ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันที
ระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อย
เมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป
กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันที
เช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว่ามีสิบอิแปะ จำนวนเงินเท่านี้เพียงพอให้นางขึ้นเกวียนเข้าเมืองแล้ว
ซูหนี่หยิบถั่งเช่าที่นางใช้ผ้าเก่าๆที่หาได้ห่อไว้ใส่ในตะกร้า แล้วแบกขึ้นหลังไป เด็กน้อยทั้งสองยังคงตอนหลับฝันหวานอยู่ นางจึงปิดประตูให้เบาที่สุดหากตื่นขึ้นมาคงต้องใจอ่อนพาไปด้วยอีกแน่
"เจ้าจะไปไหน" ซูหนี่ตกใจสุดตัว
"ท่านเป็นผีหรือไง มาทีไรข้าไม่เคยได้ยินเสียง ข้าจะเข้าเมือง" ซูหนี่ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลง
"ข้าไปด้วย จะนำตำราที่คัดเสร็จแล้วไปส่งด้วย" เพราะซูหนี่จ้องมองอย่างสงสัยว่าเขาจะไปด้วยทำไม จ้าวหนิงหลงจึงต้องอธิบายให้นางฟัง
"แล้ว เด็กๆเล่า" ไม่ใช่ว่าต้องขนกันไปทั้งหมดเลยหรอกหรือ
"พาไปด้วย" จ้าวหนิงหลงปรายตามองซูหนี่เหมือนสองคนโง่ เด็กเล็กสองคนจะให้อยู่กับใคร
แล้วนางจะพูดอะไรได้ ในเมื่อเขาบอกว่าจะนำตำราที่คัดเสร็จแล้วไปส่ง หากจะให้นางไปส่งให้นางก็ไม่รู้ว่าร้านตำราที่เขารับงานอยู่ที่ใด หากเขาไปด้วยคงจะแนะนำร้านขายยาที่ให้ราคายุติธรรมกับนางได้
"งั้นท่านไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวข้าเรียกเด็กๆลุกเอง" นางเดินกลับเข้าในห้องเพื่อเรียกเด็กๆ โดยไม่รู้เลยว่าคนด้านหลังยกยิ้มที่มุมปากด้วยความพอใจที่นางเชื่อฟังอย่างดี
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยทั้งสี่ก็เดินออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นเกวียนวัวที่หน้าหมู่บ้าน แต่ตอนที่เปิดประตูไปนั้นมีคนยืนรออยู่หน้าบ้านด้วย
"พี่หลง ท่านจะเข้าเมืองใช่ไหมเจ้าคะ พอดีข้าจะเข้าเมืองเช่นกันเจ้าค่ะ" ซูหนี่หันไปยักคิ้วให้จ้าวหนิงหลง บอกเป็นนัยๆกับเขาว่า นางเอกของท่านเป็นพยาธิในท้องท่านแน่ รู้ว่าท่านจะเข้าเมือง
ลี่อินที่บ้านนางมีเกวียนวัวเป็นของตนเองวันนี้บิดาของนางจะเข้าเมืองเพื่อไปคุยเรื่องหมั้นหมายของนาง นางรู้ว่าทุกเจ็ดวันจ้าวหนิงหลงจะนำตำราที่คัดไปส่งในเมืองนางจึงมาชวนเขาไปด้วยกัน เพื่อให้คุณชายเจียงเห็นว่านางมากับบุรุษคนอื่นงานหมั้นครั้งนี้จะได้ไม่สำเร็จ
"งั้นท่านไปกับแม่นางลี่อินเถิด ข้าจะพาลูกๆไปเอง" ให้นี่เปิดช่องให้พระเอกนางเอกได้ใกล้ชิดกัน ส่วนนางจะพาเด็กแฝดไปเที่ยวในเมืองเอง
"ไม่รบกวนเจ้า ข้าจะไปขึ้นเกวียนที่หน้าหมู่บ้าน" จ้าวหนิงหลงขว้ามือซูหนี่ข้างหนิงเฉิงข้างแล้วรีบเดินไปทันที เขารู้เรื่องหมั้นหมายของนางแล้ว เขาจึงไม่อยากให้ลี่อินเป็นที่ครหาของชาวบ้าน
ซูหนี่เมื่อถูกดึงไปก็ขัดขืนไม่ได้จึงได้แต่ยอมให้จ้าวหนิงหลงจูงไปถึงเกวียนวัวที่จอดรอรับคนอยู่
ลี่อินมองตามไปอย่างตะลึง นางไม่อยากจะเชื่อหากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองว่า จ้าวหนิงหลงจะจับมือซูหนี่ต่อหน้านาง นางคิดมาตลอดว่าสักวันเขาจะหย่ากับซูหนี่แล้วมาแต่งกับนาง ยิ่งได้เห็นคนทั้งคู่ใกล้ชิดกันนางยิ่งปวดใจ
แม้มารดาจะห้ามนางแล้ว ไม่ให้นางมาชวนเขาเข้าเมืองด้วยกันแต่นางไม่เชื่อ เพราะนางยังหวังว่าเขาจะเลือกนาง หากเขารู้ว่าวันนี้ครอบครัวนางต้องไปคุยเรื่องหมั้นหมายเขาจะขอร้องบิดามารดานางให้ยกเลิกงานหมั้นในครั้งนี้
ซูหนี่ไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวหนิงหลงจะต้องเมินเฉยกับลี่อินด้วยหรือเพราะเขาเป็นบัณฑิตจึงมีคุณธรรม ก็อาจจะใช่ คงยังไม่ถึงเวลา
เพราะตามเนื้อเรื่องที่นางได้ร่วมแสดงนั้น นางเอกก็แต่งงานไปกับคุณชายเจียงแต่เพราะทนนิสัยที่เจ้าชู้ของคุณชายเจียงไม่ไหว จึงให้จ้าวหนิงหลงวางแผนช่วยให้นางได้หย่า
ซูหนี่ไม่คิดจะเข้าไปขัดขวาง เนื้อเรื่องเป็นเช่นไรนางก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ตอนนี้นางมีหนังสือหย่าแล้วเรื่องที่กลัวว่าเขาจะฆ่านางคงไม่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อคนเต็มเกวียนวัวก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมือง ถนนที่เป็นหลุมนางต้องทนนั่งโขยกเขยกไปถึงหนึ่งชั่วยาม นางที่เพิ่งจะเคยนั่งครั้งแรกก็ยังทรงตัวได้ไม่ดีนัก ไหนจะมีหนิงอันนั่งบนตัก ตะกร้าใส่ของก็ต้องคอยจับไว้ อาหารเช้าที่กินเข้าไปแทบจะออกมาอยู่รอมร่อ
ยังดีที่นางได้นั่งข้างหน้าจึงทำให้มีลมพัดเข้ามาด้านในช่วยให้อาการอยากจะอาเจียนค่อยๆทุเลาลง จ้าวหนิงหรงดึงจะกร้าไปจับไว้เองเมื่อเห็นนางทรงตัวไม่อยู่ อย่างน้อยเรื่องนี้คงนับเป็นข้อดีของเขาได้
เมื่อนัดหมายเวลาหลับเรียบร้อย จ้าวหนิงหลงเดินไปจ่ายค่าเข้าเมือง ดีที่เสียแค่ผู้ใหญ่สองคน เฉิงเออร์กับอันเออร์ด้วยวัยเพียงสามหนาวจึงไม่เสียค่าเข้า ไม่ใช่นางจะไม่ออกเงิน แต่เป็นเขาที่ไม่รับถุงเงินของนางไปเอง
หลังจากที่เดินเข้าประตูเมืองมาแล้วจะพบที่ว่าการของอำเภอ ให้ชาวบ้านมาติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องต่างๆไปจนถึงร้องเรียนด้วย เดินไปหนึ่งลี้จนพบห้องแถวสองชั้นที่สร้างเป็นหน้าร้านขายของ มีทั้งโรงเตี๊ยม เหลาอาหาร ร้านเครื่องหอม ร้านขายผ้า ข้าวสาร ฯลฯ ตามตรอกซอกซอยก็มีร้านค้ารวมถึงบ้านคนด้วย อีกฝั่งด้านหน้าจะเป็นตลาดและมีโซนที่ให้ชาวบ้านมาวางขายของแบกับดิน แม้จะดูวุ่นวายแต่จัดสรรได้อย่างลงตัว
ส่วนโรงหมอ ร้านตำรา สำนักศึกษาต้องเดินไปสองลี้จากประตูเมือง จะเป็นแหล่งที่คนไม่ค่อยวุ่นวายเสียเท่าไหร่ นอกเสียจากร้านขายยากับโรงหมอที่มีชาวบ้านค่อนข้างเยอะที่หน้าร้าน ถ้าเป็นสถานที่เริงรมย์จะอยู่ทางประตูเมืองทิศใต้ ถือว่าเจ้าเมืองจัดการได้เป็นอย่างดี
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
เมื่อมีเงินในมือก็ต้องใช้ ทนอดมาได้หลายวัน วันนี้ขอซื้อของให้เต็มที่แล้วกัน ซูหนี่ก็ซื้อทุกอย่างเต็มที่อย่างที่ใจนางนึกจริงๆ ข้าวสาร แป้งขาว ธัญพืช เกลือ น้ำตาล เครื่องปรุงที่ในร้านมีนางซื้ออย่างละชั่ง เนื้อหมู กระดูกหมู เนื้อสามชั้น ผัก ผักดอง ฯลฯ คือนางซื้อเยอะมากจริงๆ ตอนแรกนางจะให้หนิงหลงพาเด็กๆไปนั่งรอที่โรงน้ำชา ทั้งคนโตและเด็กต่างไม่ยอม นางสงสารที่เด็กแฝดต้องเดินเยอะขนาดนี้จึงพาไปซื้อเสื้อผ้าเป็นอย่างสุดท้าย นางเลือกร้านธรรมดาเพราะร้านใหญ่ๆให้การต้อนรับที่ไม่ดี นางไม่อยากจะให้เด็กแฝดโดนขับไล่ออกจากร้านเพราะจะเกิดภาพจำที่ไม่ดีกับเด็กเล็ก ทั้งสี่ได้เสื้อผ้ากันคนละห้าชุด รองเท้าสองคู่ ผ้าห่มอีกสี่ผืน ตอนแรกจ้าวหนิงหลงจะไม่ยอมให้นางซื้อให้เพราะนางให้เงินเขามาแล้ว แต่นางคิดว่าซื้อให้ทุกคนจะไม่ซื้อให้เขาคนเดียวก็ดูจะใจดำเกินไป อีกอย่างหากวันใดที่นางจากไปแล้วเขาเกิดคิดแค้นเรื่องเก่าที่ร่างนี้ทำไว้ก็ยังมีเรื่องดีให้ได้นึกถึงจะได้ไม่ต้องตามฆ่านางจ้าวหนิงหลงต้องไปจ้างรถม้าเพื่อขนของกลับหมู่บ้าน ระหว่างที่รอรถม้าไปรับของซูหนี่ก็ชวนทุกคนไม่หาข้าวกลางวันกิน"เฉิงเออร์ อันเออร์พวกเจ้าอย
ซูหนี่เข้าไปอยู่ในห้องกับเด็กๆ เมื่อนางคิดได้แล้วก็นำของที่ซื้อออกมาจัดการ แยกเสื้อผ้ากับผ้าห่มของทุกคนออกแล้วเก็บส่วนของตนเองเรียบร้อย นางก็นำของไปให้จ้าวหนิงหลง เขายังคงนั่งคัดตำราที่ริมหน้าต่างในห้องเช่นที่ทำอยู่ทุกวัน นิ้วเรียวยาวที่จับพู่กันเขียนลงในตำรา กลิ่นน้ำหมึกที่อบอวลอยู่ภายในห้อง แสงแดดที่ส่องตกกระทบบนใบหน้า แม้นางจะเคยแสดงร่วมกับพระเอกระดับแนวหน้ามาหลายคนแต่ก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าเขามีใบหน้าที่ชวนให้หลงใหลจริงๆ นางเสียดายแทนเจ้าของร่างเดิมเสียจริง ได้ของดีมาแล้วแต่ไม่ดูแลให้ดีจนกลายเป็นว่าตนเองต้องตายด้วยมือของเขา แต่มือเรียวที่ดูดีคู่นั้นจะสามารถฆ่าคนได้จริงหรือ นางถอนหายใจแล้วเคาะประตู"ข้านำของที่ซื้อมาให้ ท่านจะเก็บเองหรือให้ข้าช่วย" "เจ้าทำได้เลย" นางพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดที่จะทำให้จริงเสียหน่อย เขาพูดโดยที่ไม่ได้ละสายตาหรือหยุดเขียนเลย แต่เขาก็ทำเช่นนี้กับนางตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ในร่างนี้แล้วซูหนี่เดินเข้าไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่เตียงของเขา เก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้ให้ ทุกการกระทำของนางพยายามที่จะไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขาเกินไป แต่ที่นางไม่รู้คือ จ้าวหนิงหลงไม่ได้คัดตำราแล้
จ้าวหนิงหลงออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปคุยเรื่องกลับเข้าไปเรียนต่อที่สำนักศึกษา แม้เขาจะหยุดเรียนไปสามปี แต่เขาก็ศึกษาตำราเป็นประจำเรื่องนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง อีกอย่างเขาเป็นถึงพระเอกของเรื่องนี้จะไปห่วงเขาก็ใช่ที่ ต้องห่วงตัวเองดีที่สุด หากทุกอย่างยังเป็นไปตามนิยาย ไม่ใช่นางต้องตายในอีกไม่นานนี้หรือนางยังคงทำทุกอย่างเช่นทุกวัน ตอนไปซักผ้าก็พาเด็กๆไปด้วย นางจึงมีความคิดหากซื้อที่เพิ่มให้ถึงลำธารหลังบ้านต่อไปก็ดึงน้ำมาใช้ได้โดยไม่ต้องเดินมาซักผ้าที่แม่น้ำ ที่นางมมาซักผ้าที่แม่น้ำที่ไกลจากลำธารหลังบ้านเพราะนางอยากจะฟังข่าวสารของหมู่บ้านจากหญิงสาวที่มาซักผ้า เพราะนางไม่มีความทรงจำเรื่องในหมู่บ้านนี้เลย แล้วทุกครั้งที่นางมาก็จะได้ฟังเพียง บ้านไหนแต่งบุตรหลาน หลังไหนทะเลาะกัน เพียงเท่านั้น ไม่มีใครที่จะสนใจชวนนางคุยหรือคุยเรื่องของนางต่อหน้านาง เพราะร่างเดิมที่นิสัยร้ายกาจทำให้ชาวบ้านทั้งหวาดกลัวทั้งรังเกียจ แต่วันนี้มีคนใจกล้าพูดเรื่องของนาง"โอโยวว เกิดขยันอันใดขึ้นมาถึงได้มาซักผ้าที่นี่ได้" นางแม่หมูคนนี้เป็นใครนางก็ไม่รู้จัก จึงทำไม่สนใจเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันว่านางเปลี่ยนไปดังไม่หยุด
จ้าวหนิงหลงออกจากบ้านไปเรียนแล้วกลับมาอีกทีเป็นเวลาของมื้อเย็นแล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ซูหนี่สบายใจที่สุดก็ว่าได้ ที่ไม่ต้องคอยระวังตัว เพราะสายตาของจ้าวหนิงหลงเหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณของนางได้เลยตอนนี้นางจึงมีอยากจะหาอะไรทำเพิ่ม ที่นางคิดไว้คือนางอยากทำสบู่ ในยุคนี้แม้จะใช้ฝักจ้าวเจี่ยวอาบน้ำ สระผม ซักผ้า แต่ความรู้สึกของนางคือมันไม่สะอาด นางจึงคิดที่จะลองทำก่อน เรื่องนี้คงต้องรบกวนให้จ้าวหนิงหลงช่วยหาของที่จะต้องใช้ แล้วยังต้องหาช่างไม้ทำพิมพ์สำหรับใส่สบู่อีกด้วยตอนที่กินอาหารมื้อเย็นนางบอกเขาเรื่องที่จะให้เขาช่วย เขาก็รับปากอย่างดี เขาให้นางวาดแบบพิมพ์ที่ต้องใช้ให้ เขาจะหาช่างไม้ทำให้เอง ส่วนปูนขาวต้องใช้เวลาเสียหน่อยแต่ไม่ใช่จะหาไม่ได้เพียงแต่ตระกูลที่มีจะเป็นตระกูลใหญ่เสียมากกว่า"หากขอให้ท่านหมอตู้ช่วยจะได้หรือไม่" ก็นางไม่รู้จักใครนอกจากหมอตู้อีกแล้ว"ไม่ต้อง ข้ามีสหายตระกูลทหารอยู่ เขาช่วยได้" ในเมื่อเขาจะจัดการให้นางก็รอเพียงอย่างเดียว"มีอีกเรื่องที่ข้าอยากรบกวน คือข้าอยากฝากให้ท่านนำเงินไปให้บ้านท่านแม่ได้หรือไม่"ถึงนางจะไม่ใช่ลูกของเขาแต่อยู่ในร่างนี้เมื
เกาหยวนไปเช่าเกวียนในหมู่บ้านให้ไปส่งน้องสาวของตน นางเกาซินยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้บุตรสาวกลับจนนางต้องรับปากว่าจะมาหาบ่อยๆ ทั้งหมดจึงได้ขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้านถงสือเพราะกินข้าวเย็นกันมาแล้ววันนี้นางจึงไม่ต้องเข้าครัวเอง ซูหนี่จับเด็กๆอาบน้ำ แล้วนางก็ไปอาบตาม อาจตะเป็นที่เล่นกับเกาชวนจนเหนื่อยเด็กแฝดเมื่อล้มตัวลงนอนไม่รอให้ซูหนี่เล่านิทานก็หลับกันทันทีจ้าวหนิงหลงที่เดินมาดูลูกเมื่อเห็นทั้งคู่หลับแล้วเขาก็เดินออกไป แต่ซูหนี่เรียกเขาไว้เสียก่อน"วันนี้ขอบคุณท่านมาก" นางขอบคุณเขาจากใจที่ช่วยให้นางผ่านความกังวลเรื่องครอบครัวไปได้"ไม่เป็นไร ทำไมเจ้าเพียงกลับบ้านเดิมถึงต้องกังวลเช่นนั้น" นางกรอกตาอย่างไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี มือทั้งสองของนางเริ่มบีบนิ้วอีกแล้วเมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นนางเป็นเช่นนั้นก็ไม่รอฟังคำตอบ เขาเดินออกจากห้องของนางเพื่อกลับห้องตนเองทันที ที่เขาถามเพียงอยากจะให้นางเปิดใจคุยกับเขาเท่านั้น แต่อาจจะเร็วเกินไปจึงทำให้นางตกใจส่วนซูหนี่ที่กังวลกับคำถามของเขาก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขกลัวว่าถ้าเขารู้ว่านางมาจากต่างมิติแล้วมาอยู่ในร่างนี้ เขาจะคิดว่านางเป็นปีศาจแล้วจับนางเผาทั้
สองวันหลังจากที่สบู่กวนร้อนได้ที่ นางนำออกมาให้ทุกคนในครอบครัวได้ลองใช้ ตัวนางที่ได้ลองใช้ก็รู้สึกว่าใกล้เคียงกับสบู่ทำมือในยุคของนาง แม้จะไม่มีกลิ่นหอม แต่ก็นับว่าสำเร็จ หากจะให้มีกลิ่นหอมนางยังต้องสกัดน้ำหอมจากดอกไม้อีก จึงเอาไว้ก่อนค่อยๆทำไป"เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ" ซูหนี่ถามจ้าวหนิงหลงทันทีที่เขาออกมาจากห้องน้ำ หากไม่กลัวเขาคิดว่านางเป็นโรคจิตนางคงไปยืนเฝ้าเขาที่หน้าห้องน้ำแล้ว"ดียิ่ง" เพียงแค่นี้ก็ทำให้นางมีกำลังใจที่จะทำการค้าครั้งนี้แล้ว จ้าวหนิงหลงรู้สึกทึ่งกับความสามารถของนางมาก ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ช่วยนาง เพราะนางบอกบางขั้นตอนอันตรายไม่อยากให้คนอื่นเข้าใกล้ แต่ทุกครั้งที่เห็นนางตั้งใจทำ เขาเห็นถึงความตั้งใจจริงของนางซูหนี่ปรึกษาจ้าวหนิงหลงนางอยากจะสร้างห้องเพิ่มเพื่อเก็บสบู่โดยเฉพาะซึ่งเขาก็เห็นดีด้วย เพราะในบ้านมีห้องว่างอีกแค่หนึ่งห้องก็ใช้เก็บของไปแล้ว หากสบู่ที่นางทำเพิ่มจำนวนมากขึ้นคงไม่มีที่เก็บแล้วจ้าวหนิงหลงจำได้ว่าฮูหยินของท่านอาจารย์ของตนนั้นมีร้านเครื่องหอมอยู่ด้วยเขาจึงขอสบู่จากซูหนี่ไปให้ท่านอาจารย์ของเขาได้ลองใช้ หากใช้แล้วถูกใจการค้าครั้งนี้นางก็ไม่ต้องออกไปห
ซูหนี่รับตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม คนรับของมองนางอย่างตกตะลึง จ้าวหนิงหลงถึงกับหัวเสีย เขาไปสำนักศึกษาพร้อมกับรถม้าของฮูหยินหู วันนั้นทั้งวันเขาไม่มีสมาธิที่จะอ่านตำรา เนื้อหาที่อาจารย์สอนก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด "จ้าวหนิงหลง วันนี้เจ้าเป็นอันใดถึงไม่มีสมาธิในชั้นเรียนเลย" อาจารย์หูคิดว่าลูกศิษย์ของตนมีเรื่องเครียด แต่วันนี้เขาก็เพิ่งจะขายสบู่ได้เงินก้อนใหญ่ยังจะมีอะไรให้เครียด"ศิษย์ขออภัยท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์มีเรื่องที่คิดไม่ตกจริงขอรับ""หากมีอันใดไม่เข้าใจก็มาปรึกษาอาจารย์ได้ รีบจัดการปัญหาเสียใกล้จะสอบแล้ว" ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงศิษย์อาจารย์ แต่เป็นคู่ค้าของภรรยาเขาด้วย"ศิษย์น้อมรับคำสอนของท่านอาจารย์ขอรับ" จ้าวหนิงหลงบอกลาอาจารย์หูแล้วกลับออกไปวันนี้ซูหนี่ได้รายได้ก้อนใหญ่มา นางจึงพาเด็กๆเข้าเมืองเพื่อซื้อของ เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกเรียนของจ้าวหนิงหลงแล้วทั้งหมดจึงไปรอรับเขาเพื่อกลับบ้านพร้อมกันจ้าวหนิงหลงที่เดินหน้าเครียดออกมา เมื่อพบนางกับบุตรชายทั้งสองมารอรับก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ภายในหัวใจของเขาเมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขาคิดว่าหากเป็นเช่น
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ
องค์รัชทายาทและจ้าวหนิงหลงที่ยังคงแพ้ท้องแทนเมียจนกลายเป็นที่ขบขันของขุนนางทั้งหลาย องค์รัชทายาทอาเจียนแห้งทั้งวันจนทำให้เข้าประชุมขุนนางในท้องพระโรงไม่ได้ขุนนางที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายสาม องค์ชายห้าก็ถวายฎีการ้องเรียนองค์รัชทายาท กล่าวหาว่าพระองค์ใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไม่ทำราชกิจ พระองค์เพียงรอดูว่าฝ่ายไหนหางจะโผล่ก่อนกันเท่านั้นมิได้โต้แย้งแต่อย่างใดตอนนี้ราชสำนักแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ด้วยโอรสสวรรค์มากความสามารถทุกคน ตอนนี้ก็รอดูเพียงใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน องค์ชายสามโจมตีขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาทโดยยัดข้อหาความผิดให้ เพราะตอนนี้องค์รัชทายาทไม่สามารถออกมาปกป้องพวกเขาได้ส่วนองค์ชายห้าที่ซ่องสุมกำลังไว้ รอให้องค์ชายทั้งสองสู้กันให้แล้วเสร็จตนจะนำกองกำลังเข้ายึดอำนาจทีหลัง แต่พวกเขาพลาดไปจุดหนึ่ง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงพลานามัยแข็งแรงดี พระองค์รอดูว่าบุตรของตนคนใดจะเคลื่อนไหวก่อนกันจ้าวหนิงหลงยังคงแอบออกไปพบองค์รัชทายาทและคนของเสนาบดีเพื่อวางแผนตลบหลังองค์ชายทั้งสอง"พระองค์ทรงรอดูองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเคลื่อนไหวเท่านั้น อย่าได้ทรงทำอะไรทั้งสิ้น เพราะฝ่าบาทกำลังจับตามองทุกพระองค์อยู่"
เรื่องมงคลของจวนตระกูลจ้าวมาพร้อมกันติดๆ จ้าวหนิงหลงสอบจิ้นชื่อหน้าพระที่พักตร์ได้เป็นจ้วงหยวนสมใจ ของที่ตระกูลสวีจะร่วมแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ของซูหนี่ต้องเพิ่มเข้าไปให้จ้วงหยวนคนใหม่ด้วยซูหนี่ที่แพ้ท้องก็ลุกขึ้นจัดการสิ่งใดไม่ได้เลยในช่วงนี้ นางยังแปลกใจที่ตอนแรกเพียงแค่ง่วงนอนอย่างเดียวเท่านั้น พอรู้ว่าตัวเองท้องก็แพ้ท้องทันที เหมือนเด็กในท้องจะกลั่นแกล้งมารดาของตน"ยินดีด้วยหนี่เออร์"สวีซูฉีมาเยี่ยมนางหลังจากที่ผ่านวันประกาศผลสอบมาได้สองวัน "เจ้าก็ต้องรีบตามข้ามาเร็วๆเสียแล้ว" ซูหนี่กล่าวเย้าซูฉี อีกไม่ถึงเดือนนางก็ต้องแต่งออกแล้วเช่นกันทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่นานซูฉีก็ขอตัวกลับไปนางออกมานานไม่ได้เพราะต้องเตรียมตัวเรื่องงานแต่ง จ้าวหนิงหลงช่วงนี้ก็ต้องเดินสายขอบคุณเหล่าอาจารย์ และยังต้องเตรียมตัวเข้ารายงานตัวอีกด้วยขบวนแห่จ้วงหยวนคนใหม่รอบเมืองหลวงนั้นซูหนี่ต่อให้มีใจอยากจะไปดูแค่ไหนสภาพของนางก็ไม่อำนวยให้ไป อีกอย่างจ้าวหนิงหลงก็ไม่ยินยอมให้นางไปเบียดกับคนอื่นด้วย ถึงนางจะเสียดายที่ไม่ได้ชมแต่อันเออร์กับเฉิงเออร์ก็นำกลับมาเล่าให้ฟังว่าบิดาสง่างามเพียงใดเมื่ออยู่บนหลังม้าเดิ
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จ้าวหนิงหลงต้องเข้าสอบ ซูหนี่ก็จัดของให้เรียบร้อยอย่างดี"หนี่หนี่" เมื่ออยู่สองคนเขาจะเรียกนางเช่นนี้เสมอ ซูหนี่มองค้อนอย่างรู้ทัน "จะสอบอยู่แล้วท่านยังไม่ละเว้นข้าอีกหรือ" "ต้องห่างเจ้าหลายวัน ข้าปวดใจยิ่งนัก" คำพูดเช่นนี้นางได้ยินจนเบื่อ สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอยู่ดี"วันนี้ท่านกินน้อยลงหน่อย พรุ่งนี้จะเข้าสอบไม่ไหวเสียก่อน" ถึงนางจะห้ามเขาเช่นไร หรือร้องขอให้เขาหยุด เนื้อที่เข้าปากเสือไปแล้วย่อมไม่คายออกมา จ้าวหนิงหลงก็เช่นกัน เขาเคี่ยวกลำนางเช่นเวลาปกติ คำพูดของคุณชายเสเพลถูกดึงมาใช้ทั้งคืน หากนางยังไม่ยอมชมเขา เขาจะลงโทษนางอย่างถึงพริกถึงขิง"หากข้าลุกไปส่งท่านไม่ไหวก็อย่าได้พูดว่าก็แล้วกัน" นางเริ่มโมโหเขาแล้วที่ไม่ยอมปล่อยให้นางนอนเสียที "เจ้าไม่ต้องลุกไปส่งข้า เจ้านอนพักให้นานขึ้นเสียหน่อย" ทุกครั้งเขาก็พูดเช่นนี้ นางจะไม่ลุกได้อย่างไร เจ้าเด็กแสบได้มาน้ำตาคลอข้างเตียงคิดว่ามารดาป่วยอีก"ข้าอยากจะผูกเจ้าไว้กับตัวแล้วพาไปสนามสอบด้วย" จ้าวหนิงหลงถึงจะหยุดรังแกนางแล้วแต่เขาก็ยังคลอเคลียนางไม่เลิก นางอยากจะให้คนที่มองสามีนางอย่างเทิดทูนมาเห็นตอนที่เขาเป็นหมาน้