“ช่างเถอะน่า ข้าไม่อยากยุ่งหรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้าเอ็งจะมีผัวก็ตามใจเถอะ ขอให้เอ็งมีความสุขก็พอ” นายประดับบอกลูก ตั้งแต่โตมาปรายรุ้งไม่เคยทำให้ท่านต้องเสียใจ ตั้งใจเรียนและทำงานมาตลอด ส่วนเรื่องของหัวใจนั้น ท่านบังคับไม่ได้ สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ถ้าไม่ทำใจยอมรับ ก็คงต้องเป็นทุกข์อกแตกตายเท่านั้นเอง
“โธ่...พ่อ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิน่า หนูยังเวอร์จิ้น เชื่อสิ!” คนเป็นลูกยืนกรานแต่คนเป็นพ่อส่ายหน้ารัวๆ จังหวะเดียวกันนั้นชลกรก็ไต่สะพานมาถึงตัวบ้านพอดี “สวัสดีครับคุณพ่อ” “นั่นไง ไหนเอ็งบอกไม่ใช่ผัว แล้วทำไมไอ้หนุ่มนี่เรียกข้าว่าพ่อวะ” ประดับเถียงจริงจัง ปรายรุ้งเกาหัวแกรกๆ ปวดกบาลเต็มที “โธ่...เขาก็เรียกตามหนูน่ะ โอ๊ย...จะบ้าตาย เข้ามาก่อนสิคุณ ชอบยืนอาบแดดหรือไง หน้าแดงหมดแล้ว” ท้วงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วดึงบิดาให้เข้ามาในบ้าน นายประดับไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงเลแบบง่ายๆ และหันหน้าเข้าหาอวนที่ชำรุด ท่านกำลังซ่อมมันอยู่ จากอวนสามสิบหลังที่มี ประดับจะออกไปวางอวนในตอนกลางคืน และกลับมาในตอนเช้า แล้วแต่อารมณ์ว่าจะวางอวนกี่รอบ ท่านทำประมงพื้นบ้านมาตั้งแต่จำความได้ รายได้ก็แล้วแต่กุ้งที่ได้มา บางวันได้เยอะบางวันได้น้อย แล้วแต่โชค แต่ท่านก็มีความสุขดี ถ้าไม่นับเรื่องเจ้าเรือยนต์ลำเก่งที่พังบ่อยๆ ละนะ ชลกรนั่งลงกลางบ้านในขณะที่ประดับนั่งอยู่ระเบียงชาน ส่วนปรายรุ้งแวบเข้าห้องตัวเองในทันทีที่เข้าบ้านมา บ้านหลังนี้มีสามห้อง พื้นเรือนเป็นไม้ ไม่สวยงามมากมายแต่สะอาดพอใช้ได้ และบนนี้ไม่ร้อนอย่างที่คิดไว้ อาจเพราะบ้านติดฝ้าเพดานหนาเตอะเพื่อกันไอร้อนก็เป็นได้ “ชื่ออะไรนะพ่อหนุ่ม” ประดับร้องถาม แต่ตาไม่ละไปจากอวน “ชื่อชลกรครับ เอ่อ...เรียกว่าโช หรือโชกุนก็ได้ครับพ่อ” “รู้จักยัยปรายนานแล้วเหรอ” “น่าจะปีหนึ่งแล้วครับ” เขาตอบ แอบโมเมว่าการพบปรายรุ้งที่ DC มาเป็นระยะเวลาหนึ่งปี คือเวลาที่รู้จักมักจี่กับเจ้าหล่อน “อือ...เป็นแฟนกันเหรอ” “เอ่อ...เปล่าครับ” สิ้นคำปฏิเสธ นายประดับก็มองมาตาขุ่นขวาง ชลกรเลยต้องหาทางเอาตัวรอด “เอ่อ...กำลังคบกันครับคุณพ่อ แหะๆ” “งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ ก็นึกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เห็นมาด้วยกันแบบนี้มันอดห่วงไม่ได้” ท่านว่าแล้วหันไปซ่อมอวนต่อ ปรายรุ้งออกมาจากห้องพอดี หญิงสาวล้างหน้าล้างตาแล้ว และอยู่ในชุดกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อยืดตัวโคร่งที่ใหญ่เกินไปสำหรับหุ่นบางๆ “คุยอะไรกันหรือพ่อ” “เปล่า! ก็ถามอะไรไปเรื่อย” “ถามอะไรไปเรื่อยแล้วทำไมต้องเสียงสูงด้วยล่ะ” “เอ๊ะ! นังปราย อะไรของเอ็งวะ ลูกหรือแม่วะเนี่ย ข้าหนีดีกว่า” “หนีไปไหนพ่อ” “ไปหาเหล้าขาวกินมั้ง!” “พ่อ!” “โอ๊ย...ขี้หูเต้นระบำ ข้าล้อเล่นโว้ย อวนมันขาด ตาข้ามองไม่ค่อยเห็น จะเอาไปให้เจ้าชดมันซ่อมให้” ประดับหมายถึงชด ชาวประมงที่อายุน้อยกว่าตัวเอง ซึ่งบ้านของนายชดก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ “แล้วไป อย่าให้รู้นะว่าแอบไปกินเหล้า” “เอ่อน่า ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ไปดูแลแฟนเองไป หาข้าวหาน้ำให้มันกินหน่อย” “โธ่พ่อ บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แฟนไม่ใช่ผัว” “เออน่า เอ็งไม่ต้องอายหรอก ข้ารับได้โว้ย” บอกลูกแล้วหอบเอาอวนผืนใหญ่ออกจากบ้านไป ทิ้งหนุ่มสาวให้อยู่กันตามลำพัง “พ่อเธอน่ารักดีนะ เหมือนจะหวงลูกสาว แต่ก็พร้อมจะเข้าใจ” “พ่อเป็นคนง่ายๆ บางครั้งก็ง่ายเกินไป พอแม่เสีย พ่อก็ทำทุกทางให้ชีวิตมีความสุข” เธออธิบาย “เสียใจด้วยเรื่องแม่ของเธอ” “ขอบคุณค่ะ มันผ่านมานานมากแล้ว อืม...คุณหิวไหม” “นิดหนึ่ง” ตอบแล้วมุ่นคิ้ว เพราะท้องเริ่มร้องครวญคราง ปรายรุ้งลุกเข้าไปในครัว ซึ่งเป็นชานต่อออกไปจากตัวบ้าน เปิดตู้เย็นดูและก็เห็นกุ้งหอยปูปลาอัดแน่นอยู่ในนั้น “ซีฟู้ดลวกจิ้มแล้วกันนะ ง่ายดี ฉันง่วง ขี้เกียจทำกับข้าว” “แล้วแต่เลย ขอแค่กินแล้วอิ่มก็พอ” เขาบอกแล้วลุกมาหาปรายรุ้งในครัวแคบๆ ที่แตกต่างจากครัวบ้านเขาอย่างสิ้นเชิง หล่อนเอากุ้งกับปลาหมึกออกมาล้างแล้วเอาหม้อตั้งเตา ระหว่างที่รอน้ำเดือดก็เอาครกมาโขลกพริกเตรียมทำน้ำจิ้ม “ไปนั่งรอเถอะน่า ฉันทำแป๊บเดียว” “ทำเป็นจริงเหรอ” “คุณโช!?” “ครับๆ ไปรอข้างนอกเดี๋ยวนี้” ชลกรนั่งรอไม่นาน มื้อเที่ยงแสนอร่อยก็มาวางอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือน้ำจิ้มมันแซ่บ วันนี้เขาจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ กินได้มากและกินได้อย่างอร่อยเหลือเกิน “กุ้งสดมากเลย สงสัยเพิ่งจับได้เมื่อเช้า” “ช่าย...อาหย่อยมากเยย” เขาพูดทั้งที่มีกุ้งลวกอยู่เต็มปาก ทั้งสองกินไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข ปรายรุ้งรู้สึกสนิทกับชลกรมากขึ้นไปอีก ในขณะที่ชลกรสุขใจที่ไม่ต้องปั้นหน้าหรือเก๊กหล่อใส่ใคร เขาสามารถเป็นตัวของตัวเอง ยิ้มและหัวเราะ หรือแม้แต่พูดตอนมีของกินอยู่เต็มปากเช่นนี้ได้ โดยที่แม่สาวหน้าสวยไม่นึกรังเกียจ แถมยังขำเขาอีกต่างหาก มื้อเที่ยงเสร็จสิ้นในเวลาไม่นานนัก หนุ่มสาวต่างอิ่มแปล้ไปตามๆ กัน “โอย...พุงกาง...” ปรายรุ้งโอดโอย ขณะนั่งลงหน้าจอโทรทัศน์เครื่องเก่าคร่ำคร่าแล้วส่งหมอนใบหนึ่งให้ชลกรเอาไปนอนหนุน “ใช่ อิ่มมาก” บอกหล่อนแล้วตบหมอนเก่าๆ แต่ยังดูสะอาดสะอ้านไปสามสี่ที ทว่ายังไม่ยอมนอนลง ป้าบ! ป้าบ! “จะตบอีกนานไหมคุณ มันสะอาดน่า หมอนฉันเอง” ปรายรุ้งท้วงอย่างรู้ทัน “โอเค หนุนก็หนุน แหะๆ” เขารีบเอนกายลงนอน รู้สึกสบายมากทีเดียวยามนอนหงายเต็มร่างอย่างนี้ ขับรถมาเกือบสองชั่วโมง ก็เมื่อยเอาการละนะ “คุณจะดูช่องไหนก็เปิดเลยนะ ฉันไม่ไหว ง่วงมาก นี่มันเวลานอนของฉัน” ว่าพลางอ้าปากหาวหวอดๆ ชนิดไม่ห่วงสวย แล้วโยนรีโมตให้ชลกร เธอนอนหน้าจอโทรทัศน์เป็นเพื่อนแขกที่ไม่ใช่แขก ไม่อยากให้เขาอึดอัดหากว่าจะโดนทิ้งให้นอนอยู่กลางบ้านโล่งๆ คนเดียว“เธอทำได้ยังไง ทั้งไปเรียน ทั้งทำงาน” ถามขึ้นอย่างทึ่งในตัวสาวเจ้า“ลองมาเป็นฉันดูสิ เดี๋ยวคุณก็ทำได้ พ่อแก่ แม่ไม่มี บ้านก็จะพังมิพังแหล่ เครื่องมือหากินก็สามวันดีสี่วันไข้ ฉันหมายถึงไอ้เจ้าเรือยนต์ของพ่อน่ะ ทุกอย่างมันคือความรับผิดชอบ ต้องหาเงินให้พอกับสิ่งที่ต้องจ่าย บางทีก็หาไม่ทันหรอก ขอพี่ทรายอยู่เรื่อย แต่ฉันโชคดีที่มีพี่ทราย”“เด็กดริงก์บางคนที่ DC บอกว่าทรายทองเลี้ยงเธอไว้เป็นเบ๊” เขาเอ่ยตามที่เคยได้ยินมา บ้างก็ว่าทรายทองจิกหัวใช้ปรายรุ้งยิ่งกว่าทาสเสียอีก ทรายทองมีความสวยเป็นอาวุธ หล่อนเป็นสาวนั่งดริงก์ที่ไม่ได้มาประจำที่ DC แต่แขกประจำส่วนใหญ่มาเพื่อจะได้นั่งคุยกับเจ้าหล่อนกันทั้งนั้น ค่าตัวของทรายทองนั้นถือว่ามากอยู่ สำหรับเกรดสาวไซด์ไลน์ระดับเดียวกันที่เป็นแค่เพื่อนกินเพื่อนเที่ยว ไม่ใช่เพื่อนนอน“ฉันเต็มใจเป็นเบ๊ ฉันยอมดูแลคนที่ฉันรัก ฉันไม่แคร์คำคนหรอก คุณพักผ่อนเถอะ อ้อ...อย่าคิดทำอะไรฉันเชียวนะ”คนสวยพลิกหน้าไปหาคนที่นอนอยู่ห่างๆ“จะบ้าเหรอ นี่มันกลางวันแสกๆ” เขาเอ่ยขำๆ“ไม่รู้ละ ฉันหลับลึกด้วย ถ้าตื่นมาเสื้อผ้าห
“นับว่าการรอคอยไม่เสียเปล่า หนูงดงามมากจ้ะทรายทอง” บุรุษเสียงทุ้มวัยสี่สิบต้นๆ เอ่ยทักทายทรายทองพร้อมยิ้มกว้าง เขาลุกขึ้น ทำให้เห็นพุงน้อยๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะหุ่นสูงใหญ่ก็ตาม“ยังปากหวานเหมือนเดิมนะคะเฮีย เข้าใจเลือกสถานที่นะคะ” เอ่ยแซวแล้วกวาดตามองรอบห้องอาหารขนาดใหญ่ ที่นี่มักมีสายข่าวมาตามเก็บภาพพวกดารานักร้องเสมอ เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกนักข่าวสายบันเทิงรู้กันว่าจะต้องได้ข่าว ‘เฮียจิว’ แม้ไม่ใช่ดาราแต่เขาก็เป็นไฮโซ เวลาปรากฏตัวในที่สาธารณะจึงมักเป็นที่จับตามองอยู่เสมอ“แหม...คนเราก็ต้องมีหน้าที่ไม่ใช่เหรอ นั่งลงก่อน หิวไหม”“เปรี้ยวปากมากกว่าค่ะ ขอวิสกี้เข้มๆ หรือไม่ก็ออเดิร์ฟเป็นไวน์แพงๆ สักแก้วเถอะค่า”จิวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาสั่งไวน์ให้ทรายทองหนึ่งขวดใหญ่ ระหว่างนั่งรอก็ปัดหน้าจอสมาร์ตโฟนไปมาเพื่อโอนเงินค่าตัวให้ทรายทอง หญิงสาวล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าใบเล็กมาดูบ้าง มีข้อความจากแบงก์ที่ตนใช้อยู่ประจำถูกส่งเข้ามา“โอ...ให้เกินตั้งหมื่นหนึ่งแน่ะ” ท้วงแล้วยกมือไหว้ขอบคุณคนที่เพิ่งโอนเงินเข้ามา“เห็นชุดหนูแล้วเฮียเกร
ทรายทองลุกไปเข้าห้องน้ำ จังหวะนั้นต้องเดินผ่านโต๊ะของบุรุษมาดเข้มที่ชื่อ อังเดร เธอพยายามไม่มองเขา แต่รู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าเขามองตามมาชนิดที่ว่าแทบจะแปะลูกตาติดบั้นท้ายเธอ“มองได้มองไป ไม่สนหรอกย่ะ” บอกตัวเองแล้วเดินไปทางห้องน้ำหญิง เข้าไปจัดการธุระราวห้านาทีแล้วเดินออกมา แน่นอนว่าที่หน้าประตูทางเข้าห้องน้ำ มีร่างสูงของอังเดรยืนตรงดิกรออยู่ เธอทำเป็นมองไม่เห็น และเดินผ่านเขาไป แต่ก็ถูกมือใหญ่ดึงแขนกลับมาเผชิญหน้ากัน“เอ๊ะ! อะไรของคุณฮะ ทรายมากับลูกค้านะ”“แล้วไงล่ะ ห้าทุ่มแล้ว กลับบ้านได้แล้ว” เขาเริ่มไม่สบอารมณ์“เพิ่งห้าทุ่มต่างหาก ผีเสื้อราตรีอย่างทรายออกหากินตอนกลางคืนค่ะ กลับบ้านตอนนี้ก็หมดสนุกสิคะคุณเอื้อขา...” บอกเขาอย่างล้อเลียน อังเดรได้ฟังก็ส่ายหัว ไม่พอใจในคำตอบและไม่พอใจในชุดสีทองอร่ามที่แนบเนื้อเจ้าหล่อนไปทุกส่วนเช่นนี้“ชุดบ้าอะไรของเธอ ไม่แก้ผ้ามาซะเลยล่ะ”“อย่ามาว่าชุดทรายนะ ชุดนี้แพงจะตาย เรียบหรูดูดีกว่าชุดของผู้หญิงที่คุณควงมาซะอีก”“อย่าดึงคนอื่นมาเกี่ยวในเรื่องนี้ กลับบ้าน! เดี๋ยวฉันไปส่ง”
[3]หวง______________________________ทรายทองกลับมาบ้านด้วยความอนุเคราะห์ของนิค เขาคงอยากมาส่งถึงห้องนอนเลยถ้าทำได้ นิคกลับไปในเวลาต่อมา เธออยากร้องเรียกปรายรุ้งให้หาเหล้ามาให้ดื่มสักนิด ด้วยว่าแอลกอฮอล์ในร่างยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าปรายรุ้งกลับไปหาบิดาที่สัตหีบ และรถของเธอนั้นยังอยู่ที่อู่ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัวที่โทรมาแจ้งตอนหัวค่ำ“บ้าจริง! ปวดหัวชะมัด” บอกตัวเองแล้วลุกจากโซฟาไปหาแอลกอฮอล์ในห้องครัว เธอได้เหล้าติดมือมาสมใจ แต่น่าเสียดายนักที่คงรินได้ไม่ถึงสองแก้วก่อนที่มันจะเกลี้ยงขวด “ยัยปรายก็ไม่อยู่ รถก็ไม่มี แล้วฉันจะหาเหล้าได้จากไหนเนี่ย” ถามตัวเองอย่างเซ็งๆ แล้วสาดเหล้ารสชาติหวานบาดทรวงลงคอ ดีกรีของมันทำให้ต้องหลับตาปี๋“อ๊า...แรงชะมัด!” บ่นไปอย่างนั้นแต่กลับรินเหล้าอีกแก้ว ยกขวดค้างไว้ให้เหล้าไหลออกจากขวดจนเกลี้ยงที่สุด ก่อนจะยกแก้วซดอีกครั้งแล้วลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทรายทองไม่ได้อาบน้ำ แต่เปลี่ยนมาใส่ชุดนอนเลย เธอล้างเครื่องสำอางลวกๆ แล้วปีนขึ้นเตียงแม้ดวงตายังค้างแข็ง อยากเปลี่ยนใจไปคลายเครียดที่บ่อน แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุก
บ้านหลังน้อยของทรายทองอังเดรไขรั้วเข้ามาด้วยกุญแจที่เขามี บ้านช่องเงียบเชียบ ทว่าเปิดไฟทิ้งไว้หลายดวง เขาไขกุญแจประตูบ้านอีกชั้น และน่าโมโหนักที่ทรายทองเลินเล่อขนาดลืมล็อก เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน แล้วความเงียบสงัดก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของใครบางคน“กรี๊ดดด!!!”อังเดรวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน เสียงกรีดร้องของทรายทองทำเอาใจเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หล่อนเป็นอะไร มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับหล่อนอย่างนั้นหรือ และเขาก็ได้รู้คำตอบ ทรายทองยังนอนอยู่บนเตียงตอนที่เขาเปิดประตูเข้ามา ห้องทั้งห้องสว่างโร่ ราวกับว่าหล่อนกลัวที่จะปิดไฟนอน“ทราย! ทรายทอง! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!” เขาจับร่างน้อยเขย่าเบาๆ และต้องเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นเมื่อหล่อนยังอยู่ในห้วงนิทราอันแสนทุกข์“ไม่! ไม่ไป! หนูไม่ไป กรี๊ดดด!!!”“ทราย! ตื่น! ทรายทอง!!”เฮือก!ทรายทองดีดตัวขึ้นนั่ง หายใจหอบแรงราวกับไปวิ่งมาสักสิบกิโลฯ หยดน้ำตายังเปื้อนบนใบหน้างาม แต่ยังน้อยกว่าความงุนงงที่อังเดรมานั่งอยู่ข้างเธอ สีหน้าเขาดูตื่นตระหนก และเขา...ยังหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง“เธอฝันร้าย?”หญิงสาวพยักหน้า ขมปร่าในลำคอ แล้วนาทีถัดมาหยดน้ำตาก็พร่างพรู เธอกอดเขาไว้ ซบหน้าเ
กลางดึกวันเดียวกันเสียงซ่าๆ ดังอยู่เหนือหลังคาบ้านหลังน้อย ปรายรุ้งเปิดประตูออกมาดูความเรียบร้อยนอกห้องนอน บิดาของเธอยังไม่กลับเข้ามา มันน่าห่วงเพราะว่าฝนกำลังตกหนัก“ฝนตกหนักมาก” ชลกรลุกมานั่งกอดเข่าแน่นๆ บ้านหลังน้อยมีลักษณะเปิดโล่งด้านหน้าชาน และในเมื่อเขาต้องนอนหน้าจอโทรทัศน์ มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะหลบเลี่ยงอากาศอันหนาวเย็น“ใช่ พ่อยังไม่กลับเข้ามาเลย จะเป็นอะไรไหมนะ” เพราะห่วงใยเลยออกไปยืนชะเง้อที่ระเบียงชาน โผล่หน้าออกไปดูท้องทะเลเพียงเดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบกลับเข้ามาเพราะว่าโดนฝนสาดใส่จนเสื้อชุ่ม แสงจากเรือยนต์ยามค่ำคืนมีหลายลำเสียจนเธอไม่รู้ว่าลำไหนเป็นเรือของบิดา“อาจกำลังกลับมาก็ได้” เขาให้กำลังใจ รู้สึกไม่ดียามเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของปรายรุ้งเธอเดินกลับมาหาชลกร เห็นรอยน้ำฝนสาดเข้ามาใกล้เขาจนแทบจะถึงฟูกบางๆ ที่ปูไว้ให้ ก็นึกสงสาร“ถ้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรฉัน ฉันจะให้คุณเข้าไปนอนข้างใน” เธอต่อรอง“ฉันนอนห้องข้างๆ เธอก็ได้” เขาต่อรองบ้าง ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดใจไม่แตะต้องปรายรุ้งได้ไหมหากต้องเข้าไปนอนในห้อ
“แหวะ! ว่าไปนั่น”“ลองดูสิ” ไม่ท้าเปล่าๆ แต่ยืดกายขึ้นนั่งด้วยสองเข่าแล้วโน้มกายหาร่างปรายรุ้ง บังคับด้วยสองแขนจนหล่อนนอนราบลงไปบนที่นอนบางๆ“จะทำอะไร!”“ก็พิสูจน์ไงสาวน้อย มองตาฉันสิ”“ไม่” ปรายรุ้งปฏิเสธ เบี่ยงหน้าหนีดวงตาวับวาวของชายเจ้าชู้ แต่ก็ถูกคนมือไวจับหน้าให้หันกลับมาจุดเดิม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังขึ้นมาอยู่บนเตียงกับเธอ สองมือเขากดมือเธอไว้กับฟูก ใบหน้าเขาโน้มลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน“จ้องตาฉันสิ เธอเห็นอะไร”“ก็...ลูกตามั้ง” ตอบแบบเกร็งๆ หัวใจเต้นแรงแปลกๆ พยายามดิ้นให้หลุดจากสองมือ แต่เหมือนเขามีพลังช้าง หรือไม่ก็เธอเองที่ไม่มีเรี่ยวแรง ก็แหม...ดูตาเขาสิ วิบวับเชียว มันทอดมองเธอเหมือนว่าเธอมีครีมเค้กปาดหน้าไว้อย่างไรอย่างนั้น เขาคงอยากชิมครีมเค้กสินะ และคงกำลังใช้ดวงตาคู่นั้นล่อลวงเธออยู่“ปรายรุ้ง...แน่ใจหรือว่าไม่หลงเสน่ห์ฉันน่ะ ดูตาฉันสิ จ้องมันดีๆ อย่าลืมจ้องตรงนั้นล่ะ”“หา!?”“ปากไงเล่า หึๆๆ” ชลกรแทบเล่นมุกนี้ต่อไปไม่ไหว ปรายรุ้งกำลังจะทำให้เขาหลุดขำยามแกล้งหล่อนอย่างนี้ ดวงตากลมคู่นั้น
“พ่อหิวข้าวไหม หนูทำอะไรให้กินก่อนกลับ”“โอย....ไม่ต้องหรอก ไปบ้านเจ้าชดมา กินกับมันมาแล้ว”“โธ่...พ่อ หัดเกรงใจเขาซะบ้างเถอะ”“เกรงใจทำไมวะ คนกันเองแท้ๆ ว่าแต่เอ็งมานี่ซิ”นายประดับกวักมือเรียกบุตรสาวไปคุยกันที่หน้าชานชลกรพยายามเงี่ยหูฟัง เพราะทั้งสองคุยกันไม่ดังนัก เขาไม่ค่อยได้ยิน ปรายรุ้งหน้ายุ่งไม่น้อย เหมือนจะไม่พอใจบิดาบางอย่าง มือเจ้าหล่อนเปิดกระเป๋าสตางค์ออกดู แล้วก็หน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเดินกลับมาหาเขา“มีอะไร”“คือ...เอ่อคือ...ขอยืมตังค์หน่อยได้ไหมคะ”น้ำเสียงเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยความเกรงใจ ชลกรรู้ในทันทีว่าหากปรายรุ้งมีทางเลือกอื่น คงไม่เอ่ยปากขอยืมเขาแน่ๆ“ได้สิ เธอจะเอาเท่าไหร่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามีเงินสดพอไหม” เขารีบล้วงเอากระเป๋าหนังใบหรูออกมาจากกระเป๋ากางเกงช้าง เปิดดูก็พบว่ามีเงินสดอยู่เจ็ดพันบาท“ขอยืมก่อนห้าพัน สิ้นเดือนคืนให้พร้อมดอกเบี้ย” เธอเอ่ยรัวเร็วชลกรมุ่นคิ้วพลางควักเงินให้สาวเจ้า เขาเดินตามหลังหล่อนมา หล่อนยื่นเงินให้บิดาพร้อมกับเสียงบ่นเบาๆ“อะ
บทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ
“โอเคๆ ตั้งแล้วๆ อ่า...คนนี้ชื่ออะไรดีน้า อืม...อนาวิลดีไหม”“เพราะมากค่ะสามีขา...” คนขี้อ้อนเอ่ยชมสามีทันทีที่ได้ชื่อถูกใจ “แล้วอีกคนละคะ”อังเดรทำหน้าคิดหนักยิ่งกว่าเก่า “อืม...อนาวิลแล้วก็ต้อง...อณิษฐ์...ใช่ อณิษฐ์” เขายิ้มกว้าง ทรายทองกระแซะร่างเข้าหาสามี สอดแขนโอบเอวเขาไว้ ในขณะที่อังเดรก็กอดเธอกลับมา“สามีตั้งชื่อเก่งมากค่ะ ชื่อเล่นเดี๋ยวทรายตั้งเอง” บอกเขาแล้วเงยหน้าจุมพิตปลายคางสากไปหนึ่งที“หายโกรธแล้วใช่ไหมคนดี”ทรายทองส่ายหน้าเบาๆ“ไม่ได้โกรธ แค่น้อยใจ โดนสามีง้อบ่อยๆ เดี๋ยวก็หาย ถ้าจะให้หายไวละก็ควรมีกระเป๋าแบรนด์เนมมาปลอบใจสักโหลสองโหล”“โอเว่อร์ มันเปลือง...อีกอย่างน่ะ เงินฉันฉันให้เธอหมดแล้ว อยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาครับ”คราวนี้อังเดรเป็นต่อ เขากลั้นขำ หากจะให้สามีทำเซอร์ไพรส์มอบของขวัญให้ในวันพิเศษต่างๆ ละก็ หล่อนคงหมดหวังละ เพราะทุกบาททุกสตางค์ให้ศรีภรรยาไปหมดสิ้นแล้ว“โอ๊ย...คุณเอื้ออ่า...ไม่รับมุกเลย งั้นเดี๋ยวทรายจะโอนเงินให้เดือนละแสนแล้วกัน”“เอาไว้ให้สามีใช้จ่ายใช่ไหมที่รัก”“เอาไว้ซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์เมียย่ะ”“เธอมันร้ายจริงๆ”“ก็มันเป็นนิสัยของทรายไปแล้ว...อื้อ
[19]ผู้ชายที่ไม่เคยถูกรัก________________เช้าวันถัดมาก๊อกๆๆประตูถูกเคาะและถูกเปิดออกในนาทีต่อมา ทรายทองยืนอยู่ที่ปลายเตียง กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ อังเดรปรากฏกายใต้กรอบประตู เขาเดินเข้ามาช้าๆ มีร่างเอลฟ์ยักษ์ของนิคเดินตามมาติดๆ นิคหยุดยืนอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง ส่วนอังเดรหยุดยืนที่กลางห้อง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างประหม่า“นึกว่า...จะไม่มานะคะ”“มาสิ ฉันต้องมาแน่ แต่ว่า...ช้าไปหน่อย...ฉันรีบที่สุดแล้ว มันไม่มีเที่ยวบินที่เร็วกว่านี้ ฉัน...”อุแว้....อุแว้...“โอ...คุณพระ! นี่ฉันได้ลูกแฝด!?”อังเดรช็อกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแสนโวลต์ เขาจ้องมองกระบะทารกทั้งสองตาค้าง ปรายรุ้งอุ้มทารกคนหนึ่งขึ้นมา เจ้าหนูยังร้องจ้า“พี่ทราย สงสัยน้องจะหิว พี่กลับขึ้นเตียงเถอะจะได้เอาน้องกินนม” คนเป็นน้องบอกทรายทองขยับขึ้นไปนั่งแล้วรีบเอ่ยบางอย่าง“ให้คุณเอื้ออุ้มลูกมาซิปราย”อังเดรยืนตัวแข็ง หัวใจเขาเต้นแรง นั่นมันมนุษย์ตัวเล็กที่แผดเสียงร้องจ้า ที่สำคัญคือมีมนุษย์ตัวเล็กตั้งสองคนแน่ะ ให้ตายเถอะ! ประสาทจะกิน ทรายทองไม่ยอมบอกเขาเลยกับการมีครรภ์แฝด หล่อนมันตัวแสบ อยากให้เขาช็อกตายหรืออย่างไร“เอาสิคุ
“อย่ามาพูด เลิกจ้ำจี้ฉันเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกทีย่ะ” ปรามเขาอย่างเคืองๆ ก็ปากบอกอยากจะมีลูก แต่ใช้งานเธออย่างกับนางเอกหนังเอวีละก็ เชิญไปมีกับคนอื่นเถอะ ถ้ามีลูกขึ้นมาเธอคงเหมือนซอมบี้ ไม่ต้องมีเวลาหลับเวลานอนกันละ“ปรายใจร้าย...” เขาสวนทันควัน มือข้างหนึ่งเลื่อนไปโอบเอวบางแล้วดึงเข้าหาตัว ทว่ายังจ้องผิวเนื้อของทารกแฝดไม่วางตา“มีลูกนี่งานใหญ่นะคุณโช เรายังไม่เต็มอิ่มกับชีวิตหนุ่มสาวเลย ฉันยังอยากอยู่กับคุณไปก่อน เราอย่าเพิ่งมีลูกกันเลย รออีกสักนิดดีกว่า นะๆ” ปรายรุ้งอ้อนสามี ทั้งอธิบายความเป็นจริงให้เขารู้ชลกรขยับไปยืนซ้อนหลังปรายรุ้ง กอดเอวหล่อนไว้หลวมๆ แล้วเกยคางบนไหล่บาง แอบสูดกลิ่นหอมของคนรักที่ซอกคอขาวแต่สองตายังจ้องสองแฝด“แล้วแต่เธอเถอะ แต่อย่านานนะที่รัก ม๊าอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว”“ฉันรู้ค่ะ รออีกสักปีนะคะ ระหว่างนี้เราก็มาช่วยพี่ทรายเลี้ยงหลาน ฝึกงานไปด้วยดีไหมคะ”“เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก ซ้อมบทพ่อแม่ไปพลางๆ เวลาเรามีลูกเราจะได้ไม่หัวหมุนเนาะ”หนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนทรายทองลอบยิ้ม พวกเขาดูรักกันดี ออดอ้อนกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่เหมือนคู่เธอเลยที่ฝ่ายชายเอาแ