออีกข้างถือสมาร์ตโฟนแนบหูอยู่ เขายืนมองจากขั้นบันได เริ่มกอดอกเมื่อได้ยินเสียงหวานๆ ของหล่อน“ทรายไม่ว่างเลยค่ะมี่ถง...อยากไปหาคุณจะแย่ พอดีว่าพ่อทรายมาเยี่ยม จะปล่อยทิ้งไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ พ่อยังไม่ค่อยชินถนนหนทางในเมืองเท่าไหร่ค่ะ คุณอย่าโกรธทรายนะคะ”เสียงอ่อนเสียงหวานนั้นไม่ได้เข้ากับท่าทีเนือยๆ ราวเบื่อโลกของเจ้าของเลย ทรายทองมีความสามารถอย่างล้นเหลือในการหลอกคู่สนทนาว่าตอนที่พูดนั้นเธอกำลังพูดแล้วยิ้มไปด้วย“คิดถึงคุณเหมือนกันค่า...” ตอบกลับคนปลายสายแล้วถอนหายใจเบา ๆ การรักษาฐานลูกค้าดีๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอาชีพอย่างเธอ พ่อหนุ่มในสายก็เป็นคนหนึ่งในนั้น เขาโทรมารบเร้าขอเช่าชั่วโมงนางเช่าอย่างเธอไปดูหนังฟังเพลงค่ำนี้ แต่เธอต้องปฏิเสธเพราะรับปากอังเดร อภิมหาลูกค้าชั้นยอดไว้แล้วเรียบร้อย“อาทิตย์หน้าเจอก
ปรายรุ้งตะเบ็งเสียงร้องประหนึ่งว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้คว้านท้องฆ่าตัวตาย “พี่อย่ามาบังคับหนูนะ หนูเพิ่งเรียนจบ และหนูจะไม่ยอมให้พี่จับแต่งงานเด็ดขาด”“นี่แสดงว่าแกไปกับผู้ชายมาจริงๆ ใช่ไหม!”“หนูไม่บอกพี่หรอก พี่อยากแต่งก็แต่งเองสิ!” ปรายรุ้งเถียงคอเป็นเอ็นการมีปากเสียงของสองพี่น้องต่างสายเลือดกำลังเข้มข้นตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมาเจอ เขาวางกระเป๋าเดินทางสองใบที่ถือมาไว้ข้างบันได“ฉันแต่งแน่ถ้าเจอผู้ชายดีๆ สักคน แต่แกก็เห็นว่าตอนนี้มันหายากมาก แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าฉันเจอเขาละก็ ฉันไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่!”“เธอคิดจริงๆ หรือว่าจะได้แต่งงานน่ะ”เสียงห้วนๆ ของอังเดรถามทรายทองราวประชด“แน่นอนฉันจะแต่ง” หันไปตอบอย่างมุ่งมั่น“ฉันจะพังงานแต่งงานเธอ จะเอาคลิปที่เราสนุกกันตอนอยู่บนเตียงไปฉายแทนวิดีโอพริเวดดิ้งของบ่าวสาว เจ้าบ่าวคงจะปลื้มตาค้างเลย หึๆๆ”ทรายทองอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง ในขณะที่ปรายรุ้งตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน“นี่พวกพี่เป็นพวกบ้า
ติ๊ง!!เสียงข้อความเข้า เรียกความสนใจของทรายทอง หญิงสาวยกสมาร์ตโฟนขึ้นดู สลับกับใบหน้าเขา และสมาร์ตที่เขาถืออยู่ ดูเหมือนว่าเขากำลังโอนเงินให้กัน“สำหรับเมื่อเช้า และเพิ่มให้อีกหน่อยเป็นค่าอารมณ์ของเธอ ฉันซื้ออารมณ์บูดๆ นั่น ทิ้งมันซะ อย่าพามันไปหาลูกค้าของฉันเลย” เขาเอ่ยอย่างจริงจังในอย่างหลัง เพราะไม่ต้องการให้คู่ค้าที่กำลังจะไปพบ ต้องเผชิญกับอารมณ์บูดๆ ของคู่ควงเขา การสละทรัพย์อันน้อยนิดเพื่อแลกกับทรัพย์ก้อนใหญ่จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำอย่างยิ่ง“คิดว่าเงินนี่จะฟาดหัวฉันได้หรือยะ”“อย่าคิดแบบนั้นสิ มีเลขศูนย์ตั้งห้าหกตัวนะ”“เชอะ! ฉันไม่เอาหรอก” เบะปากใส่เขาอย่างอวดดี“แน่ใจเหรอ เอาไปต่อทุนได้นะ”“ไม่!” ยืนยันเสียงกร้าวแกร่ง แต่แอบเหล่มองตัวเลขในข้อความแวบหนึ่ง“โอเค...ไม่ก็ไม่ งั้นโอนคืนมา”“เอาก็ได้!” ทรายทองรีบเอ่ย อารมณ์ดีขึ้นมาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะนอกจากค่าเสื้อผ้าที่ยังเหลือแล้ว เธอยังมีทุนสำหรับการไปคลายเครียดที่บ่อนก
“โอ๊ย! ไม่นะ เอาคืนมา” เธอไขว่คว้าเอาขวดเล็กๆ ที่บรรจุน้ำสีอำพันเอาไว้ วิสกี้ขวดพกพาเธอแอบซื้อมาเมื่อเช้าตอนที่เขาพาไปซื้อเสื้อผ้า“ฉันไม่ชอบให้เธอมีลมหายใจกลิ่นวิสกี้ มันน่าเบื่อ” ว่าแล้วก็โยนขวดเล็กๆ ลงข้างทาง ไม่สนว่ามันจะตกแตกแล้วทำให้รถคันอื่นต้องมีปัญหากับล้อยาง“คุณเองก็ดื่ม”“แต่ไม่ได้ดื่มพร่ำเพรื่ออย่างเธอ ฉันดื่มเพราะต้องเข้าสังคม”“ฉันดื่มเอาเมา! ได้ยินหรือยังฮะ รถจอดเมื่อไหร่ไปหาเจ้าขวดเล็กๆ นั่นมาคืนด้วย”“ฉันไม่รับคำสั่งใคร”เขาบอกอย่างถือดี ขยับนั่งตัวตรงแล้วมองไปนอกหน้าต่าง“โธ่เว้ย! นี่ฉันอยู่กับมนุษย์ถ้ำหรือยังไง เบื่อ! ได้ยินไหมว่าเบื่อๆๆ อื้อออ!!!”การหลับตาท่องคำว่าเบื่ออย่างเอาเป็นเอาตายทำให้ทรายทองได้รับจุมพิตร้อนๆ ของอังเดรเป็นสิ่งตอบแทน เขาหันหน้ากลับมาหาและโจนจ้วงลิ้นร้อนๆ เข้าใส่ริมฝีปากช่างจ้อนั่น แล้วไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ทรายทองก็แทบอ่อนเรี่ยวแรง“มันดีกว่าสั่งให้เธอหุบปากเยอะเลย หึๆๆ”เข
“วันสองวันนี้ฉันคงไม่ได้เข้าไป DC ฉันกำลังหางานกลางวันทำอยู่ ความจริงก็กะว่าจะทำที่ DC ไปด้วย มันอยู่ในช่วงที่อะไรๆ ยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ ฉันเองก็กลัวโดนด่าเหมือนกันที่ลาบ่อยๆ แต่ฉันไม่มีทางเลือก”“แต่เธอเลือกเชิญฉันเข้าบ้านได้นะ เธอเห็นถุงที่ฉันหิ้วมาไหม ของกินทั้งนั้น” เขาชูถุงกับข้าวกับปลาให้ปรายรุ้งดู หญิงสาวทำหน้าเหมือนคิดหนัก“ฉันเอากับข้าวมาฝาก ไม่ได้มาปล้ำ ทำหน้าดีๆ หน่อยแม่คุณ”“เอามาฝากหรือโดนบังคับมาล่ะ หน้าบูดเป็นตูดลิงเลย”“ตูดลิงที่ไหนจะหล่อขนาดนี้วะ”“เอ๊ะ! อย่ามาวะกับฉันนะ”เมื่อถูกเสียงแวดๆ ปรามเข้าให้ ชลกรก็หน้าจ๋อย“ผู้ชายเมื่อกี้ใครน่ะ”“ลูกค้าพี่ทราย เขาเอาเค้กมาฝาก”คราวนี้มีรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของชลกร“เชิญฉันเข้าบ้านทีเถอะ ยืนขาแข็งแล้ว” เขาสั่งแต่ปรายรุ้งส่ายหน้า “ทำไมล่ะ”“ฉันอยู่บ้านคนเดียว และนี่มันก็ใกล้มืดแล้ว”“เธอกลัวฉันหรือไง เมื
บทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ
“โอเคๆ ตั้งแล้วๆ อ่า...คนนี้ชื่ออะไรดีน้า อืม...อนาวิลดีไหม”“เพราะมากค่ะสามีขา...” คนขี้อ้อนเอ่ยชมสามีทันทีที่ได้ชื่อถูกใจ “แล้วอีกคนละคะ”อังเดรทำหน้าคิดหนักยิ่งกว่าเก่า “อืม...อนาวิลแล้วก็ต้อง...อณิษฐ์...ใช่ อณิษฐ์” เขายิ้มกว้าง ทรายทองกระแซะร่างเข้าหาสามี สอดแขนโอบเอวเขาไว้ ในขณะที่อังเดรก็กอดเธอกลับมา“สามีตั้งชื่อเก่งมากค่ะ ชื่อเล่นเดี๋ยวทรายตั้งเอง” บอกเขาแล้วเงยหน้าจุมพิตปลายคางสากไปหนึ่งที“หายโกรธแล้วใช่ไหมคนดี”ทรายทองส่ายหน้าเบาๆ“ไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจ โดนสามีง้อบ่อยๆ เดี๋ยวก็หาย ถ้าจะให้หายไวละก็ควรมีกระเป๋าแบรนด์เนมมาปลอบใจสักโหลสองโหล”“โอเว่อร์ มันเปลือง...อีกอย่างน่ะ เงินฉันฉันให้เธอหมดแล้ว อยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาครับ”คราวนี้อังเดรเป็นต่อ เขากลั้นขำ หากจะให้สามีทำเซอร์ไพรส์มอบของขวัญให้ในวันพิเศษต่างๆ ละก็ หล่อนคงหมดหวังละ เพราะทุกบาททุกสตางค์ให้ศรีภรรยาไปหมดสิ้นแล้ว“โอ๊ย...คุณเอื้ออ่า...ไม่รับมุกเลย งั้นเดี๋ยวทรายจะโอนเงินให้เดือนละแสนแล้วกัน”“เอาไว้ให้สามีใช้จ่ายใช่ไหมที่รัก”“เอาไว้ซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์เมียย่ะ”“เธอมันร้ายจริงๆ”“ก็มันเป็นนิสัยของทรายไปแล้ว...อื้อ
[19]ผู้ชายที่ไม่เคยถูกรัก________________เช้าวันถัดมาก๊อกๆๆประตูถูกเคาะและถูกเปิดออกในนาทีต่อมา ทรายทองยืนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ อังเดรปรากฏกายใต้กรอบประตู เขาเดินเข้ามาช้าๆ มีร่างเอลฟ์ยักษ์ของนิคเดินตามมาติดๆ นิคหยุดยืนอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง ส่วนอังเดรหยุดยืนที่กลางห้อง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างประหม่า“นึกว่า...จะไม่มานะคะ”“มาสิ ฉันต้องมาแน่ แต่ว่า...ช้าไปหน่อย...ฉันรีบที่สุดแล้ว มันไม่มีเที่ยวบินที่เร็วกว่านี้ ฉัน...”อุแว้....อุแว้...“โอ...คุณพระ! นี่ฉันได้ลูกแฝด!?”อังเดรช็อกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแสนโวลต์ เขาจ้องมองกระบะทารกทั้งสองตาค้าง ปรายรุ้งอุ้มทารกคนหนึ่งขึ้นมา เจ้าหนูยังร้องจ้า“พี่ทราย สงสัยน้องจะหิว พี่กลับขึ้นเตียงเถอะจะได้เอาน้องกินนม” คนเป็นน้องบอกทรายทองขยับขึ้นไปนั่งแล้วรีบเอ่ยบางอย่าง“ให้คุณเอื้ออุ้มลูกมาซิปราย”อังเดรยืนตัวแข็ง หัวใจเขาเต้นแรง นั่นมันมนุษย์ตัวเล็กที่แผดเสียงร้องจ้า ที่สำคัญคือมีมนุษย์ตัวเล็กตั้งสองคนแน่ะ ให้ตายเถอะ! ประสาทจะกิน ทรายทองไม่ยอมบอกเขาเลยกับการมีครรภ์แฝด หล่อนมันตัวแสบ อยากให้เขาช็อกตายหรืออย่างไร“เอาสิคุ
“อย่ามาพูด เลิกจ้ำจี้ฉันเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกทีย่ะ” ปรามเขาอย่างเคืองๆ ก็ปากบอกอยากจะมีลูก แต่ใช้งานเธออย่างกับนางเอกหนังเอวีละก็ เชิญไปมีกับคนอื่นเถอะ ถ้ามีลูกขึ้นมาเธอคงเหมือนซอมบี้ ไม่ต้องมีเวลาหลับเวลานอนกันละ“ปรายใจร้าย...” เขาสวนทันควัน มือข้างหนึ่งเลื่อนไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัว ทว่ายังจ้องผิวเนื้อของทารกแฝดไม่วางตา“มีลูกนี่งานใหญ่นะคุณโช เรายังไม่เต็มอิ่มกับชีวิตหนุ่มสาวเลย ฉันยังอยากอยู่กับคุณไปก่อน เราอย่าเพิ่งมีลูกกันเลย รออีกสักนิดดีกว่า นะๆ” ปรายรุ้งอ้อนสามี ทั้งอธิบายความเป็นจริงให้เขารู้ชลกรขยับไปยืนซ้อนหลังปรายรุ้ง กอดเอวหล่อนไว้หลวมๆ แล้วเกยคางบนไหล่บาง แอบสูดกลิ่นหอมของคนรักที่ซอกคอขาวแต่สองตายังจ้องสองแฝด“แล้วแต่เธอเถอะ แต่อย่านานนะที่รัก ม๊าอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”“ฉันรู้ค่ะ รออีกสักปีนะคะ ระหว่างนี้เราก็มาช่วยพี่ทรายเลี้ยงหลาน ฝึกงานไปด้วยดีไหมคะ”“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก ซ้อมบทพ่อแม่ไปพลางๆ เวลาเรามีลูกเราจะได้ไม่หัวหมุนเนาะ”หนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนทรายทองลอบยิ้ม พวกเขาดูรักกันดี ออดอ้อนกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่เหมือนคู่เธอเลยที่ฝ่ายชายเอาแ