ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที
"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก
"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน
"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่
"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา
"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป
"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลัง
ซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแยกนางก็เปลี่ยนมาเป็นคนนำแทน เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ หนิงหลงยังแปลกใจที่นางใจกล้าเดินขึ้นเขาคนเดียวแล้วยังแยกมาทางที่ชาวบ้านไม่มากัน
"เจ้ามาไกลถึงเพียงนี้ทุกครั้งเลยหรือ"
"หากไม่เดินลึกเข้าไปไหนเลยจะเหลืออะไรไว้ให้เก็บไปกินได้ สัตว์ป่ารอบนอกกับชั้นกลางก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว หากจะหาเนื้อให้ลูกก็ต้องเข้าไปที่ชั้นในเท่านั้น"
"แล้วเจ้าไม่กลัวเสือหรือหมีเลยหรือ" ซูหนี่หันไปมองค้อนเขา เข้าป่าจะพูดถึงเสือเพื่อสิ่งใด
"ไม่เคยเจอ ทางนี้ไม่นับเป็นป่าชั้นใน เป็นเพียงป่าชั้นกลางแต่อยู่คนละด้านกับหมู่บ้านเท่านั้น" หนิงหลงมองนางอย่างพิจารณา ซูหนี่คนเดิมไม่มีทางคิดเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
"พักก่อนดีหรือไม่" เขาเห็นนางพูดไปหอบไป เหงื่อออกเต็มหน้าผาก
"ไม่ ไม่เป็นไร ด้านหน้า ก็ถึงแล้ว" เป็นจริงอย่างที่นางว่าเดินต่อไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว (1เค่อ = 15 นาที)
ซูหนี่ค่อยๆนั่งลงเพราะในอ้อมแขนนางหนิงอันยังคงหลับอยู่ หนิงหลงส่งน้ำให้นาง นางกล่าวขอบคุณเขาเบาๆ
"ท่านหิวแล้วหรือไม่ข้าจะเตรียมอาหารให้ก่อน" เพราะตอนนี้เลยเวลาที่พวกเขากินมื้อเช้ากันมาแล้ว
"รอลูกตื่นก่อนก็ได้" นางถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนำไปปูที่ใต้ต้นไม้เพื่อให้หนิงเฉิงและหนิงอันนอนรอ
"เจ้าทำอันใด" หนิงหลงที่หันมาเห็นก็พูดเสียงเข้มขึ้น
"ก็รองพื้นให้ลูกนอนสบายๆไง" เขาอยากจะจับนางมาตีนัก ที่ไม่ระวังตัวเลยหากอยู่ต่อหน้าบุรุษอื่นแล้วนางทำเช่นนี้แค่คิดเขาก็ปวดหัวแล้ว แบบนี้ยิ่งปล่อยนางไปใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้ หากนางไม่ใช่ซูหนี่คนเดิมมีความเป็นไปได้ที่นางจะไม่กลับบ้านเดิมของนาง
"ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง" หนิงหลงถอดเสื้อตัวนอกของเขาแทน แล้วว่างลูกทั้งสองลงไปนอน
ซูหนี่เริ่มขุดถั่งเช่า โดยมีหนิงหลงยืนมองอยู่ข้างๆ
"เจ้ากำลังขุดสิ่งใด" นางโบกมือเรียกให้เขามาดูใกล้ แล้วส่งถั่งเช่าให้เขาดูพร้อมสอนว่าต้องขุดอย่างไรไม่ให้เสียหาย
"เจ้ารู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร" หนิงหลงเคยเห็นถั่งเช่าในตำราแพทย์ที่เขาเคยศึกษาในช่วงสั้นๆตอนที่ท่านย่าป่วย แต่เขานึกไม่ถึงว่านางจะรู้จักด้วย
"เห็นว่าแปลกดีก็เลยจะลองนำไปขายที่ร้านยา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับซื้อหรือเปล่า" เขารู้ว่านางโกหกแต่ไม่ได้พูดออกมา หนิงหลงเขยิบเขาไปใกล้ซูหนี่อย่างแนบเนียน เขาได้กลิ่นกายของนางซึ่งต่างจากกลิ่นของซูหนี่คนเดิม หากชายใดได้กลิ่นนี้คงจะลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น
"ใกล้เกินไปแล้ว" ซูหนี่พูดขึ้นเมื่อหนิงหลงซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนาง จนลมหายใจของเขาเป่ารดต้นคอของนาง นางหดคอลงอย่างขนลุก
"สามีภรรยากันจะใกล้ชิดกันก็เป็นเรื่องปกติ" หนิงหลงกดเสียงต่ำลงเพื่อปกปิดอาการเขินอาย
"เหอะ ท่านเกลียดข้าปานนั้น แล้วเราก็หย่ากันแล้วจะพูดเรื่องสามีภรรยากันได้อย่างไร" หนิงหลงลืมไปเลยว่าเขาเขียนหนังสือหย่าให้นางไปแล้ว
"ตอนนี้เจ้ายังอยู่เรือนเดียวกับข้า คนนอกมองมาก็ยังคงเป็นภรรยาข้าอยู่"
"ไม่ต้องสนคนนอก หากเจ้าจะสานต่อกับลี่อินก็ทำได้เลย ข้าไม่ว่าอันใด" นางโบกมืออย่างไม่สนใจ
"อย่าพูดถึงลี่อินอีก ข้ากับนางไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว" น้ำเสียงของเขาเริ่มแสดงออกมาไม่พอใจ ซูหนี่ก็ค้านที่จะสนใจ
"ได้ได้ ข้าไม่พูดถึงนางในดวงใจเจ้าแล้ว มาช่วยขุดสิ จะได้รีบกลับ" เขาอยากจะบอกกับนางว่าลี่อินไม่ใช่นางในดวงใจของเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป
ทั้งสองขุดไม่ได้ไม่นานหนิงเฉิงกับหนิงอันก็ตื่นนอน ซูหนี่จึงพาเด็กทั้งสองไปล้างหน้าบ้วนปากที่ริมลำธาร จากนั้นนางก็เตรียมอาหารให้พวกเขาได้กิน เพราะนางกินมาแล้ว จึงเดินไปขุดต่อ เพราะเหลืออีกไม่มากแล้วจะได้รีบกลับกัน หากนางมาเองอาจจะไม่รีบเช่นนี้แต่เป็นเพราะหนิงเฉิงกับหนิงอันมาด้วยนางจึงต้องเร่งมือให้เร็วขึ้น
หนิงหลงที่เรียกให้นางพักก่อนแต่นางไม่ยินยอมเขาจึงรีบกินข้าวเพื่อจะได้ไปช่วยนางอีกแรง ถั่งเช่าไม่ได้ขุดยาก แต่ที่ยากคือต้องคอยมองหาว่ามันอยู่ตรงไหน ซูหนี่ปล่อยให้หนิงหลงขุดไปก่อน นางเก็บจานชามไปล้างแล้วกำชับให้หนิงเฉิง หนิงอันนั่งเล่นกันในสายตาของนาง นางจึงไปขุดต่อ
"กลับเลยดีหรือไม่" หนิงหลงที่เห็นนางขุดไปมองเด็กทั้งสองไปก็เห็นใจ หากนางมาคนเดียวคงไม่ต้องพะวงถึงเพียงนี้ เป็นเขาที่อยากจะตามมาเอง
"ท่านไปนั่งกับลูกได้หรือไม่" ซูหนี่เอ่ยถามเขาขึ้น เขารู้ว่านางเป็นห่วงหนิงเฉิงกับหนิงอันมากกว่ามารดาแท้ๆของเด็กน้อยอีก หนิงหลงเรียกเด็กทั้งสองให้เดินมาหาตน พร้อมทั้งขุดไปแล้วสอนเขาไปด้วย ซูหนี่จึงขุดได้เร็วขึ้นเพราะไม่มีเรื่องให้ห่วงแล้ว
เมื่อนางเห็นว่าใกล้มื้อเที่ยงแล้วจึงจะเดินออกไปหาอะไรให้พวกเขากิน อาหารที่นำมาก็หมดลงไปแล้ว
"ท่านอยู่กับลูกก่อนเดี๋ยวข้ามา ห้ามเดินไปไหนเด็ดขาด" เพราะนางหยิบธนูไปด้วยเลยกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่มีอาวุธป้องกันตัว
หนิงหลงหัวเราะเสียงเบากับท่าทางจริงจังของนาง นางคงลืมไปว่าเขาเป็นบุรุษ ถึงจะเก่งขนาดฆ่าเสือไม่ได้แต่เขาก็มีวรยุทธ์มากพอที่จะปกป้องครอบครัวของตน
ซูหนี่เดินออกไปไม่ไกลนางก็พบกับไก่ป่าลูกธนูในมือสามดอกเตรียมขึ้นสายทีละดอกลูกธนูพุ่งออกไปเข้าเป้าทุกดอก ไก่ป่าอวบอ้วนสามตัวก็ได้มาอยู่ในมือนาง แต่นางก็ยังคงหาไข่ป่าด้วย เด็กๆต้องได้กินไข่ทุกวันถึงจะดี
นางเอาเสื้อห่อไข่ไว้แล้วรีบเดินกลับไปที่พวกเขารออยู่ หนิงหลงก่อกองไฟเตรียมไว้แล้วเขารู้ว่านางต้องได้อะไรติดมือมา ไม่ใช่ว่าเขาจะล่าสัตว์ไม่เป็นแต่เป็นเพราะนางอยากทำสิ่งใดเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปห้าม และเขาก็อยากจะรู้ว่านางมีความสามารถมากขนาดไหน จากที่เขาเห็นดูเหมือนนางจะทำเป็นแทบจะทุกอย่าง
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
"คุณซูหนี่ คิดยังไงคะที่รับบทบาทนี้" นักข่าวสัมภาษณ์เธอ"ยินดีมากเลยค่ะ ที่คุณหม่า เลือกฉัน ถึงบทจะออกมาได้กี่ตอน แต่ฉันอยากให้ทุกคนได้ติดตามนะคะ ครั้งนี้ฉันร้ายมากเลยค่ะ" เธอสัมภาษณ์ไปหัวเราะยิ้มแย้มไป รอยยิ้มของเธอไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตรึงใจทุกคนได้ชีวิตในวงการของเธอ เธอแสดงมาทุกบทแล้ว แต่ที่ยอมมาเล่นเพียงไม่กี่ตอนในเรื่องนี้เพราะคุณหม่าผู้กำกับมือทองที่ยื่นโอกาสในครั้งแรกให้เธอจนมีทุกวันนี้ เมื่อเขาส่งบทมาให้เธอจึงตอบรับทันที ซูหนี่เป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้าหรือคนดูแลล้วนชื่นชอบเธอทั้งนั้น วันไหนเธอว่างมักจะออกไปเดินที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาทำอาหาร นี่คืออีกอย่างที่เธอทำได้ดีรองลงมาจากการแสดงเธอเรียนจบด้านเชฟมาโดยตรง ตอนแรกเธอเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารของเธอนั้นขายดีจนมีชื่อเสียง ดารา อินฟลูเอนเซอร์ล้วนแล้วแต่เข้ามาถ่ายทำ เธอจึงมักได้ออกหน้าโซเซียลเป็นประจำ จนไปเข้าตาผู้กำกับเม่า เขาเรียกเธอมาลองแสดงให้ดู หลังจากนั้นมาเธอจึงได้รับโอกาสอีกมากมายและวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอมาเลือกซื้อของเพื่อนำกลับไปทำอาหารเอง อีกอย่างเธออยากจะลองเช็คความนิยมจากบทบาทล่าสุดที่เธอได้ร
เธอกอดเข่าก้มหน้าลงร้องไห้อย่างหมดหวัง หากทะลุมิติมาจริงเธอจะใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไร ซูหนี่ไม่รู้เลยว่าการกระทำทุกอย่างของเธออยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งซูหนี่ร้องไห้จนหลับไป เธอตื่นขึ้นอีกครั้งก็ดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน มองผ้าห่มหมอนอย่างนึกรังเกียจ ชีวิตดั่งเจ้าหญิงที่แสนสุขสบายต้องมาอยู่ในห้องนี้เธอได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่เล็กจนโตไปเรียนมีคนรถส่งตลอด มีพี่เลี้ยงดูแลทุกอย่างจนไปเรียนเป็นเชฟก็ไม่เคยลำบาก พอเป็นนักแสดงแม้จะเคยได้รับบทที่ต้องใช้ชีวิตในชนบท ทุกอย่างมีทีมงานจัดฉากขึ้นมาทั้งหมดจึงไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากจริงๆ ต่อให้เข้าร่วมเกมโชว์ก็ไม่ได้เป็นถึงขั้นที่อยู่ในตอนนี้ร่างนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ชื่ออะไร รู้เพียง ร่างกายที่ผอมบาง หากไปยืนที่ลมแรงๆคงจะปลิวไปตามลมเป็นแน่ มือขาวราวหยกแม้ไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไรก็คงจะพอดูได้อยู่ มือข้างที่โดนแก้วบาดเมื่อคืนยังเจ็บอยู่ดีที่แผลไม่ลึกนัก ทำให้เธอรู้อีกอย่างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริง"นางตายหรือยังท่านพ่อ" เสียงเด็กถามแบบนี้อีกแล้วหรือคนพวกนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตนางไว้"นางยังไม่ตาย" "ถ้า ถ้าเช่นนั้น นางจะตีพวกข้าหร
ระหว่างทางไปริมแม่น้ำนางพบต้นตั๊กแตนผึ้งจีน ฝักของมันใช้ซักผ้าได้ นางรู้มาจากการไปถ่ายรายการหนึ่งในชนบท นางเด็กฝักแห้งติดมือมาหลายฝัก ชาวบ้านมาซักผ้าริมแม่น้ำกันหลายคน นางเพียงแค่ยิ้มตอบเมื่อคนเหล่านั้นมองมาที่นางซูหนี่นำฝักจ้าวเจียวมาทุบแล้วลอกออกให้เหลือแต่ด้านในสีขาว นำมาขยี้กับผ้า นางซักอยู่หลายรอบเมื่อดมจนหมดกลิ่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ชาวบ้านมองนางแล้วกระซิบกระซาบกัน ซูหนี่ไม่มีเวลาที่จะสนใจ หากนางมาอยู่ในร่างของซูหนี่นางร้ายจริงก็คงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นนางยิ้มแล้วตกใจซูหนี่กลับมาถึงนางก็จากผ้าจนเสร็จแล้วเริ่มทำความสะอาดในบ้าน เจ้าของร่างเดิมคงไม่เคยทำอะไรเลยในบ้านจึงสกปรกและรกไปหมด ในครัวนางก็ล้างและขัดหม้อใหม่ทั้งหมด นางอยากต้มน้ำเพื่อล้างจานแต่นางจุดไฟไม่เป็น เด็กทั้งสองมองการกระทำของนางอยู่ตลอด ถึงจะอายุแค่สามขวบพวกเขาก็รู้เรื่องมากนัก"จุดไฟเป็นหรือไม่" อาจจะดูแปลกที่ถามเด็กสามขวบว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ แต่เพราะนางทำไม่เป็นไง นางจึงต้องถามไปก่อน คนพี่เดินมาส่งตะบันไฟให้นาง "ใช้เช่นไร" นางเกาจมูกอย่างเขินอาย แต่ก่อนที่เด็กชายจะตอบนางก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น"เจ้าจะทำอันใด" เขาดึงเด็กท
เมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่นางก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่นั่งบีบมืออย่างรอคอยคำตอบ "ความหมายของเจ้าคือ ต้องการจะหย่าใช่หรือไม่" เสียงของเขาทำให้คนหวาดกลัวจนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว"เป็นเช่นนั้น แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย หากท่านไม่วางใจจะเขียนหนังสือหย่าไว้เลยก็ย่อมได้" นางมองเขาอย่างคาดหวัง หากเขาเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกไปเลย นางจะไปอยู่ที่ไหน นางยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออก"ได้ หากเจ้าอยากอยู่ก็ต้องทำตัวให้ดี หากเจ้าทุบตีเฉิงเออร์กับอันเออร์อีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย" นางรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่แต่เขาสามารถลงมือฆ่านางได้จริงๆ"ได้ ข้าจะทำดีกับเด็กทั้งสองคน" นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนี้ค่อยคิดเรื่องหาเงินต่อ"เช่นนั้นท่านจะเขียนหนังสือหย่าเลยหรือไม่" หากนางมีเงินมากพอเมื่อมีหนังสือหย่าอยู่ในมือนางจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "ได้" เขาลุกขึ้นหายไปไม่นานก็กับมาพร้อมกระดาษสองแผ่น จ้าวหนิงหลงส่งหนังสือหย่าให้นาง เขาลงชื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองใบ นางก้มหน้าลงอ่าน เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกันเด็กทั้งสองจะอยู่กับจ้าวหนิงหลงและนางไม่สามารถกลับมายุ่งกับพวกเขาสามคนได้อีก เมื่อเห็นไ
ซูหนี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำ หัวเล็กๆสองหัวก็โผล่ออกมาจากประตูห้องครัว "หิวหรือไม่ มาสิข้าต้มปลาใส่หัวมันไว้มากินเร็ว" ซูหนี่ตักน้ำแกงที่มีเนื้อปลากับหัวมันจนเต็มถ้วยส่งให้เด็กทั้งสองคนละถ้วย"กินเองได้หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำก่อน" ทั้งสองนั่งลงพร้อมตักน้ำแกงเข้าปาก อาจจะเป็นเพราะได้ลิ้มรสฝีมือของซูหนี่สองมื้อแล้วให้พวกเขาไม่ปฏิเสธเมื่อนางตักให้กิน ทั้งสองบอกกินเองได้นางจึงไปอาบน้ำ เมื่อนางออกมาเด็กทั้งสองกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว นางตักน้ำเย็นผสมน้ำร้อนให้พวกเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขากลับไปที่หน้าห้องนอนของจ้าวหนิงหลง เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องเป็นเสียงของเด็กน้อยทั้งสองแย่งกันเล่าที่พวกตนได้กินน้ำแกงปลาที่แสนอร่อยซูหนี่เมื่อเช็ดผมจนแห้งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเปิดเข้ามาในห้องนอนของตน จ้าวหนิงหลงยืนมองนางที่ประตูห้อง ห้องของนางสะอาดเก็บของอย่างเป็นระเบียน เครื่องนอนก็ดูสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นอับดังเช่นที่ผ่านมา ซูหนี่ที่มีลมพัดเข้ามาในห้องนางก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว ตอนแรกจ้าวหนิงหลงก็ตกใจคิดว่านางจะตื่นแต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดเมื่อเห็นเช่นนั
เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนางหนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็วหากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื
เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนางหนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็วหากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้
ซูหนี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำ หัวเล็กๆสองหัวก็โผล่ออกมาจากประตูห้องครัว "หิวหรือไม่ มาสิข้าต้มปลาใส่หัวมันไว้มากินเร็ว" ซูหนี่ตักน้ำแกงที่มีเนื้อปลากับหัวมันจนเต็มถ้วยส่งให้เด็กทั้งสองคนละถ้วย"กินเองได้หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำก่อน" ทั้งสองนั่งลงพร้อมตักน้ำแกงเข้าปาก อาจจะเป็นเพราะได้ลิ้มรสฝีมือของซูหนี่สองมื้อแล้วให้พวกเขาไม่ปฏิเสธเมื่อนางตักให้กิน ทั้งสองบอกกินเองได้นางจึงไปอาบน้ำ เมื่อนางออกมาเด็กทั้งสองกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว นางตักน้ำเย็นผสมน้ำร้อนให้พวกเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขากลับไปที่หน้าห้องนอนของจ้าวหนิงหลง เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องเป็นเสียงของเด็กน้อยทั้งสองแย่งกันเล่าที่พวกตนได้กินน้ำแกงปลาที่แสนอร่อยซูหนี่เมื่อเช็ดผมจนแห้งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเปิดเข้ามาในห้องนอนของตน จ้าวหนิงหลงยืนมองนางที่ประตูห้อง ห้องของนางสะอาดเก็บของอย่างเป็นระเบียน เครื่องนอนก็ดูสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นอับดังเช่นที่ผ่านมา ซูหนี่ที่มีลมพัดเข้ามาในห้องนางก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว ตอนแรกจ้าวหนิงหลงก็ตกใจคิดว่านางจะตื่นแต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดเมื่อเห็นเช่นนั
เมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่นางก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่นั่งบีบมืออย่างรอคอยคำตอบ "ความหมายของเจ้าคือ ต้องการจะหย่าใช่หรือไม่" เสียงของเขาทำให้คนหวาดกลัวจนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว"เป็นเช่นนั้น แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย หากท่านไม่วางใจจะเขียนหนังสือหย่าไว้เลยก็ย่อมได้" นางมองเขาอย่างคาดหวัง หากเขาเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกไปเลย นางจะไปอยู่ที่ไหน นางยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออก"ได้ หากเจ้าอยากอยู่ก็ต้องทำตัวให้ดี หากเจ้าทุบตีเฉิงเออร์กับอันเออร์อีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย" นางรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่แต่เขาสามารถลงมือฆ่านางได้จริงๆ"ได้ ข้าจะทำดีกับเด็กทั้งสองคน" นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนี้ค่อยคิดเรื่องหาเงินต่อ"เช่นนั้นท่านจะเขียนหนังสือหย่าเลยหรือไม่" หากนางมีเงินมากพอเมื่อมีหนังสือหย่าอยู่ในมือนางจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "ได้" เขาลุกขึ้นหายไปไม่นานก็กับมาพร้อมกระดาษสองแผ่น จ้าวหนิงหลงส่งหนังสือหย่าให้นาง เขาลงชื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองใบ นางก้มหน้าลงอ่าน เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกันเด็กทั้งสองจะอยู่กับจ้าวหนิงหลงและนางไม่สามารถกลับมายุ่งกับพวกเขาสามคนได้อีก เมื่อเห็นไ
ระหว่างทางไปริมแม่น้ำนางพบต้นตั๊กแตนผึ้งจีน ฝักของมันใช้ซักผ้าได้ นางรู้มาจากการไปถ่ายรายการหนึ่งในชนบท นางเด็กฝักแห้งติดมือมาหลายฝัก ชาวบ้านมาซักผ้าริมแม่น้ำกันหลายคน นางเพียงแค่ยิ้มตอบเมื่อคนเหล่านั้นมองมาที่นางซูหนี่นำฝักจ้าวเจียวมาทุบแล้วลอกออกให้เหลือแต่ด้านในสีขาว นำมาขยี้กับผ้า นางซักอยู่หลายรอบเมื่อดมจนหมดกลิ่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ชาวบ้านมองนางแล้วกระซิบกระซาบกัน ซูหนี่ไม่มีเวลาที่จะสนใจ หากนางมาอยู่ในร่างของซูหนี่นางร้ายจริงก็คงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นนางยิ้มแล้วตกใจซูหนี่กลับมาถึงนางก็จากผ้าจนเสร็จแล้วเริ่มทำความสะอาดในบ้าน เจ้าของร่างเดิมคงไม่เคยทำอะไรเลยในบ้านจึงสกปรกและรกไปหมด ในครัวนางก็ล้างและขัดหม้อใหม่ทั้งหมด นางอยากต้มน้ำเพื่อล้างจานแต่นางจุดไฟไม่เป็น เด็กทั้งสองมองการกระทำของนางอยู่ตลอด ถึงจะอายุแค่สามขวบพวกเขาก็รู้เรื่องมากนัก"จุดไฟเป็นหรือไม่" อาจจะดูแปลกที่ถามเด็กสามขวบว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ แต่เพราะนางทำไม่เป็นไง นางจึงต้องถามไปก่อน คนพี่เดินมาส่งตะบันไฟให้นาง "ใช้เช่นไร" นางเกาจมูกอย่างเขินอาย แต่ก่อนที่เด็กชายจะตอบนางก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น"เจ้าจะทำอันใด" เขาดึงเด็กท