ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้
แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ
คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)
หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื่อออกจากบ้าน
ชีวิตก่อนไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย พอมาตอนนี้หายใจเข้าหายใจออกก็อยากจะหาแต่เงิน หากวันใดที่ต้องไปจากที่นี่ก็ต้องมีเงินซื้อเรือนหรือลงทุนเพื่อค้าขาย นางคิดไว้ว่าจะเปิดร้านอาหารเช้าเล็กๆสักร้าน
ซูหนี่อาบน้ำเสร็จนางก็เตรียมตัวเข้านอนเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เด็กน้อยสองคนนั่งรอนางอยู่ที่บนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
"ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ในห้องข้าเล่า"
"ท่านแม่คืนนี้ข้าขอนอนกับท่านนะขอรับ" หนิงอันลงจากเตียงมาเกาะขานาง หนิงเฉิงขมวดคิ้วคิดอยู่ก่อนแล้วจึงเดินลงมาทำเช่นเดียวกัน
"ข้าก็จะนอนด้วยขอรับ" นางลูบหัวเด็กน้อยทั้งสอง แต่เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องถามพ่อของเด็กน้อยก่อน
"เอ่ออ บิดาของพวกเจ้ายินยอมแล้วใช่หรือไม่" ทั้งคู่พยักหน้าราวไก่จิก แต่นางยังไม่วางใจจึงเดินออกไปถามเขา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก "ขอคุยได้หรือไม่" จ้าวหนิงหลงเดินมาเปิดประตู ซูหนี่ที่ยังไม่ตั้งตัวก็ตกใจจนถอยหลัง เพราะนางไม่ได้ยินเสียงเขาเดินมาเปิดประตูด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเปิดประตูออกมานางกับเขาอยู่ใกล้กันเกินไป เขาจ้องหน้านางเหมือนจะสั่งให้พูดออกมา
"เฉิงเออร์กับอันเออร์จะนอนกับข้า เขาบอกท่าน อนุญาตแล้ว"
"อืม" เขาหันหลังเตรียมจะปิดประตูแต่ซูหนี่ดึงไว้เสียก่อน
"จ้าว หนิง หลง ข้ายังมีอีกเรื่องจะบอกท่านว่าข้าจะอยู่ที่นี่อีกเพียงแค่สามวันเท่านั้น หมดเรื่องของข้าแล้ว" นางกัดฟันเน้นย้ำชื่อเขา ซูหนี่หันหลังเดินเข้าห้องของนางไปทันที
นางก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในบ้านของคนอื่น ในเมื่อเจ้าบ้านเขาก็ไม่ได้ยินยอมจะให้นางอยู่ ตอนนี้นางมีหนทางให้ไปแล้วนางก็ควรจะรีบจากไปเสีย เพราะการอยู่เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างอึดอัดใจกันเปล่าๆ
จ้าวหนิงหลงไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เขาก็ยังไม่ได้เขาห้องของตัวเองเช่นกัน เขายืนคิดอยู่หน้าประตูเช่นนั้น ตอนนี้นางทำดีกับบุตรทั้งสองแล้วจนเฉิงเออร์กับอันเออร์ติดนาง หากนางจะจากไปเช่นนี้เขาจะบอกบุตรชายอย่างไร หรือจะให้นางอยู่ต่อ
จ้าวหนิงหลงตกใจกับความคิดของตนเอง เขาคิดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นตัวเขาที่อยากให้นางจากไปใจจะขาด แล้วนางจะไปก็ดีแล้วมิใช่หรือ จ้าวหนิงหลงปิดประตูห้องเขานั่งลงเพื่อทบทวนตำราเช่นทุกวัน แต่ตอนนี้เขาอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะคำที่นางบอกว่าอีกสามวันจะจากไป
ซูหนี่ปรับอารมณ์แล้วเขาไปในห้องเพื่อพาเด็กแฝดเข้านอน ทั้งคู่ให้นางนอนตรงกลางเพื่อจะได้กอดเขาทั้งสองคนได้ ทุกครั้งหากนางไม่ขึ้นเขาจะนอนกลางวันพร้อมทั้งสองเช่นนี้เสมอ
เด็กทั้งคู่เมื่อฟังนิทานจบได้สองเรื่องก็กอดนางหลับไปแล้ว ยังคงมีเพียงนางที่นอนมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย นางไม่รู้เรื่องในยุคนี้เลย หากออกไปซื้อเรือนแล้วจะขึ้นทะเบียนเรือนเช่นไร นางที่เป็นผู้หญิงอายุสิบเก้าหนาวคนเดียวจะใช้ชีวิตลำพังได้ไหม ร่างนี้พอได้กินของดีขึ้นมาเกือบเดือนก็เริ่มมีเนื้อมีหนัง รูปร่างหน้าตาจึงเหมือนนางจากโลกก่อนอย่างกับคนเดียวกัน
กว่านางจะข่มตาหลับก็เกือบค่อนคืน เช้านางจึงตื่นสายกว่าทุกวัน ซูหนี่รีบเตรียมอาหารเพื่อขึ้นเขาทันที นางพาเด็กทั้งสองล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะ ครั้งนี้จ้าวหนิงหลงรั้งให้นางนั่งกินข้าวด้วยกัน
"ไม่เป็นไร ท่านกินเลย ข้าสายมากแล้วเดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันทำอาหารเย็น"
"ท่านแม่นั่งกินข้าวกับพวกข้าก่อนนะขอรับ" หนิงอันเดินเข้ามาจับมือนาง หนิงเฉิงเห็นเช่นนั้นก็ลึกขึ้นมาดึงนางด้วยอีกคน แต่ที่ซูหนี่ไม่รู้เลยคือ จ้าวหนิงหลงส่งสายตาให้เด็กทั้งสองทำเช่นนี้
"ได้ได้ ประเดี๋ยวแม่ไปยกข้าวในครัวมาก่อน" นางรีบไปยกข้าวมาเพื่อที่จะได้รีบกินรีบขึ้นเขา
เมื่อจ้าวหนิงหลงยกตะเกียบทุกคนก็เริ่มลงมือกิน แต่วันนี้กว่าเขาจะยกตะเกียบขึ้นได้นางก็เริ่มจะนั่งไม่ติดแล้ว นางรีบกินอย่างรวดเร็วจนเกือบจะสำลัก จ้าวหนิงหลงรินน้ำส่งให้ซูหนี่
"ค่อยๆกิน เจ้าไม่อายลูกบ้างหรือไร" เขาช่วยตบหลังนางเบาๆ ซูหนี่เกร็งไปทั้งร่างกายนางหันไปถลึงตาใส่เขา นางก้มหน้ากินต่อ โดยยังไม่ทันเห็นว่าจ้าวหนิงหลงยกยิ้มที่มุมปาก แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
ซูหนี่กินหมดนางก็ลุกขึ้นทันที แต่เฉิงเออร์ดึงมือนางไว้
"ท่านแม่ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่"
"ไม่ได้" นางส่ายหัวทันทีโดยไม่ต้องคิด
"อันตรายเกินไปวันนี้สายเดินไปแล้ว ไว้วันหน้าแม่จะพาเจ้าไปด้วย อยู่บ้านเป็นเด็กดีนะลูก" นางลูบหัวหนิงเฉิงอย่างปลอบใจ หนิงอันเห็นเช่นนั้นจึงยื่นหัวให้นางลูบด้วย
"วันนี้ข้าจะไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดขึ้น
"ไม่ได้ แล้วท่านจะปล่อยให้เด็กอยู่บ้านกันสองคนได้อย่างไร"
"เอาไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดอย่างหน้าตาย ซูหนี่อยากจะกรีดร้อง วันนี้มันเป็นวันอะไรของนาง
"ข้าไม่ไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไป ยังไงก็ไม่ทันลงจากเขาก่อนมืดแน่" นางเก็บจานชามเข้าไปล้างในครัวอย่างหัวเสีย
จ้าวหนิงหลงมองตามไปอย่างได้ใจ เขารู้ว่านางต้องไปเจอของดีแน่ ไม่เช่นนั้นนางไม่กระตือรือร้นที่จะขึ้นเขาให้ได้ในวันนี้ ถึงจะสายขนาดนี้แล้วนางยังรั้นที่จะขึ้นให้ได้
ซูหนี่เปลี่ยนความคิด นางจะลองนำถั่งเช่าที่มีไปขายเสียก่อน หากได้ราคาดีค่อยไปขุดมาขายใหม่ หากเอาไปขายครั้งละน้อยๆน่าจะได้ราคาที่ดีกว่า นางจึงเดินไปดูถั่งเช่าที่ตากไว้ แดดดีๆพรุ่งนี้ก็คงจะแห้ง
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
เมื่อมีเงินในมือก็ต้องใช้ ทนอดมาได้หลายวัน วันนี้ขอซื้อของให้เต็มที่แล้วกัน ซูหนี่ก็ซื้อทุกอย่างเต็มที่อย่างที่ใจนางนึกจริงๆ ข้าวสาร แป้งขาว ธัญพืช เกลือ น้ำตาล เครื่องปรุงที่ในร้านมีนางซื้ออย่างละชั่ง เนื้อหมู กระดูกหมู เนื้อสามชั้น ผัก ผักดอง ฯลฯ คือนางซื้อเยอะมากจริงๆ ตอนแรกนางจะให้หนิงหลงพาเด็กๆไปนั่งรอที่โรงน้ำชา ทั้งคนโตและเด็กต่างไม่ยอม นางสงสารที่เด็กแฝดต้องเดินเยอะขนาดนี้จึงพาไปซื้อเสื้อผ้าเป็นอย่างสุดท้าย นางเลือกร้านธรรมดาเพราะร้านใหญ่ๆให้การต้อนรับที่ไม่ดี นางไม่อยากจะให้เด็กแฝดโดนขับไล่ออกจากร้านเพราะจะเกิดภาพจำที่ไม่ดีกับเด็กเล็ก ทั้งสี่ได้เสื้อผ้ากันคนละห้าชุด รองเท้าสองคู่ ผ้าห่มอีกสี่ผืน ตอนแรกจ้าวหนิงหลงจะไม่ยอมให้นางซื้อให้เพราะนางให้เงินเขามาแล้ว แต่นางคิดว่าซื้อให้ทุกคนจะไม่ซื้อให้เขาคนเดียวก็ดูจะใจดำเกินไป อีกอย่างหากวันใดที่นางจากไปแล้วเขาเกิดคิดแค้นเรื่องเก่าที่ร่างนี้ทำไว้ก็ยังมีเรื่องดีให้ได้นึกถึงจะได้ไม่ต้องตามฆ่านางจ้าวหนิงหลงต้องไปจ้างรถม้าเพื่อขนของกลับหมู่บ้าน ระหว่างที่รอรถม้าไปรับของซูหนี่ก็ชวนทุกคนไม่หาข้าวกลางวันกิน"เฉิงเออร์ อันเออร์พวกเจ้าอย
ซูหนี่เข้าไปอยู่ในห้องกับเด็กๆ เมื่อนางคิดได้แล้วก็นำของที่ซื้อออกมาจัดการ แยกเสื้อผ้ากับผ้าห่มของทุกคนออกแล้วเก็บส่วนของตนเองเรียบร้อย นางก็นำของไปให้จ้าวหนิงหลง เขายังคงนั่งคัดตำราที่ริมหน้าต่างในห้องเช่นที่ทำอยู่ทุกวัน นิ้วเรียวยาวที่จับพู่กันเขียนลงในตำรา กลิ่นน้ำหมึกที่อบอวลอยู่ภายในห้อง แสงแดดที่ส่องตกกระทบบนใบหน้า แม้นางจะเคยแสดงร่วมกับพระเอกระดับแนวหน้ามาหลายคนแต่ก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าเขามีใบหน้าที่ชวนให้หลงใหลจริงๆ นางเสียดายแทนเจ้าของร่างเดิมเสียจริง ได้ของดีมาแล้วแต่ไม่ดูแลให้ดีจนกลายเป็นว่าตนเองต้องตายด้วยมือของเขา แต่มือเรียวที่ดูดีคู่นั้นจะสามารถฆ่าคนได้จริงหรือ นางถอนหายใจแล้วเคาะประตู"ข้านำของที่ซื้อมาให้ ท่านจะเก็บเองหรือให้ข้าช่วย" "เจ้าทำได้เลย" นางพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดที่จะทำให้จริงเสียหน่อย เขาพูดโดยที่ไม่ได้ละสายตาหรือหยุดเขียนเลย แต่เขาก็ทำเช่นนี้กับนางตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ในร่างนี้แล้วซูหนี่เดินเข้าไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่เตียงของเขา เก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้ให้ ทุกการกระทำของนางพยายามที่จะไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขาเกินไป แต่ที่นางไม่รู้คือ จ้าวหนิงหลงไม่ได้คัดตำราแล้
จ้าวหนิงหลงออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปคุยเรื่องกลับเข้าไปเรียนต่อที่สำนักศึกษา แม้เขาจะหยุดเรียนไปสามปี แต่เขาก็ศึกษาตำราเป็นประจำเรื่องนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง อีกอย่างเขาเป็นถึงพระเอกของเรื่องนี้จะไปห่วงเขาก็ใช่ที่ ต้องห่วงตัวเองดีที่สุด หากทุกอย่างยังเป็นไปตามนิยาย ไม่ใช่นางต้องตายในอีกไม่นานนี้หรือนางยังคงทำทุกอย่างเช่นทุกวัน ตอนไปซักผ้าก็พาเด็กๆไปด้วย นางจึงมีความคิดหากซื้อที่เพิ่มให้ถึงลำธารหลังบ้านต่อไปก็ดึงน้ำมาใช้ได้โดยไม่ต้องเดินมาซักผ้าที่แม่น้ำ ที่นางมมาซักผ้าที่แม่น้ำที่ไกลจากลำธารหลังบ้านเพราะนางอยากจะฟังข่าวสารของหมู่บ้านจากหญิงสาวที่มาซักผ้า เพราะนางไม่มีความทรงจำเรื่องในหมู่บ้านนี้เลย แล้วทุกครั้งที่นางมาก็จะได้ฟังเพียง บ้านไหนแต่งบุตรหลาน หลังไหนทะเลาะกัน เพียงเท่านั้น ไม่มีใครที่จะสนใจชวนนางคุยหรือคุยเรื่องของนางต่อหน้านาง เพราะร่างเดิมที่นิสัยร้ายกาจทำให้ชาวบ้านทั้งหวาดกลัวทั้งรังเกียจ แต่วันนี้มีคนใจกล้าพูดเรื่องของนาง"โอโยวว เกิดขยันอันใดขึ้นมาถึงได้มาซักผ้าที่นี่ได้" นางแม่หมูคนนี้เป็นใครนางก็ไม่รู้จัก จึงทำไม่สนใจเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันว่านางเปลี่ยนไปดังไม่หยุด
จ้าวหนิงหลงออกจากบ้านไปเรียนแล้วกลับมาอีกทีเป็นเวลาของมื้อเย็นแล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ซูหนี่สบายใจที่สุดก็ว่าได้ ที่ไม่ต้องคอยระวังตัว เพราะสายตาของจ้าวหนิงหลงเหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณของนางได้เลยตอนนี้นางจึงมีอยากจะหาอะไรทำเพิ่ม ที่นางคิดไว้คือนางอยากทำสบู่ ในยุคนี้แม้จะใช้ฝักจ้าวเจี่ยวอาบน้ำ สระผม ซักผ้า แต่ความรู้สึกของนางคือมันไม่สะอาด นางจึงคิดที่จะลองทำก่อน เรื่องนี้คงต้องรบกวนให้จ้าวหนิงหลงช่วยหาของที่จะต้องใช้ แล้วยังต้องหาช่างไม้ทำพิมพ์สำหรับใส่สบู่อีกด้วยตอนที่กินอาหารมื้อเย็นนางบอกเขาเรื่องที่จะให้เขาช่วย เขาก็รับปากอย่างดี เขาให้นางวาดแบบพิมพ์ที่ต้องใช้ให้ เขาจะหาช่างไม้ทำให้เอง ส่วนปูนขาวต้องใช้เวลาเสียหน่อยแต่ไม่ใช่จะหาไม่ได้เพียงแต่ตระกูลที่มีจะเป็นตระกูลใหญ่เสียมากกว่า"หากขอให้ท่านหมอตู้ช่วยจะได้หรือไม่" ก็นางไม่รู้จักใครนอกจากหมอตู้อีกแล้ว"ไม่ต้อง ข้ามีสหายตระกูลทหารอยู่ เขาช่วยได้" ในเมื่อเขาจะจัดการให้นางก็รอเพียงอย่างเดียว"มีอีกเรื่องที่ข้าอยากรบกวน คือข้าอยากฝากให้ท่านนำเงินไปให้บ้านท่านแม่ได้หรือไม่"ถึงนางจะไม่ใช่ลูกของเขาแต่อยู่ในร่างนี้เมื
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ
องค์รัชทายาทและจ้าวหนิงหลงที่ยังคงแพ้ท้องแทนเมียจนกลายเป็นที่ขบขันของขุนนางทั้งหลาย องค์รัชทายาทอาเจียนแห้งทั้งวันจนทำให้เข้าประชุมขุนนางในท้องพระโรงไม่ได้ขุนนางที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายสาม องค์ชายห้าก็ถวายฎีการ้องเรียนองค์รัชทายาท กล่าวหาว่าพระองค์ใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไม่ทำราชกิจ พระองค์เพียงรอดูว่าฝ่ายไหนหางจะโผล่ก่อนกันเท่านั้นมิได้โต้แย้งแต่อย่างใดตอนนี้ราชสำนักแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ด้วยโอรสสวรรค์มากความสามารถทุกคน ตอนนี้ก็รอดูเพียงใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน องค์ชายสามโจมตีขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาทโดยยัดข้อหาความผิดให้ เพราะตอนนี้องค์รัชทายาทไม่สามารถออกมาปกป้องพวกเขาได้ส่วนองค์ชายห้าที่ซ่องสุมกำลังไว้ รอให้องค์ชายทั้งสองสู้กันให้แล้วเสร็จตนจะนำกองกำลังเข้ายึดอำนาจทีหลัง แต่พวกเขาพลาดไปจุดหนึ่ง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงพลานามัยแข็งแรงดี พระองค์รอดูว่าบุตรของตนคนใดจะเคลื่อนไหวก่อนกันจ้าวหนิงหลงยังคงแอบออกไปพบองค์รัชทายาทและคนของเสนาบดีเพื่อวางแผนตลบหลังองค์ชายทั้งสอง"พระองค์ทรงรอดูองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเคลื่อนไหวเท่านั้น อย่าได้ทรงทำอะไรทั้งสิ้น เพราะฝ่าบาทกำลังจับตามองทุกพระองค์อยู่"
เรื่องมงคลของจวนตระกูลจ้าวมาพร้อมกันติดๆ จ้าวหนิงหลงสอบจิ้นชื่อหน้าพระที่พักตร์ได้เป็นจ้วงหยวนสมใจ ของที่ตระกูลสวีจะร่วมแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ของซูหนี่ต้องเพิ่มเข้าไปให้จ้วงหยวนคนใหม่ด้วยซูหนี่ที่แพ้ท้องก็ลุกขึ้นจัดการสิ่งใดไม่ได้เลยในช่วงนี้ นางยังแปลกใจที่ตอนแรกเพียงแค่ง่วงนอนอย่างเดียวเท่านั้น พอรู้ว่าตัวเองท้องก็แพ้ท้องทันที เหมือนเด็กในท้องจะกลั่นแกล้งมารดาของตน"ยินดีด้วยหนี่เออร์"สวีซูฉีมาเยี่ยมนางหลังจากที่ผ่านวันประกาศผลสอบมาได้สองวัน "เจ้าก็ต้องรีบตามข้ามาเร็วๆเสียแล้ว" ซูหนี่กล่าวเย้าซูฉี อีกไม่ถึงเดือนนางก็ต้องแต่งออกแล้วเช่นกันทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่นานซูฉีก็ขอตัวกลับไปนางออกมานานไม่ได้เพราะต้องเตรียมตัวเรื่องงานแต่ง จ้าวหนิงหลงช่วงนี้ก็ต้องเดินสายขอบคุณเหล่าอาจารย์ และยังต้องเตรียมตัวเข้ารายงานตัวอีกด้วยขบวนแห่จ้วงหยวนคนใหม่รอบเมืองหลวงนั้นซูหนี่ต่อให้มีใจอยากจะไปดูแค่ไหนสภาพของนางก็ไม่อำนวยให้ไป อีกอย่างจ้าวหนิงหลงก็ไม่ยินยอมให้นางไปเบียดกับคนอื่นด้วย ถึงนางจะเสียดายที่ไม่ได้ชมแต่อันเออร์กับเฉิงเออร์ก็นำกลับมาเล่าให้ฟังว่าบิดาสง่างามเพียงใดเมื่ออยู่บนหลังม้าเดิ
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จ้าวหนิงหลงต้องเข้าสอบ ซูหนี่ก็จัดของให้เรียบร้อยอย่างดี"หนี่หนี่" เมื่ออยู่สองคนเขาจะเรียกนางเช่นนี้เสมอ ซูหนี่มองค้อนอย่างรู้ทัน "จะสอบอยู่แล้วท่านยังไม่ละเว้นข้าอีกหรือ" "ต้องห่างเจ้าหลายวัน ข้าปวดใจยิ่งนัก" คำพูดเช่นนี้นางได้ยินจนเบื่อ สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอยู่ดี"วันนี้ท่านกินน้อยลงหน่อย พรุ่งนี้จะเข้าสอบไม่ไหวเสียก่อน" ถึงนางจะห้ามเขาเช่นไร หรือร้องขอให้เขาหยุด เนื้อที่เข้าปากเสือไปแล้วย่อมไม่คายออกมา จ้าวหนิงหลงก็เช่นกัน เขาเคี่ยวกลำนางเช่นเวลาปกติ คำพูดของคุณชายเสเพลถูกดึงมาใช้ทั้งคืน หากนางยังไม่ยอมชมเขา เขาจะลงโทษนางอย่างถึงพริกถึงขิง"หากข้าลุกไปส่งท่านไม่ไหวก็อย่าได้พูดว่าก็แล้วกัน" นางเริ่มโมโหเขาแล้วที่ไม่ยอมปล่อยให้นางนอนเสียที "เจ้าไม่ต้องลุกไปส่งข้า เจ้านอนพักให้นานขึ้นเสียหน่อย" ทุกครั้งเขาก็พูดเช่นนี้ นางจะไม่ลุกได้อย่างไร เจ้าเด็กแสบได้มาน้ำตาคลอข้างเตียงคิดว่ามารดาป่วยอีก"ข้าอยากจะผูกเจ้าไว้กับตัวแล้วพาไปสนามสอบด้วย" จ้าวหนิงหลงถึงจะหยุดรังแกนางแล้วแต่เขาก็ยังคลอเคลียนางไม่เลิก นางอยากจะให้คนที่มองสามีนางอย่างเทิดทูนมาเห็นตอนที่เขาเป็นหมาน้