"คุณซูหนี่ คิดยังไงคะที่รับบทบาทนี้" นักข่าวสัมภาษณ์เธอ
"ยินดีมากเลยค่ะ ที่คุณหม่า เลือกฉัน ถึงบทจะออกมาได้กี่ตอน แต่ฉันอยากให้ทุกคนได้ติดตามนะคะ ครั้งนี้ฉันร้ายมากเลยค่ะ" เธอสัมภาษณ์ไปหัวเราะยิ้มแย้มไป รอยยิ้มของเธอไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตรึงใจทุกคนได้
ชีวิตในวงการของเธอ เธอแสดงมาทุกบทแล้ว แต่ที่ยอมมาเล่นเพียงไม่กี่ตอนในเรื่องนี้เพราะคุณหม่าผู้กำกับมือทองที่ยื่นโอกาสในครั้งแรกให้เธอจนมีทุกวันนี้ เมื่อเขาส่งบทมาให้เธอจึงตอบรับทันที
ซูหนี่เป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้าหรือคนดูแลล้วนชื่นชอบเธอทั้งนั้น วันไหนเธอว่างมักจะออกไปเดินที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาทำอาหาร นี่คืออีกอย่างที่เธอทำได้ดีรองลงมาจากการแสดง
เธอเรียนจบด้านเชฟมาโดยตรง ตอนแรกเธอเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารของเธอนั้นขายดีจนมีชื่อเสียง ดารา อินฟลูเอนเซอร์ล้วนแล้วแต่เข้ามาถ่ายทำ เธอจึงมักได้ออกหน้าโซเซียลเป็นประจำ จนไปเข้าตาผู้กำกับเม่า เขาเรียกเธอมาลองแสดงให้ดู หลังจากนั้นมาเธอจึงได้รับโอกาสอีกมากมาย
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอมาเลือกซื้อของเพื่อนำกลับไปทำอาหารเอง อีกอย่างเธออยากจะลองเช็คความนิยมจากบทบาทล่าสุดที่เธอได้รับอีกด้วย เสียงชื่นชมจากแม่ค้าที่สนิทกันดังไม่ขาดระยะ แต่ก็มีแม่ค้าที่เจ้าถึงอารมณ์เกินไปด่าทอ เมื่อนึกไปถึงความร้ายกาจในบทของเธอ
"โอ๊ยยยย ยังมีหน้ามาเดินตลาดอีกนะนังซูหนี่" เธอชะงักไปแล้วหันไปยิ้มหวาน
"คุณป้าด่าฉันหรือด่าซูหนี่บทที่ฉันแสดงคะ" เธอถามกลับด้วยรอยยิ้ม เธอภูมิใจที่คนดูโมโหเช่นนี้ เพราะแสดงว่าเธอแสดงได้ถึงบทบาท
"ยังมีหน้ามาถาม แย่งผู้ชายของลี่อินแล้วยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่อีกหร๊ออ" หน้าของเธอเริ่มจะยิ้มไม่ไหวแล้ว
"คุณป้าค่ะ นั่นคือการแสดงนะคะ แต่ฉันดีใจนะคะที่คุณป้าชอบ"
"ใครจะไปชอบแกลงร้ายขนาดนั้น" คุณป้าไม่ได้พูดเปล่า แต่หยิบไข่ไก่ปาใส่เธอด้วย
"ว๊ายยย คุณป้าหยุดก่อนค่ะ" จากนั้นแม่ค้าคนอื่นก็ช่วยห้ามทั้งยังให้เธอหลบออกไปก่อน
ซูหนี่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกครั้งก็มีเสียงด่าทอบ้างแต่ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือแบบนี้ เธออับอายจนต้องรีบวิ่งไปที่รถ แต่เธอมัวแต่หันหลังกลับไปมองว่าป้าคนนั้นยังตามเธอมาหรือเปล่าจนไม่ได้มองทางข้างหน้า
รถส่งของวิ่งมาด้วยความเร็วจึงทำให้ซูหนี่โดนชนอย่างแรง หลังจากนั้นเธอก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย
"ท่านพี่นางตายแล้วหรือยัง"
"คงตายแล้ว ข้าเรียกนางแล้วไม่เห็นนางจะขยับตัวเลย"
"เช่นนั้น เช่นนั้น พวกเราจะไม่ถูกตีแล้วใช่หรือไม่ท่านพี่"
"ใช่ รอให้ท่านพ่อกลับมาจัดการกลับนางเถิด"
'เสียงเด็กที่ไหน แล้วใครปล่อยให้เด็กเข้ามาในห้องพักของเธอ' ซูหนี่ที่เจ็บปวดไปทั้งตัว ลืมตาไม่ขึ้น เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอโดนรถชน ตอนนี้เธอคงอยู่ในโรงพยาบาลสักแห่ง แต่ทำไมพยาบาลถึงปล่อยให้เด็กเล็กเข้ามาในห้องพักของเธอได้ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เธอจึงนอนต่อ
"ท่านพ่อ นางตายแล้วใช่หรือไม่ขอรับ" เสียงเด็กชายรอคำตอบอย่างมีความหวัง
"นางยังไม่ตาย พวกเจ้าไม่ต้องไปสนใจนาง ปล่อยนางไว้เช่นนั้น" เสียงบุรุษเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
ซูหนี่รู้สึกตัวอีกครั้งภายในห้องก็มืดมิดแล้ว นางพยายามลืมตาขึ้นมา กว่าจะทำให้สายตาคุ้นชินก็นานเกือบครึ่งชั่วโมง 'โรงพยาบาลจะประหยัดไปไหน แม้แต่ไฟสักดวงก็ไม่เปิด'
กลิ่นเหม็นหืนลอยเข้าจมูก เสื้อผ้าที่เธอใส่ก็ดูไม่สบายตัว เธอคลำหาโทรศัพท์ที่มักจะติดตัวอยู่เสมอ โรงพยาบาลนี้ทำไมหมอนแข็งแบบนี้ ไหนจะเตียงไม้นี้อีก ฟูกรองนอนก็บางจนเธอปวดหลังไปหมด เธอหิวน้ำจึงคลำไปมั่วไปหมด
"ไม่ใช่แล้ว" ซูหนี่มองไปรอบๆตัว นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่มันคือที่ไหน เธอเริ่มกลัวขึ้นมา เธอลงจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก อาศัยแสงไฟมองไปรอบๆตัว เธออยู่ในกระท่อมที่ไหน
ซูหนี่เดินออกไปนอกบ้าน ด้านหลังมีห้องครัวอยู่ในโอ่งยังมีน้ำเธอไม่รู้ว่าน้ำในนี้ไว้ใช้ทำอะไรแต่ตอนนี้เธอหิวน้ำจนทนไม่ไหวแล้ว เมื่อหาแก้วได้เฮก็ตักน้ำในโอ่งดื่มทันทีโดยไม่ได้ระวังเลยว่าแก้วที่ใช้เป็นอย่างไร ขอบแก้วที่บิ่นบาดเข้ากับปากของเธอ
"โอ๊ยยย เจ็บชะมัด" เธอจับปากจึงได้รู้ว่ามีเลือดไหลออกมา
"เจ้าทำอันใด" เสียงตวาดเหมือนฟ้าผ่า ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ จนถอยหลังหนีทันที ซูหนี่ชนเข้ากับโอ่งจนล้มลงไป แก้วในมือก็หล่นแตกจนบาดเข้ากับมือของเธอ
เจ็บ เธอเจ็บจนน้ำตาคลอ ไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้ฝันอยู่แล้วนี่เธออยู่ที่ไหน ผู้ชายที่ยืนอยู่มองมาเหมือนอยากจะเอาชีวิต รอบข้างที่มองยังไงก็ไม่คุ้นตา เหมือนจะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญที่ไหนสักแห่ง แสงไฟไม่มีมีแค่แสงจากดวงจันทร์
เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ตลกแล้ว ความกลัวปรากฏในดวงตา เธอไม่สนปากที่แตกกับมือที่โดนแก้วบาด เธอลุกขึ้นโดยไม่สนใจชายคนนั้น เธอรู้สึกแค่ว่าต้องหาทางไปจากที่นี่ให้ได้ วิ่งออกไปเท่านั้น ออกไปหารถกลับบ้าน เมื่อคิดได้เธอก็วิ่งออกไป
ด้านนอกไม่มีแสงไฟให้มองเห็นถนนเป็นดินลูกรัง ไม่ใช่ปูนซีเมนต์ รอบด้านที่เธอออกมาจากบ้านแล้วมองไปรอบๆ เป็นบ้านดินที่มุงด้วยหญ้าคาด้านบน มีหลังที่ดีหน่อยก็เป็นหลังคากระเบื้อง บ้านแต่ละหลังไม่ได้ติดกัน
"เป็นไปไม่ได้" ซูหนี่ที่ไม่รู้จะไปทางไหน ทรุดนั่งลงกับพื้น เธอไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วจะไปทางไหนต่อ เธอหวาดกลัวไปเสียทุกอย่าง สิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยมีมา
"เป็นบ้าอันใดของเจ้า" เสียงผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว เธอไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่สัญชาตญาณทำให้เธอถอยไปข้างหลัง เมื่อเห็นการแต่งตัวของเขา ชุดโบราณ!!!
"คุณคือใครคะ ที่นี่ที่ไหน ฉัน ฉันมาอยู่นี่ได้ไง" ซูหนี่กลัวจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว เสียงของเธอสั่นจนควบคุมไม่อยู่
"พูดอันใดของเจ้า เลิกเสแสร้งเสียที หากยังไม่เข้ามาก็ไสหัวไปได้แล้ว" เขาเดินหันหลังจากไป
แล้วเธอจะต้องทำยังไงต่อไป กลับเข้าไปในบ้านหลังนั้นหรือเดินไปตามทางเรื่อยๆ เมื่อนั่งคิดจนได้สติอากาศที่หนาวเหน็บทำให้เธอเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง เช้าเมื่อไหร่ค่อยคิดอีกที
ซูหนี่กลับเข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นชายคนนั้นแล้ว เธอเดินกลับไปที่โอ่งน้ำเพื่อล้างเลือดในมือ แล้วล้างหน้าเพื่อให้มีสติ น้ำเย็นทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว ตอนแรกเพราะตกใจมากเกินไปจึงไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้เสื้อผ้าที่ใส่เป็นแบบโบราณชั้น ไม่มีเสื้อคลุม เสื้อผ้าที่ใส่ก็บาง
เธออยากอาบน้ำมากตอนนี้จึงเดินสำรวจหาห้องน้ำ แต่น้ำเย็นเกินไป เธอจึงกลับไปที่ห้องหาผ้ามาชุบน้ำเพื่อเช็ดตัวเท่านั้น ในห้องมีแต่กลิ่นอับ ข้าวของเกะกะไปหมด เมื่อจัดการตัวเองเสร็จแล้วก็เก็บของที่พื้นให้เดินไปสะดวก ในเตียงผ้าห่มที่เหม็นอับเกินไป หมอนที่เหม็นหื่นเธอทำใจนอนต่อไปลงอีกแล้ว
ซูหนี่นั่งกอดเข่าแล้วคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แต่ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่จะทำให้เธอมาอยู่ตรงนี่ได้เลย เธอนึกถึงซีรีส์ที่เคยแสดง ข้ามมิติ วิญญาณเข้าสิงร่างคนอื่น แล้วทำไมไม่มีความทรงจำเก่าเลย หากเป็นเช่นนั้นเธอจะทำอย่างไรต่อไป
เธอกอดเข่าก้มหน้าลงร้องไห้อย่างหมดหวัง หากทะลุมิติมาจริงเธอจะใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไร ซูหนี่ไม่รู้เลยว่าการกระทำทุกอย่างของเธออยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งซูหนี่ร้องไห้จนหลับไป เธอตื่นขึ้นอีกครั้งก็ดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน มองผ้าห่มหมอนอย่างนึกรังเกียจ ชีวิตดั่งเจ้าหญิงที่แสนสุขสบายต้องมาอยู่ในห้องนี้เธอได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่เล็กจนโตไปเรียนมีคนรถส่งตลอด มีพี่เลี้ยงดูแลทุกอย่างจนไปเรียนเป็นเชฟก็ไม่เคยลำบาก พอเป็นนักแสดงแม้จะเคยได้รับบทที่ต้องใช้ชีวิตในชนบท ทุกอย่างมีทีมงานจัดฉากขึ้นมาทั้งหมดจึงไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากจริงๆ ต่อให้เข้าร่วมเกมโชว์ก็ไม่ได้เป็นถึงขั้นที่อยู่ในตอนนี้ร่างนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ชื่ออะไร รู้เพียง ร่างกายที่ผอมบาง หากไปยืนที่ลมแรงๆคงจะปลิวไปตามลมเป็นแน่ มือขาวราวหยกแม้ไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไรก็คงจะพอดูได้อยู่ มือข้างที่โดนแก้วบาดเมื่อคืนยังเจ็บอยู่ดีที่แผลไม่ลึกนัก ทำให้เธอรู้อีกอย่างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริง"นางตายหรือยังท่านพ่อ" เสียงเด็กถามแบบนี้อีกแล้วหรือคนพวกนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตนางไว้"นางยังไม่ตาย" "ถ้า ถ้าเช่นนั้น นางจะตีพวกข้าหร
ระหว่างทางไปริมแม่น้ำนางพบต้นตั๊กแตนผึ้งจีน ฝักของมันใช้ซักผ้าได้ นางรู้มาจากการไปถ่ายรายการหนึ่งในชนบท นางเด็กฝักแห้งติดมือมาหลายฝัก ชาวบ้านมาซักผ้าริมแม่น้ำกันหลายคน นางเพียงแค่ยิ้มตอบเมื่อคนเหล่านั้นมองมาที่นางซูหนี่นำฝักจ้าวเจียวมาทุบแล้วลอกออกให้เหลือแต่ด้านในสีขาว นำมาขยี้กับผ้า นางซักอยู่หลายรอบเมื่อดมจนหมดกลิ่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ชาวบ้านมองนางแล้วกระซิบกระซาบกัน ซูหนี่ไม่มีเวลาที่จะสนใจ หากนางมาอยู่ในร่างของซูหนี่นางร้ายจริงก็คงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นนางยิ้มแล้วตกใจซูหนี่กลับมาถึงนางก็จากผ้าจนเสร็จแล้วเริ่มทำความสะอาดในบ้าน เจ้าของร่างเดิมคงไม่เคยทำอะไรเลยในบ้านจึงสกปรกและรกไปหมด ในครัวนางก็ล้างและขัดหม้อใหม่ทั้งหมด นางอยากต้มน้ำเพื่อล้างจานแต่นางจุดไฟไม่เป็น เด็กทั้งสองมองการกระทำของนางอยู่ตลอด ถึงจะอายุแค่สามขวบพวกเขาก็รู้เรื่องมากนัก"จุดไฟเป็นหรือไม่" อาจจะดูแปลกที่ถามเด็กสามขวบว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ แต่เพราะนางทำไม่เป็นไง นางจึงต้องถามไปก่อน คนพี่เดินมาส่งตะบันไฟให้นาง "ใช้เช่นไร" นางเกาจมูกอย่างเขินอาย แต่ก่อนที่เด็กชายจะตอบนางก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น"เจ้าจะทำอันใด" เขาดึงเด็กท
เมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่นางก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่นั่งบีบมืออย่างรอคอยคำตอบ "ความหมายของเจ้าคือ ต้องการจะหย่าใช่หรือไม่" เสียงของเขาทำให้คนหวาดกลัวจนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว"เป็นเช่นนั้น แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย หากท่านไม่วางใจจะเขียนหนังสือหย่าไว้เลยก็ย่อมได้" นางมองเขาอย่างคาดหวัง หากเขาเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกไปเลย นางจะไปอยู่ที่ไหน นางยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออก"ได้ หากเจ้าอยากอยู่ก็ต้องทำตัวให้ดี หากเจ้าทุบตีเฉิงเออร์กับอันเออร์อีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย" นางรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่แต่เขาสามารถลงมือฆ่านางได้จริงๆ"ได้ ข้าจะทำดีกับเด็กทั้งสองคน" นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนี้ค่อยคิดเรื่องหาเงินต่อ"เช่นนั้นท่านจะเขียนหนังสือหย่าเลยหรือไม่" หากนางมีเงินมากพอเมื่อมีหนังสือหย่าอยู่ในมือนางจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "ได้" เขาลุกขึ้นหายไปไม่นานก็กับมาพร้อมกระดาษสองแผ่น จ้าวหนิงหลงส่งหนังสือหย่าให้นาง เขาลงชื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองใบ นางก้มหน้าลงอ่าน เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกันเด็กทั้งสองจะอยู่กับจ้าวหนิงหลงและนางไม่สามารถกลับมายุ่งกับพวกเขาสามคนได้อีก เมื่อเห็นไ
ซูหนี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำ หัวเล็กๆสองหัวก็โผล่ออกมาจากประตูห้องครัว "หิวหรือไม่ มาสิข้าต้มปลาใส่หัวมันไว้มากินเร็ว" ซูหนี่ตักน้ำแกงที่มีเนื้อปลากับหัวมันจนเต็มถ้วยส่งให้เด็กทั้งสองคนละถ้วย"กินเองได้หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำก่อน" ทั้งสองนั่งลงพร้อมตักน้ำแกงเข้าปาก อาจจะเป็นเพราะได้ลิ้มรสฝีมือของซูหนี่สองมื้อแล้วให้พวกเขาไม่ปฏิเสธเมื่อนางตักให้กิน ทั้งสองบอกกินเองได้นางจึงไปอาบน้ำ เมื่อนางออกมาเด็กทั้งสองกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว นางตักน้ำเย็นผสมน้ำร้อนให้พวกเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขากลับไปที่หน้าห้องนอนของจ้าวหนิงหลง เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องเป็นเสียงของเด็กน้อยทั้งสองแย่งกันเล่าที่พวกตนได้กินน้ำแกงปลาที่แสนอร่อยซูหนี่เมื่อเช็ดผมจนแห้งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเปิดเข้ามาในห้องนอนของตน จ้าวหนิงหลงยืนมองนางที่ประตูห้อง ห้องของนางสะอาดเก็บของอย่างเป็นระเบียน เครื่องนอนก็ดูสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นอับดังเช่นที่ผ่านมา ซูหนี่ที่มีลมพัดเข้ามาในห้องนางก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว ตอนแรกจ้าวหนิงหลงก็ตกใจคิดว่านางจะตื่นแต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดเมื่อเห็นเช่นนั
เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนางหนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็วหากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้
ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ
องค์รัชทายาทและจ้าวหนิงหลงที่ยังคงแพ้ท้องแทนเมียจนกลายเป็นที่ขบขันของขุนนางทั้งหลาย องค์รัชทายาทอาเจียนแห้งทั้งวันจนทำให้เข้าประชุมขุนนางในท้องพระโรงไม่ได้ขุนนางที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายสาม องค์ชายห้าก็ถวายฎีการ้องเรียนองค์รัชทายาท กล่าวหาว่าพระองค์ใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไม่ทำราชกิจ พระองค์เพียงรอดูว่าฝ่ายไหนหางจะโผล่ก่อนกันเท่านั้นมิได้โต้แย้งแต่อย่างใดตอนนี้ราชสำนักแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ด้วยโอรสสวรรค์มากความสามารถทุกคน ตอนนี้ก็รอดูเพียงใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน องค์ชายสามโจมตีขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาทโดยยัดข้อหาความผิดให้ เพราะตอนนี้องค์รัชทายาทไม่สามารถออกมาปกป้องพวกเขาได้ส่วนองค์ชายห้าที่ซ่องสุมกำลังไว้ รอให้องค์ชายทั้งสองสู้กันให้แล้วเสร็จตนจะนำกองกำลังเข้ายึดอำนาจทีหลัง แต่พวกเขาพลาดไปจุดหนึ่ง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงพลานามัยแข็งแรงดี พระองค์รอดูว่าบุตรของตนคนใดจะเคลื่อนไหวก่อนกันจ้าวหนิงหลงยังคงแอบออกไปพบองค์รัชทายาทและคนของเสนาบดีเพื่อวางแผนตลบหลังองค์ชายทั้งสอง"พระองค์ทรงรอดูองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเคลื่อนไหวเท่านั้น อย่าได้ทรงทำอะไรทั้งสิ้น เพราะฝ่าบาทกำลังจับตามองทุกพระองค์อยู่"
เรื่องมงคลของจวนตระกูลจ้าวมาพร้อมกันติดๆ จ้าวหนิงหลงสอบจิ้นชื่อหน้าพระที่พักตร์ได้เป็นจ้วงหยวนสมใจ ของที่ตระกูลสวีจะร่วมแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ของซูหนี่ต้องเพิ่มเข้าไปให้จ้วงหยวนคนใหม่ด้วยซูหนี่ที่แพ้ท้องก็ลุกขึ้นจัดการสิ่งใดไม่ได้เลยในช่วงนี้ นางยังแปลกใจที่ตอนแรกเพียงแค่ง่วงนอนอย่างเดียวเท่านั้น พอรู้ว่าตัวเองท้องก็แพ้ท้องทันที เหมือนเด็กในท้องจะกลั่นแกล้งมารดาของตน"ยินดีด้วยหนี่เออร์"สวีซูฉีมาเยี่ยมนางหลังจากที่ผ่านวันประกาศผลสอบมาได้สองวัน "เจ้าก็ต้องรีบตามข้ามาเร็วๆเสียแล้ว" ซูหนี่กล่าวเย้าซูฉี อีกไม่ถึงเดือนนางก็ต้องแต่งออกแล้วเช่นกันทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่นานซูฉีก็ขอตัวกลับไปนางออกมานานไม่ได้เพราะต้องเตรียมตัวเรื่องงานแต่ง จ้าวหนิงหลงช่วงนี้ก็ต้องเดินสายขอบคุณเหล่าอาจารย์ และยังต้องเตรียมตัวเข้ารายงานตัวอีกด้วยขบวนแห่จ้วงหยวนคนใหม่รอบเมืองหลวงนั้นซูหนี่ต่อให้มีใจอยากจะไปดูแค่ไหนสภาพของนางก็ไม่อำนวยให้ไป อีกอย่างจ้าวหนิงหลงก็ไม่ยินยอมให้นางไปเบียดกับคนอื่นด้วย ถึงนางจะเสียดายที่ไม่ได้ชมแต่อันเออร์กับเฉิงเออร์ก็นำกลับมาเล่าให้ฟังว่าบิดาสง่างามเพียงใดเมื่ออยู่บนหลังม้าเดิ
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จ้าวหนิงหลงต้องเข้าสอบ ซูหนี่ก็จัดของให้เรียบร้อยอย่างดี"หนี่หนี่" เมื่ออยู่สองคนเขาจะเรียกนางเช่นนี้เสมอ ซูหนี่มองค้อนอย่างรู้ทัน "จะสอบอยู่แล้วท่านยังไม่ละเว้นข้าอีกหรือ" "ต้องห่างเจ้าหลายวัน ข้าปวดใจยิ่งนัก" คำพูดเช่นนี้นางได้ยินจนเบื่อ สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอยู่ดี"วันนี้ท่านกินน้อยลงหน่อย พรุ่งนี้จะเข้าสอบไม่ไหวเสียก่อน" ถึงนางจะห้ามเขาเช่นไร หรือร้องขอให้เขาหยุด เนื้อที่เข้าปากเสือไปแล้วย่อมไม่คายออกมา จ้าวหนิงหลงก็เช่นกัน เขาเคี่ยวกลำนางเช่นเวลาปกติ คำพูดของคุณชายเสเพลถูกดึงมาใช้ทั้งคืน หากนางยังไม่ยอมชมเขา เขาจะลงโทษนางอย่างถึงพริกถึงขิง"หากข้าลุกไปส่งท่านไม่ไหวก็อย่าได้พูดว่าก็แล้วกัน" นางเริ่มโมโหเขาแล้วที่ไม่ยอมปล่อยให้นางนอนเสียที "เจ้าไม่ต้องลุกไปส่งข้า เจ้านอนพักให้นานขึ้นเสียหน่อย" ทุกครั้งเขาก็พูดเช่นนี้ นางจะไม่ลุกได้อย่างไร เจ้าเด็กแสบได้มาน้ำตาคลอข้างเตียงคิดว่ามารดาป่วยอีก"ข้าอยากจะผูกเจ้าไว้กับตัวแล้วพาไปสนามสอบด้วย" จ้าวหนิงหลงถึงจะหยุดรังแกนางแล้วแต่เขาก็ยังคลอเคลียนางไม่เลิก นางอยากจะให้คนที่มองสามีนางอย่างเทิดทูนมาเห็นตอนที่เขาเป็นหมาน้