บทที่ 2
‘สุขกันเถิดเรา เศร้าไปทำไม'
.
.
ปลายฟ้าในร่างของเย่ซูชางนอนยกขาพาดกันกระดิกปลายเท้าอยู่บนเตียงกว้างด้วยความหนักใจ มือเล็กยกขึ้นก่ายหน้าผากตนเองเพื่อพยายามครุ่นคิดในเรื่องที่จะกลับออกไปจากนิยายนี้ยังไงแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จะฆ่าตัวตายก็เหมือนว่าจะไม่มีทางทำสำเร็จมันจะต้องมีอะไรมาขัดขวางตลอดเวลา
ลมหายใจถูกถอนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ถ้าการถอนหายใจทำให้แก่ไวป่านนี้ตัวเธอเองคงตายกลายเป็นวิญญาณไปแล้วเพราะจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจมากี่ครั้งรู้แค่ว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็เอาแต่นอนถอนหายใจแบบนี้มาเป็นชั่วยามได้แล้วมั้ง
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมันทำให้ปลายฟ้าต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นเย่ซูเจินที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำเชียว ตอนเด็ก ๆ กินน้ำผึ้งแทนนมหรือไงถึงหน้าหวานยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าขนาดนี้
“ที่นี่ไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไง เจ้าถึงได้เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องก่อน?”
หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที นางไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลยแท้ ๆ หรือว่าผีคาแรคเตอร์ของเย่ซูชางจะเข้าสิงกันถึงได้พูดคำร้ายกาจด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปแบบนั้น
“ขออภัยพี่หญิงรองเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ท่านจะตีข้าก็ย่อมได้ แต่ข้าเป็นห่วงท่านเห็นไม่ออกจากเรือนจึงมาดูด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ๆ เจ้าค่ะ”
สุดท้ายก็เหมือนต้องยอมรับว่าตอนนี้เธอไม่ใช่ปลายฟ้าอีกต่อไปแล้วแต่เป็นเย่ซูชาง นางร้ายสายตอแหลจนเดินตลาดไม่ได้เพราะคงโดนรุมตบ การจะอยู่ที่นี่ได้อย่างรอดปลอดภัยและมีชีวิตต่อไปเพื่อรอวันกลับออกไปยังโลกความจริง ก็คงจะมีวิธีเดียวคือการสวมบทบาทเป็นเย่ซูชางแล้วใช้ชีวิตอันสุขสบายนี้ให้คุ้มค่าเสีย ไหน ๆ ก็มาอยู่ในร่างคุณหนูบ้านรวยมากล้นเงินทองแล้วก็อย่ามัวแต่เสียใจหรือทุกข์ใจเลย
‘ลุกมาใช้เงินใช้ทองดีกว่า!’
“ข้าหิวข้าวแล้ว”
อยู่ดี ๆ หญิงสาวก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งจนคนน้องตกใจเล็กน้อย
“พี่หญิงรองไม่คิดหาวิธีฆ่าตัวตายแล้วหรือ?”
“ก็คิดอยู่แต่ตอนนี้หิวเลยคิดไม่ออก” นางเดินเข้ามาหาน้องสาวแท้ ๆ ที่คลานตามกันออกมาแล้วยกวงแขนขึ้นโอบกอดคอเล็กที่แทบจะพันแขนสามรอบได้ หน้าคอมันจะเล็กไปไหน
“เราไปกินข้าวกันดีกว่าน้องรัก”
……….
.
สุดท้ายทั้งสองคนก็มานั่งกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำพร้อมอาหารมากมายตระการตาจนเต็มโต๊ะหินจนเย่ซูชางตาเบิกกว้างด้วยความอึ้งเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินอาหารเยอะแบบนี้มาก่อนต่อให้เป็นงานเลี้ยงก็ยังไม่เยอะเท่านี้ นี่เป็นสิบกว่าอย่างเลยจนเลือกกินไม่ถูก
“กินกันแค่สองคนต้องเยอะถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“นี่เป็นปกติที่พี่หญิงรองกินเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินกล่าวเสียงนิ่งเรียบ
“หมายความว่ายังไง?”
“ยามปกติพี่หญิงรองก็ให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารมากมายเช่นนี้ขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว”
“ข้าเนี่ยนะ?” นางชี้นิ้วเข้าหาตนเองหน้าตาเหลอหลาก็ได้คำตอบจากน้องสาวสมรศรีเป็นการพยักหน้ายืนยัน
‘ถ้าหมดนี่ไม่เรียกว่ากินแล้ว แถวบ้านเรียกยัดห่า’
“คราวหน้าเจ้าบอกคนครัวให้ลดอาหารเหลือกับข้าวเพียงสามอย่าง ของหวานอีกหนึ่งอย่างก็พอ”
เย่ซูเจินที่ได้ยินก็ประหลาดใจจนแสดงชัดออกมาทางสีหน้า เย่ซูชางก็พอจะเข้าใจเพราะตามนิยายท่านหญิงเย่ใช้เงินมือเติบสุรุ่ยสุร่ายทุกเรื่องจะตายไป อาหารการกินก็ต้องเยอะแยะมากมายเหมือนจัดงานเลี้ยงทุกวัน ทั้งที่ความจริงกินแค่เพียงผู้เดียว บางจานกินเพียงคำเดียวก็ไม่แตะอีกให้คนเอาไปทิ้งให้หมากินอย่างไม่เสียดาย แต่ตอนนี้กลับบอกให้ลดจำนวนอาหารลงมันเลยแปลกสำหรับทุกคนเป็นแน่
“ข้าไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอเลยไม่อยากกินอะไรตามใจปากนัก ให้คนครัวจัดอาหารที่มีประโยชน์ให้ข้าแค่สามอย่างต่อมื้อก็พอแล้ว”
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินพยักหน้ารับสีหน้าดูผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน
“งั้นมากินข้าวกันเถิด เจ้าต้องกินเยอะ ๆ ตัวบางร่างน้อยถึงเพียงนี้เดี๋ยวลมพัดมาจะปลิวเอา” นางคีบเนื้อสามชั้นตุ๋นฉ่ำ ๆ ให้น้องสาวในนิยายด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินยิ้มหวาน
ตามที่อ่านมาในนิยายไม่ได้กล่าวถึงเย่ซูเจินนัก เหมือนจะเป็นตำแหน่งตัวประกอบมากกว่า คอยรับบทนางห้าม ห้ามเย่ซูชางไม่ให้ไปตบตีไปทะเลาะกับผู้อื่นเนี่ยแหละ ตอนอ่านก็จินตนาการไว้แล้วแหละว่าเย่ซูเจินต้องเป็นดอกบัวขาวและก็ไม่เกินความคาดหมายนัก
ตอนนี้ผู้ที่เป็นผู้นำสกุลเย่คือเย่ซูชางเนี่ยแหละ ส่วนท่านอารองของนางทำหน้าที่รักษาการแทนคล้ายฮ่องเต้ที่อายุยังน้อยเลยต้องมีฮองเฮาว่าราชการแทน ตามนิยายเย่ซูชางสนใจงานบ้านงานเรือนงานกิจการเสียที่ไหนเอาแต่ตามตื๊อพระเอกตบตีกับนางเอกไปวัน ๆ เท่านั้น
บิดาและพี่ใหญ่ตายในสนามรบ ส่วนมารดาก็ตรอมใจจนป่วยตายไปอีกคน ทำให้สกุลตอนนี้เหลือ ท่านอารอง ท่านอาเล็กที่อาศัยอยู่เมืองทางเหนือ ท่านย่าที่อยู่บ้านนอกกับน้องชายต่างมารดา ตัวของเย่ซูชาง เย่ซูเจิน และครอบครัวของท่านอารอง
ตอนจังหวะที่คิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของเย่ซูชางก็มองไปเห็นหยวนฉินที่กำลังเดินผ่านประตูวงกลมไปจนเห็นหลังไว ๆ แต่ก็มั่นใจว่าเป็นเขาเพราะจำอาภรณ์สีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้จึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินตามไป
“พี่หญิงรองท่านจะไปไหน?”
“ข้ามีธุระ เจ้ากินไปเถิด กินให้หมดอย่าให้เหลือเดี๋ยวจะเสียของ”
“ดะ… เดี๋ยวสิพี่หญิงรอง” เย่ซูเจินพยายามร้องเรียกพี่สาวแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเลยเหมือนใจของเย่ซูชางจะลอยไปที่อื่นแล้วเลยเดินตัวปลิวออกไปเลย นางทำได้เพียงก้มลงมองอาหารสิบกว่าอย่างตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ถ้าข้ากินหมดนี่คงต้องกลิ้งแทนเดินแล้วพี่หญิงรอง”
……….
.
เย่ซูชางเดินตามหยวนฉินไปทางเรือนของท่านอารองที่เห็นชายอาภรณ์ของเขาไว ๆ แต่เมื่อเดินทะลุประตูออกมากลับไม่เจอเขาแล้ว หันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอไม่รู้ว่าหายไปตอนไหนทั้งที่เมื่อครู่ยังเห็นหลังไว ๆ อยู่เลย มือเล็กยกขึ้นคาดตาเพื่อบังแดดแล้วทอดสายตามองออกไปด้านหน้าแต่ก็ไม่เจอ
“อะไรวะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไว ๆ อยู่เลย” นางเปลี่ยนเป็นเท้าเอวแทน
“หาข้าหรือ?” เสียงเข้มดังขึ้นข้างหูจนเย่ซูชางตกใจ
ด้วยความตกใจทำให้เย่ซูชางกระแทกข้อศอกไปด้านหลังเพื่อหวังจะฟันหน้าใครสักคนที่กล้าเข้ามาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ข้างหลังผู้อื่น แต่คนด้านหลังก็หลบได้ทันไม่พอยังจับแขนนางล็อกไปด้านหลังจนเจ็บปวดร้าวแขนแทบหักออกเป็นสองท่อน
“โอ๊ย!”
“เจ้าตามข้ามาทำไม หรือคิดแผนร้ายจะตีข้าจากข้างหลังให้ตาย”
“ข้ามีไม้หรือไง เจ้าก็แหกตาดูเสียบ้าง”
คนอย่างเย่ซูชางเองก็ไม่ยอมถึงแม้ดวงวิญญาณจะเป็นปลายฟ้าแต่ความไม่ยอมคนของนางเองก็มี ไม่ต้องใช้นิสัยนางร้ายอะไรทั้งนั้นหรอกแต่มันเป็นสิ่งที่คนดีก็มีได้เพราะการเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมทุกคน อีกอย่างตามนิยายหยวนฉินก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเย่ซูชางมาตลอดด้วย คอยถกเถียงตบตีกันเป็นเรื่องปกติถ้านางจะด่าเขาหรือเอาศอกฟันหน้าเขาสักฉาดก็คงไม่มีอะไรผิดแปลกไป
“ว่าแต่ข้าแล้วเจ้าเล่า มาจับมือถือแขนข้าไม่ยอมปล่อย คิดสิ่งใดลึกซึ้งกับข้าอยู่หรือเปล่า?” นางแกล้งหยอกเย้าพ่อพระรองรูปงามด้วยน้ำเสียงหวานจนหยวนฉินต้องรีบปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระแต่ไม่ปล่อยเปล่าแทบจะผลักนางออกจนหน้าแทบทิ่มด้วยซ้ำไป
“เจ้าไม่ผลักข้าให้หน้าทิ่มไปเลยเล่า!”
“ข้าก็ตั้งใจเช่นนั้น”
“นี่เจ้า!” เย่ซูชางอยากจะสถบคำหยาบคายด่าเขาออกไปแต่ก็ต้องพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้เพราะถึงนางจะเป็นนางร้ายแต่ก็เกิดในสกุลผู้ดี ต้องสำรวมกิริยาและวาจาเอาไว้ให้มากเดี๋ยวคนอื่นจะตกใจนึกว่าแม่ค้าปากตลาดที่ไหน
แต่พอได้มองพ่อพระรองชัด ๆ อีกครั้งเขาก็หล่อเหลาไม่หยอกเชียว ใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีแดงระเรื่อหน้าจูบ หน้าของเขาเนียนใสมากมันขาวผ่องเป็นยองใยเชียว ช่างเกิดมาเป็นผู้ที่ครบทั้งรูปโฉมและรูปทรัพย์จริง ๆ นางยังไม่เห็นหน้าพระเอกหรอกนะ แต่แค่พระรองก็หล่อมากแล้วและพ่อพระเอกจะหล่อปานเทพลงมาเกิดขนาดไหน
“เจ้าคิดแผนชั่วอะไรอีก”
“ใช่ ข้ากำลังคิดแผนชั่วอยู่”
นางก้าวเท้าเดินเข้ามาหาเขา ถ้าอยากให้นางร้ายนักนางก็จะร้ายให้ดู ใบหน้าหวานยื่นไปใกล้บุรุษผู้องอาจที่ยังยืนนิ่งท้าทายกันอย่างไม่หวาดหวั่นเห็นแล้วมันก็ชวนตื่นเต้นยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น นิ้วเรียวลากไล้ลูบสัมผัสไปตามอกกว้างอย่างหยอกล้อจนคิ้วของหยวนฉินขมวดเข้าหากันมองการกระทำของนางอย่างไม่ชอบใจนัก
“ข้ากำลังคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ท่านมาครอบครอง”
“เจ้าพูดอันใด!”
มือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วออกแรงบีบ ดวงตาคมฉายแววความโกรธจนออกมาทางน้ำเสียงของเขา เย่ซูชางกลับไม่หวาดกลัวเลือกจะยิ้มชอบใจในความขุ่นเคืองของเขาที่นางสามารถกระตุ้นมันออกมาได้
“ข้าชักชอบท่านแล้วสิ บุรุษผู้องอาจ เป็นถึงรองเจ้ากรมพิธีการ มากความสามารถ งามทั้งรูปโฉมและรูปทรัพย์จะไม่ให้สตรีบอบบางเช่นข้าชื่นชมได้อย่างไร”
“สมแล้วที่เจ้าเป็นนางมารร้าย จิตใจช่างโลเลยิ่งนัก สามวันก่อนเจ้ายังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทูลขอพระราชทานสมรสกับจางหมิงซัวอยู่เลย”
เย่ซูชางหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดไตร่ตรองก็จำได้ว่าตัวของเย่ซูชางในนิยายนั้นหลงรักพ่อพระเอกหัวปักหัวปำจนไปทูลขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้จริง ๆ แต่ก็ถูกจางหมิงซัวปฏิเสธหักหน้ากันต่อหน้าฮ่องเต้และขุนนางมากมายจนกลายเป็นที่โจษจันไปทั่วว่าท่านหญิงเย่ลุ่มหลงบุรุษจนลืมยางอายไปหมดแล้ว มีอย่างที่ไหนสตรีไปขอบุรุษสมรสก่อน
หลังจากเรื่องราวนั้นนางร้ายก็อับอายถึงขีดสุดแต่แทนที่จะไปด่าจางหมิงซัวนางกลับเลือกจะไปตบตีทำร้ายนางเอกแทนเพราะคิดว่าถ้าไม่มีนางเอกพระเอกคงแต่งงานกับตนไปแล้วเลยเอาความโกรธไปลงที่นางเอกทุบตีทำร้ายศัตรูหัวใจเสียจนแขนหักเลยทีเดียว ทำให้พระเอกและพระรองโกรธเกลียดนางร้ายอย่างเย่ซูชางมากที่บังอาจไปทำร้ายดวงใจของพวกเขา
‘นี่ไม่ใช่ว่านางทำร้ายนางเอกไปแล้วหรอกนะ!’
บทที่ 3'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย (1/2)'..“ตอนนี้ข้าไม่อยากแต่งกับท่านพี่หมิงซัวแล้ว” นางพูดหยั่งเชิงออกไปก่อนจะยกพัดด้ามจิ๋วขึ้นโบกเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ“แน่สิ เจ้าจะแต่งกับจางหมิงซัวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไปทำร้ายเสี่ยวเยว่เสียแขนหัก”‘นั่นปะไร ตรงตามนิยายเป๊ะ งั้นเรื่องหลังจากนี้ก็ต่อจากเหตุการณ์นี้สินะ’“คนชั่วเช่นเจ้าไยถึงได้มีบุญบารมีได้เป็นถึงท่านหญิงกันนะ ถ้าเจ้าไม่มีบรรดาศักดิ์ท่านหญิง ไม่มีอำนาจเก่าก่อนที่บิดาและพี่ชายสร้างเอาไว้ ป่านนี้คงโดนลากคอไปลงอาญาแล้ว วัน ๆ หนึ่งของเจ้าสมองคงคิดแต่เรื่องชั่ว ทำร้ายผู้คนไปทั่วจิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนักไม่สมควรเกิดมาในสกุลสูงส่งเช่นนี้เลย”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็อึ้งจนพูดไม่ออกจนนึกสงสัยว่านี่คนหรือเครื่องด่าเคลื่อนที่ เหมือนเขาเปิดระบบด่าเลยพ่นคำออกมาเป็นชุดได้ขนาดนี้เล่นเอานางสำนึกผิดไม่ทันเลย คนเลวมันคือเย่ซูชางแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมายืนรับฟังคำด่าคำสาปแช่งชิงชังมันต้องเป็นนางด้วยนะ‘เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~’“ขะ… ข้าเองก็เสียใจ”“คนอย่างเจ้าหรือจะเสียใจ”“โอ๊ย!”เขาผลักนางจนล้มก้นจ้ำเบ้า แต่พอเย่ซูชางเงย
บทที่ 4'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย (2/2) '..เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากเหล่าบ่าวไพร่ที่มายืนล้อมวงดูเย่ซูชางที่กำลังถูกจางหมิงซัวสาดน้ำผลไม้ใส่ มันไม่ใช่น้ำผลไม้คั้นอะไรแต่มันคือน้ำที่ผสมเศษผลไม้ที่ถูกนำไปบดเท่านั้น ทำให้หัวและร่างกายของนางเต็มไปด้วยซากผลไม้ที่ติดตามผมและร่องหลืบของอาภรณ์“ท่านพี่หมิงซัวพอเถิดเจ้าค่ะ!” เย่ซูเจินรีบเข้ามาห้ามปราม“ไม่ต้องห้ามเขา ถ้าท่านแม่ทัพกระทำสิ่งนี้แล้วสบายใจขึ้นก็ปล่อยให้เขากระทำไป ข้าทำผิดย่อมยอมรับโทษทัณฑ์”“คนเช่นเจ้าต่อให้โดนน้ำเน่าน้ำโคลนสาดจากคนทั้งเมืองก็ไม่สามารถชดใช้ในความชั่วของเจ้าได้”“งั้นก็เอาเลยสิ เรียกคนทั้งเมืองมาสาดโคลนใส่ข้า เอาที่เจ้าสบายใจเลยจางหมิงซัว!”เย่ซูชางตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทนมันทำให้จางหมิงซัวประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้ยินนางเรียกตนด้วยชื่อเต็มมานานแล้ว นานมากจนบางทีอาจจะเป็นสิบปี แต่ทำไมวันนี้นางถึงกล่าวชื่อเต็มของตน ไหนจะท่าทางเฉยเมยนี่อีก ปกตินางมักจะเข้ามาออเซาะออดอ้อนเขาเสมอ เห็นหน้าไม่ได้เลยเป็นต้องเดินตามต้อย ๆ คอยมาตื๊อมาให้ท่าถึงจวนเป็นประจำ แต่ทำไมยามนี้แววตาของนางยามทอดมองมากลับแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนไม่
บทที่ 5‘ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่’..“พี่หญิงรอง พี่หญิงรองเกิดเรื่องแล้ว!” เย่ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเขตเรือนของเย่ซูชางที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ภายในศาลากลางสวน“ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เย่ซูชางกล่าวเสียงนิ่งเรียบมือยังคงหยิบดอกไม้ขึ้นมาจัดแต่งใส่แจกันหยกใบงาม“จะมีคนตายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่หมิงซัวถูกพาไปที่คุกหลวงเห็นทีคงโดนโทษโบยเพราะฮ่องเต้ทรงไม่ยอมที่เขามาหมิ่นเกียรติท่าน”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบลง ภายในใจเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “ข้าถือว่าข้าชดใช้ไปแล้ว ข้ายอมให้เขาหมิ่นเกียรติ ยามเดินไปไหนผู้คนก็นินทาเป็นตัวตลกขบขันแล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดอีก ส่วนที่ต้องชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว มันแค่ผิดตรงที่ว่าสิ่งที่หมิงซัวทำดันไปหมิ่นเกียรติฮ่องเต้เช่นกันเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับโทษในส่วนนี้ด้วยตนเอง หาใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”“ตะ… แต่ว่านั่นท่านพี่หมิงซัวนะเจ้าคะ”“แล้วอย่างไรหรือ?”ผู้น้องที่ได้ฟังผู้พี่กล่าวก็ประหลาดใจเพราะยามปกติพี่สาวของนางมักจะตามตื๊อจางหมิงซัวตลอดเวลา และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเขาเสมอด้วยแม้นว่าทุกครั้งเขาจะไม่ต้องการก็ตาม
บทที่ 6‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของเย่ซูชางกับหยวนฉินดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองจนชาวบ้านต่างนินทาซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ไม่นึกสงสัยเพราะมักจะเห็นหยวนฉินเข้าออกจวนสกุลเย่เป็นประจำ บ้างก็นึกสงสัยว่าตอนแรกเย่ซูชางตามตื๊อจางหมิงซัวมาหลายปี มิหนำซ้ำยังลดตัวไปทะเลาะตบตีกับสตรีจากหอนางโลมผู้นั้นอยู่ตลอดแต่ทำไมวันนี้ถึงมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายกับบุรุษอีกคนออกมาได้เย่ซูชางที่ปลอมตัวเป็นนักพเนจรออกมาเที่ยวตลาดก็ได้ยินทุกสิ่งที่ชาวบ้านนินทาแต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ข่าวใด ๆ เพราะมันเรื่องจริงทั้งนั้น วันนั้นที่ท่านอารองมาเห็นนางจูบกับหยวนฉินก็ไม่พอใจอย่างมาก ต่อว่านางต่าง ๆ นานาว่ากระทำตัวไร้ยางอาย ไม่ไว้หน้าบรรพบุรุษจนสุดท้ายหยวนฉินที่ไม่รู้ว่าสงสารเวทนานางหรือโดนผีสุภาพบุรุษเข้าสิงก็เอ่ยปากขอหมั้นหมายเองเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เลยเป็นข่าวลือที่ชาวบ้านพูดกันในทุกวันนี้ แต่ข่าวลือมันก็คือเรื่องจริง อีกไม่นานของหมั้นก็จะถูกส่งมาที่จวนสกุลเย่ แต่มันก็ติดปัญหาตรงที่ว่าจวนสกุลหยวนจะยินดีต้อนรับนางร้ายแบบนางเข้าไปเป็นสะใภ้หรือเปล่าเท่านั้นเพราะชื่อเสียงมีแต่ด้านแย่ ๆ ทั้งนั้
บทที่ 7‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..เย่ซูชางต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้เพราะถ้าไปหาเรื่องนางเอกอีกคงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีหวังพระเอกที่นอนรักษาตัวจากการถูกโทษโบยได้ลุกมาเอาเรื่องนางแบบลืมเจ็บลืมตายเป็นแน่“เจ้าควรจะดีใจที่ข้าไม่ไปยุ่งกับหมิงซัวอีก จะได้ไม่ต้องไปตบตีหรือทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้า”“ท่านพี่ฉินเป็นคนดีไม่ควรมัวหมองเพราะเจ้า”“งั้นควรมัวหมองเพราะเจ้าหรือ จะเอาผู้ใดก็เลือกสักคนไม่ ใช่จับปลาสองมือ”“ข้ารักท่านพี่หมิงซัว แต่ก็เป็นห่วงท่านพี่ฉินในฐานะพี่ชายเท่านั้น”“เจ้าเรียกทั้งสองคนว่าพี่ แต่กับข้าไยไม่เคารพบ้าง ข้าก็อายุเท่าพวกเขาเป็นพี่ของเจ้าและยังเป็นท่านหญิงด้วย ว่ากันตามตรงเจ้าควรนั่งลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคุยกับข้าถึงจะถูก กล้าดียังไงมายืนค้ำหัวข้าแบบนี้”“อึก!”แต่แทนที่แม่นางเอกจะกลัวดันผลักนางจนหลังกระแทกผนัง นี่ขนาดมีมือเดียวนะเนี่ยยังร้ายไม่ใช่น้อยถ้ามีสองมือสองแขนจะขนาดไหน ใครก็ว่านางชอบรังแกนางเอก แต่ไม่มีใครมาเห็นตอนนางเอกรังแกนางร้ายเลย“คนอย่างเจ้าไม่สมควรได้รับความเคารพ ไม่ควรเป็นท่านหญิง ไม่ควรให้ใครกราบไหว้ยกยอทั้งนั้น เจ้ามันก็แค่หญิงชั่ว!”สุดท้
บทที่ 8‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา (1/2)’พระตำหนักคุนหนิง , พระราชวังสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดโล่งเอาไว้จนกลิ่นหอมของมวลบุปผาล่องลอยเข้ามาจนชวนให้รู้สึกสบายใจแต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก หนึ่งในนั้นคือเย่ซูชางที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของฉีฮองเฮาที่กำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว“พระองค์เรียกหม่อมฉันมาพบถึงพระตำหนักมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” นางตัดสินใจถามออกไป พยายามใจดีสู้เสือ“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนหรือ?” ฉีฮองเฮากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบสุขุมในแบบของนางที่มักจะแสดงต่อผู้อื่นเสมอ“เพคะ” นางตอบออกไปตามตรงเพราะอีกไม่นานของหมั้นหมายก็จะถูกส่งมาจากนั้นก็คงจะตามมาด้วยสามหนังสือหกพิธีการ“เดิมทีเจ้าหมายใจแม่ทัพจางไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงหันเหไปหารองเจ้ากรมพิธีการหยวนเสียแล้วเล่า?”“หม่อมฉันกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นับว่ารู้จักสนิทสนมกันมาก มันเป็นเพียงแค่ความห่างเหินที่ทำให้ไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเพคะ พอได้อยู่ด้วยกัน ได้กลับมาเรียนรู้กันอีกครั้งจึงต่างรู้ใจตนเองว่าผู้ใดกันแน่ที่หัวใจหมายปอง”นางกล่าว
บทที่ 9‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา (2/2)’..“เจ้าว่าอย่างไร ความคิดของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฮองเฮาถามด้วยรอยยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่ประสงค์ร้าย“พระองค์ว่าเช่นไร หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้น ความคิดของพระองค์ย่อมหวังดีต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย‘เจ๊ว่าไงหนูก็ว่างั้นแหละ หนูจะพูดอะไรได้ก็เจ๊เป็นฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน!’“ดีมาก เจ้ายังเป็นเด็กดีเสมอ อดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพเย่ต้องภูมิใจในตัวเจ้าที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญเผชิญอันตรายเพื่อส่วนรวมเช่นนี้”“เพคะ หม่อมฉันก็หวังใจเช่นนั้น”‘ไม่ได้กล้าหาญจ้า ไม่ได้แข็งแกร่งด้วย ไม่ได้อยากไปด้วย แต่โดนเจ๊บังคับไง เจ๊เป็นฮองเฮาใครจะกล้าปฏิเสธ หัวได้หลุดออกจากบ่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอาจจะฟลุ๊ครอดกลับมาก็ได้’………..หลังจากที่พบฉีฮองเฮาแล้วเย่ซูชางก็ยังไม่กลับว่าจะแวะไปหาหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หวงกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นอาหญิงของหยวนฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากและพระนางก็มีจิตใจดีไม่ฝักใฝ่อำนาจไม่แทรกแซงฮองเฮาด้วย ยามว่างก็มักจะสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเสมอเลยยังอยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ ถ้าคิดท้าทายฮองเฮาหน่อยคงสิ้นชีพ
บทที่ 1‘ผู้ถูกเลือก’..“ท่านหญิงอย่าเจ้าค่ะ!”“ท่านหญิงลงมาเถิดเจ้าค่ะ!”เสียงของเหล่าสาวใช้ร้องตะโกนกันสุดเสียงพยายามจะขอร้องให้สตรีในอาภรณ์นอนสีขาวสะอาดก้าวลงมาจากราวระเบียงที่นางกำลังยืนอยู่ ถ้าเป็นชั้นหนึ่งคงไม่เท่าไหร่แต่ผู้เป็นท่านหญิงผู้นี้กลับยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองอย่างน่าหวาดเสียว“ฉันไม่ลง ฮึก… ฮือ… ฮือ ที่นี่ที่ไหน!”“พ่อแม่จ๋าหนูอยากกลับบ้าน!”สำเนียงและคำพูดของหญิงสาวนั้นแปลกประหลาดคล้ายว่าไม่ใช่ภาษาของยุคนี้ นั่นนับว่าถูกต้องเพราะแม้นว่าสตรีที่ยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองจะเป็นท่านหญิงของจวนหลังนี้แต่ดวงวิญญาณกลับเป็นคนผู้อื่นที่ทะลุมิติเข้ามาสิงในร่างกายงดงามนี้ปลายฟ้า หญิงสาวชาวไทยที่ปุ๊บปั๊บรับโชคทะลุมิติเข้ามาในนิยายแปลจีนเรื่องลิขิตปรารถนาบัญชาสวรรค์ที่เพิ่งอ่านไปก็งงเป็นไก่ตาแตก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอยังหายใจที่โลกด้านนอกคือเข้านอนบนเตียงหนานุ่มสบายจากนั้นกลับลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกของนิยายเรื่องนี้เสียแล้วตอนนี้เลยทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องห่มร้องไห้ออกมาแล้วคิดว่านี่คือความฝันเท่านั้นจะกระโดดลงจากระเบียงชั้นสองเพราะคิดว่าคนเราตกจากที่สูงในความฝันแล้วจะตื่นได้
บทที่ 9‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา (2/2)’..“เจ้าว่าอย่างไร ความคิดของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฮองเฮาถามด้วยรอยยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่ประสงค์ร้าย“พระองค์ว่าเช่นไร หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้น ความคิดของพระองค์ย่อมหวังดีต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย‘เจ๊ว่าไงหนูก็ว่างั้นแหละ หนูจะพูดอะไรได้ก็เจ๊เป็นฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน!’“ดีมาก เจ้ายังเป็นเด็กดีเสมอ อดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพเย่ต้องภูมิใจในตัวเจ้าที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญเผชิญอันตรายเพื่อส่วนรวมเช่นนี้”“เพคะ หม่อมฉันก็หวังใจเช่นนั้น”‘ไม่ได้กล้าหาญจ้า ไม่ได้แข็งแกร่งด้วย ไม่ได้อยากไปด้วย แต่โดนเจ๊บังคับไง เจ๊เป็นฮองเฮาใครจะกล้าปฏิเสธ หัวได้หลุดออกจากบ่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอาจจะฟลุ๊ครอดกลับมาก็ได้’………..หลังจากที่พบฉีฮองเฮาแล้วเย่ซูชางก็ยังไม่กลับว่าจะแวะไปหาหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หวงกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นอาหญิงของหยวนฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากและพระนางก็มีจิตใจดีไม่ฝักใฝ่อำนาจไม่แทรกแซงฮองเฮาด้วย ยามว่างก็มักจะสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเสมอเลยยังอยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ ถ้าคิดท้าทายฮองเฮาหน่อยคงสิ้นชีพ
บทที่ 8‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา (1/2)’พระตำหนักคุนหนิง , พระราชวังสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดโล่งเอาไว้จนกลิ่นหอมของมวลบุปผาล่องลอยเข้ามาจนชวนให้รู้สึกสบายใจแต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก หนึ่งในนั้นคือเย่ซูชางที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของฉีฮองเฮาที่กำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว“พระองค์เรียกหม่อมฉันมาพบถึงพระตำหนักมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” นางตัดสินใจถามออกไป พยายามใจดีสู้เสือ“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนหรือ?” ฉีฮองเฮากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบสุขุมในแบบของนางที่มักจะแสดงต่อผู้อื่นเสมอ“เพคะ” นางตอบออกไปตามตรงเพราะอีกไม่นานของหมั้นหมายก็จะถูกส่งมาจากนั้นก็คงจะตามมาด้วยสามหนังสือหกพิธีการ“เดิมทีเจ้าหมายใจแม่ทัพจางไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงหันเหไปหารองเจ้ากรมพิธีการหยวนเสียแล้วเล่า?”“หม่อมฉันกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นับว่ารู้จักสนิทสนมกันมาก มันเป็นเพียงแค่ความห่างเหินที่ทำให้ไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเพคะ พอได้อยู่ด้วยกัน ได้กลับมาเรียนรู้กันอีกครั้งจึงต่างรู้ใจตนเองว่าผู้ใดกันแน่ที่หัวใจหมายปอง”นางกล่าว
บทที่ 7‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..เย่ซูชางต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้เพราะถ้าไปหาเรื่องนางเอกอีกคงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีหวังพระเอกที่นอนรักษาตัวจากการถูกโทษโบยได้ลุกมาเอาเรื่องนางแบบลืมเจ็บลืมตายเป็นแน่“เจ้าควรจะดีใจที่ข้าไม่ไปยุ่งกับหมิงซัวอีก จะได้ไม่ต้องไปตบตีหรือทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้า”“ท่านพี่ฉินเป็นคนดีไม่ควรมัวหมองเพราะเจ้า”“งั้นควรมัวหมองเพราะเจ้าหรือ จะเอาผู้ใดก็เลือกสักคนไม่ ใช่จับปลาสองมือ”“ข้ารักท่านพี่หมิงซัว แต่ก็เป็นห่วงท่านพี่ฉินในฐานะพี่ชายเท่านั้น”“เจ้าเรียกทั้งสองคนว่าพี่ แต่กับข้าไยไม่เคารพบ้าง ข้าก็อายุเท่าพวกเขาเป็นพี่ของเจ้าและยังเป็นท่านหญิงด้วย ว่ากันตามตรงเจ้าควรนั่งลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคุยกับข้าถึงจะถูก กล้าดียังไงมายืนค้ำหัวข้าแบบนี้”“อึก!”แต่แทนที่แม่นางเอกจะกลัวดันผลักนางจนหลังกระแทกผนัง นี่ขนาดมีมือเดียวนะเนี่ยยังร้ายไม่ใช่น้อยถ้ามีสองมือสองแขนจะขนาดไหน ใครก็ว่านางชอบรังแกนางเอก แต่ไม่มีใครมาเห็นตอนนางเอกรังแกนางร้ายเลย“คนอย่างเจ้าไม่สมควรได้รับความเคารพ ไม่ควรเป็นท่านหญิง ไม่ควรให้ใครกราบไหว้ยกยอทั้งนั้น เจ้ามันก็แค่หญิงชั่ว!”สุดท้
บทที่ 6‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของเย่ซูชางกับหยวนฉินดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองจนชาวบ้านต่างนินทาซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ไม่นึกสงสัยเพราะมักจะเห็นหยวนฉินเข้าออกจวนสกุลเย่เป็นประจำ บ้างก็นึกสงสัยว่าตอนแรกเย่ซูชางตามตื๊อจางหมิงซัวมาหลายปี มิหนำซ้ำยังลดตัวไปทะเลาะตบตีกับสตรีจากหอนางโลมผู้นั้นอยู่ตลอดแต่ทำไมวันนี้ถึงมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายกับบุรุษอีกคนออกมาได้เย่ซูชางที่ปลอมตัวเป็นนักพเนจรออกมาเที่ยวตลาดก็ได้ยินทุกสิ่งที่ชาวบ้านนินทาแต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ข่าวใด ๆ เพราะมันเรื่องจริงทั้งนั้น วันนั้นที่ท่านอารองมาเห็นนางจูบกับหยวนฉินก็ไม่พอใจอย่างมาก ต่อว่านางต่าง ๆ นานาว่ากระทำตัวไร้ยางอาย ไม่ไว้หน้าบรรพบุรุษจนสุดท้ายหยวนฉินที่ไม่รู้ว่าสงสารเวทนานางหรือโดนผีสุภาพบุรุษเข้าสิงก็เอ่ยปากขอหมั้นหมายเองเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เลยเป็นข่าวลือที่ชาวบ้านพูดกันในทุกวันนี้ แต่ข่าวลือมันก็คือเรื่องจริง อีกไม่นานของหมั้นก็จะถูกส่งมาที่จวนสกุลเย่ แต่มันก็ติดปัญหาตรงที่ว่าจวนสกุลหยวนจะยินดีต้อนรับนางร้ายแบบนางเข้าไปเป็นสะใภ้หรือเปล่าเท่านั้นเพราะชื่อเสียงมีแต่ด้านแย่ ๆ ทั้งนั้
บทที่ 5‘ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่’..“พี่หญิงรอง พี่หญิงรองเกิดเรื่องแล้ว!” เย่ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเขตเรือนของเย่ซูชางที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ภายในศาลากลางสวน“ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เย่ซูชางกล่าวเสียงนิ่งเรียบมือยังคงหยิบดอกไม้ขึ้นมาจัดแต่งใส่แจกันหยกใบงาม“จะมีคนตายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่หมิงซัวถูกพาไปที่คุกหลวงเห็นทีคงโดนโทษโบยเพราะฮ่องเต้ทรงไม่ยอมที่เขามาหมิ่นเกียรติท่าน”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบลง ภายในใจเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “ข้าถือว่าข้าชดใช้ไปแล้ว ข้ายอมให้เขาหมิ่นเกียรติ ยามเดินไปไหนผู้คนก็นินทาเป็นตัวตลกขบขันแล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดอีก ส่วนที่ต้องชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว มันแค่ผิดตรงที่ว่าสิ่งที่หมิงซัวทำดันไปหมิ่นเกียรติฮ่องเต้เช่นกันเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับโทษในส่วนนี้ด้วยตนเอง หาใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”“ตะ… แต่ว่านั่นท่านพี่หมิงซัวนะเจ้าคะ”“แล้วอย่างไรหรือ?”ผู้น้องที่ได้ฟังผู้พี่กล่าวก็ประหลาดใจเพราะยามปกติพี่สาวของนางมักจะตามตื๊อจางหมิงซัวตลอดเวลา และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเขาเสมอด้วยแม้นว่าทุกครั้งเขาจะไม่ต้องการก็ตาม
บทที่ 4'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย (2/2) '..เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากเหล่าบ่าวไพร่ที่มายืนล้อมวงดูเย่ซูชางที่กำลังถูกจางหมิงซัวสาดน้ำผลไม้ใส่ มันไม่ใช่น้ำผลไม้คั้นอะไรแต่มันคือน้ำที่ผสมเศษผลไม้ที่ถูกนำไปบดเท่านั้น ทำให้หัวและร่างกายของนางเต็มไปด้วยซากผลไม้ที่ติดตามผมและร่องหลืบของอาภรณ์“ท่านพี่หมิงซัวพอเถิดเจ้าค่ะ!” เย่ซูเจินรีบเข้ามาห้ามปราม“ไม่ต้องห้ามเขา ถ้าท่านแม่ทัพกระทำสิ่งนี้แล้วสบายใจขึ้นก็ปล่อยให้เขากระทำไป ข้าทำผิดย่อมยอมรับโทษทัณฑ์”“คนเช่นเจ้าต่อให้โดนน้ำเน่าน้ำโคลนสาดจากคนทั้งเมืองก็ไม่สามารถชดใช้ในความชั่วของเจ้าได้”“งั้นก็เอาเลยสิ เรียกคนทั้งเมืองมาสาดโคลนใส่ข้า เอาที่เจ้าสบายใจเลยจางหมิงซัว!”เย่ซูชางตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทนมันทำให้จางหมิงซัวประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้ยินนางเรียกตนด้วยชื่อเต็มมานานแล้ว นานมากจนบางทีอาจจะเป็นสิบปี แต่ทำไมวันนี้นางถึงกล่าวชื่อเต็มของตน ไหนจะท่าทางเฉยเมยนี่อีก ปกตินางมักจะเข้ามาออเซาะออดอ้อนเขาเสมอ เห็นหน้าไม่ได้เลยเป็นต้องเดินตามต้อย ๆ คอยมาตื๊อมาให้ท่าถึงจวนเป็นประจำ แต่ทำไมยามนี้แววตาของนางยามทอดมองมากลับแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนไม่
บทที่ 3'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย (1/2)'..“ตอนนี้ข้าไม่อยากแต่งกับท่านพี่หมิงซัวแล้ว” นางพูดหยั่งเชิงออกไปก่อนจะยกพัดด้ามจิ๋วขึ้นโบกเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ“แน่สิ เจ้าจะแต่งกับจางหมิงซัวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไปทำร้ายเสี่ยวเยว่เสียแขนหัก”‘นั่นปะไร ตรงตามนิยายเป๊ะ งั้นเรื่องหลังจากนี้ก็ต่อจากเหตุการณ์นี้สินะ’“คนชั่วเช่นเจ้าไยถึงได้มีบุญบารมีได้เป็นถึงท่านหญิงกันนะ ถ้าเจ้าไม่มีบรรดาศักดิ์ท่านหญิง ไม่มีอำนาจเก่าก่อนที่บิดาและพี่ชายสร้างเอาไว้ ป่านนี้คงโดนลากคอไปลงอาญาแล้ว วัน ๆ หนึ่งของเจ้าสมองคงคิดแต่เรื่องชั่ว ทำร้ายผู้คนไปทั่วจิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนักไม่สมควรเกิดมาในสกุลสูงส่งเช่นนี้เลย”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็อึ้งจนพูดไม่ออกจนนึกสงสัยว่านี่คนหรือเครื่องด่าเคลื่อนที่ เหมือนเขาเปิดระบบด่าเลยพ่นคำออกมาเป็นชุดได้ขนาดนี้เล่นเอานางสำนึกผิดไม่ทันเลย คนเลวมันคือเย่ซูชางแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมายืนรับฟังคำด่าคำสาปแช่งชิงชังมันต้องเป็นนางด้วยนะ‘เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น~’“ขะ… ข้าเองก็เสียใจ”“คนอย่างเจ้าหรือจะเสียใจ”“โอ๊ย!”เขาผลักนางจนล้มก้นจ้ำเบ้า แต่พอเย่ซูชางเงย
บทที่ 2‘สุขกันเถิดเรา เศร้าไปทำไม'..ปลายฟ้าในร่างของเย่ซูชางนอนยกขาพาดกันกระดิกปลายเท้าอยู่บนเตียงกว้างด้วยความหนักใจ มือเล็กยกขึ้นก่ายหน้าผากตนเองเพื่อพยายามครุ่นคิดในเรื่องที่จะกลับออกไปจากนิยายนี้ยังไงแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จะฆ่าตัวตายก็เหมือนว่าจะไม่มีทางทำสำเร็จมันจะต้องมีอะไรมาขัดขวางตลอดเวลาลมหายใจถูกถอนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ถ้าการถอนหายใจทำให้แก่ไวป่านนี้ตัวเธอเองคงตายกลายเป็นวิญญาณไปแล้วเพราะจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจมากี่ครั้งรู้แค่ว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็เอาแต่นอนถอนหายใจแบบนี้มาเป็นชั่วยามได้แล้วมั้งเสียงเปิดประตูดังขึ้นมันทำให้ปลายฟ้าต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นเย่ซูเจินที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำเชียว ตอนเด็ก ๆ กินน้ำผึ้งแทนนมหรือไงถึงหน้าหวานยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าขนาดนี้“ที่นี่ไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไง เจ้าถึงได้เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องก่อน?”หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที นางไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลยแท้ ๆ หรือว่าผีคาแรคเตอร์ของเย่ซูชางจะเข้าสิงกันถึงได้พูดคำร้ายกาจด้ว
บทที่ 1‘ผู้ถูกเลือก’..“ท่านหญิงอย่าเจ้าค่ะ!”“ท่านหญิงลงมาเถิดเจ้าค่ะ!”เสียงของเหล่าสาวใช้ร้องตะโกนกันสุดเสียงพยายามจะขอร้องให้สตรีในอาภรณ์นอนสีขาวสะอาดก้าวลงมาจากราวระเบียงที่นางกำลังยืนอยู่ ถ้าเป็นชั้นหนึ่งคงไม่เท่าไหร่แต่ผู้เป็นท่านหญิงผู้นี้กลับยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองอย่างน่าหวาดเสียว“ฉันไม่ลง ฮึก… ฮือ… ฮือ ที่นี่ที่ไหน!”“พ่อแม่จ๋าหนูอยากกลับบ้าน!”สำเนียงและคำพูดของหญิงสาวนั้นแปลกประหลาดคล้ายว่าไม่ใช่ภาษาของยุคนี้ นั่นนับว่าถูกต้องเพราะแม้นว่าสตรีที่ยืนอยู่บนราวระเบียงชั้นสองจะเป็นท่านหญิงของจวนหลังนี้แต่ดวงวิญญาณกลับเป็นคนผู้อื่นที่ทะลุมิติเข้ามาสิงในร่างกายงดงามนี้ปลายฟ้า หญิงสาวชาวไทยที่ปุ๊บปั๊บรับโชคทะลุมิติเข้ามาในนิยายแปลจีนเรื่องลิขิตปรารถนาบัญชาสวรรค์ที่เพิ่งอ่านไปก็งงเป็นไก่ตาแตก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอยังหายใจที่โลกด้านนอกคือเข้านอนบนเตียงหนานุ่มสบายจากนั้นกลับลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกของนิยายเรื่องนี้เสียแล้วตอนนี้เลยทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องห่มร้องไห้ออกมาแล้วคิดว่านี่คือความฝันเท่านั้นจะกระโดดลงจากระเบียงชั้นสองเพราะคิดว่าคนเราตกจากที่สูงในความฝันแล้วจะตื่นได้