ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้
แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ
คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)
หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื่อออกจากบ้าน
ชีวิตก่อนไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย พอมาตอนนี้หายใจเข้าหายใจออกก็อยากจะหาแต่เงิน หากวันใดที่ต้องไปจากที่นี่ก็ต้องมีเงินซื้อเรือนหรือลงทุนเพื่อค้าขาย นางคิดไว้ว่าจะเปิดร้านอาหารเช้าเล็กๆสักร้าน
ซูหนี่อาบน้ำเสร็จนางก็เตรียมตัวเข้านอนเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เด็กน้อยสองคนนั่งรอนางอยู่ที่บนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
"ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ในห้องข้าเล่า"
"ท่านแม่คืนนี้ข้าขอนอนกับท่านนะขอรับ" หนิงอันลงจากเตียงมาเกาะขานาง หนิงเฉิงขมวดคิ้วคิดอยู่ก่อนแล้วจึงเดินลงมาทำเช่นเดียวกัน
"ข้าก็จะนอนด้วยขอรับ" นางลูบหัวเด็กน้อยทั้งสอง แต่เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องถามพ่อของเด็กน้อยก่อน
"เอ่ออ บิดาของพวกเจ้ายินยอมแล้วใช่หรือไม่" ทั้งคู่พยักหน้าราวไก่จิก แต่นางยังไม่วางใจจึงเดินออกไปถามเขา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก "ขอคุยได้หรือไม่" จ้าวหนิงหลงเดินมาเปิดประตู ซูหนี่ที่ยังไม่ตั้งตัวก็ตกใจจนถอยหลัง เพราะนางไม่ได้ยินเสียงเขาเดินมาเปิดประตูด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเปิดประตูออกมานางกับเขาอยู่ใกล้กันเกินไป เขาจ้องหน้านางเหมือนจะสั่งให้พูดออกมา
"เฉิงเออร์กับอันเออร์จะนอนกับข้า เขาบอกท่าน อนุญาตแล้ว"
"อืม" เขาหันหลังเตรียมจะปิดประตูแต่ซูหนี่ดึงไว้เสียก่อน
"จ้าว หนิง หลง ข้ายังมีอีกเรื่องจะบอกท่านว่าข้าจะอยู่ที่นี่อีกเพียงแค่สามวันเท่านั้น หมดเรื่องของข้าแล้ว" นางกัดฟันเน้นย้ำชื่อเขา ซูหนี่หันหลังเดินเข้าห้องของนางไปทันที
นางก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในบ้านของคนอื่น ในเมื่อเจ้าบ้านเขาก็ไม่ได้ยินยอมจะให้นางอยู่ ตอนนี้นางมีหนทางให้ไปแล้วนางก็ควรจะรีบจากไปเสีย เพราะการอยู่เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างอึดอัดใจกันเปล่าๆ
จ้าวหนิงหลงไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เขาก็ยังไม่ได้เขาห้องของตัวเองเช่นกัน เขายืนคิดอยู่หน้าประตูเช่นนั้น ตอนนี้นางทำดีกับบุตรทั้งสองแล้วจนเฉิงเออร์กับอันเออร์ติดนาง หากนางจะจากไปเช่นนี้เขาจะบอกบุตรชายอย่างไร หรือจะให้นางอยู่ต่อ
จ้าวหนิงหลงตกใจกับความคิดของตนเอง เขาคิดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นตัวเขาที่อยากให้นางจากไปใจจะขาด แล้วนางจะไปก็ดีแล้วมิใช่หรือ จ้าวหนิงหลงปิดประตูห้องเขานั่งลงเพื่อทบทวนตำราเช่นทุกวัน แต่ตอนนี้เขาอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะคำที่นางบอกว่าอีกสามวันจะจากไป
ซูหนี่ปรับอารมณ์แล้วเขาไปในห้องเพื่อพาเด็กแฝดเข้านอน ทั้งคู่ให้นางนอนตรงกลางเพื่อจะได้กอดเขาทั้งสองคนได้ ทุกครั้งหากนางไม่ขึ้นเขาจะนอนกลางวันพร้อมทั้งสองเช่นนี้เสมอ
เด็กทั้งคู่เมื่อฟังนิทานจบได้สองเรื่องก็กอดนางหลับไปแล้ว ยังคงมีเพียงนางที่นอนมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย นางไม่รู้เรื่องในยุคนี้เลย หากออกไปซื้อเรือนแล้วจะขึ้นทะเบียนเรือนเช่นไร นางที่เป็นผู้หญิงอายุสิบเก้าหนาวคนเดียวจะใช้ชีวิตลำพังได้ไหม ร่างนี้พอได้กินของดีขึ้นมาเกือบเดือนก็เริ่มมีเนื้อมีหนัง รูปร่างหน้าตาจึงเหมือนนางจากโลกก่อนอย่างกับคนเดียวกัน
กว่านางจะข่มตาหลับก็เกือบค่อนคืน เช้านางจึงตื่นสายกว่าทุกวัน ซูหนี่รีบเตรียมอาหารเพื่อขึ้นเขาทันที นางพาเด็กทั้งสองล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะ ครั้งนี้จ้าวหนิงหลงรั้งให้นางนั่งกินข้าวด้วยกัน
"ไม่เป็นไร ท่านกินเลย ข้าสายมากแล้วเดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันทำอาหารเย็น"
"ท่านแม่นั่งกินข้าวกับพวกข้าก่อนนะขอรับ" หนิงอันเดินเข้ามาจับมือนาง หนิงเฉิงเห็นเช่นนั้นก็ลึกขึ้นมาดึงนางด้วยอีกคน แต่ที่ซูหนี่ไม่รู้เลยคือ จ้าวหนิงหลงส่งสายตาให้เด็กทั้งสองทำเช่นนี้
"ได้ได้ ประเดี๋ยวแม่ไปยกข้าวในครัวมาก่อน" นางรีบไปยกข้าวมาเพื่อที่จะได้รีบกินรีบขึ้นเขา
เมื่อจ้าวหนิงหลงยกตะเกียบทุกคนก็เริ่มลงมือกิน แต่วันนี้กว่าเขาจะยกตะเกียบขึ้นได้นางก็เริ่มจะนั่งไม่ติดแล้ว นางรีบกินอย่างรวดเร็วจนเกือบจะสำลัก จ้าวหนิงหลงรินน้ำส่งให้ซูหนี่
"ค่อยๆกิน เจ้าไม่อายลูกบ้างหรือไร" เขาช่วยตบหลังนางเบาๆ ซูหนี่เกร็งไปทั้งร่างกายนางหันไปถลึงตาใส่เขา นางก้มหน้ากินต่อ โดยยังไม่ทันเห็นว่าจ้าวหนิงหลงยกยิ้มที่มุมปาก แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
ซูหนี่กินหมดนางก็ลุกขึ้นทันที แต่เฉิงเออร์ดึงมือนางไว้
"ท่านแม่ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่"
"ไม่ได้" นางส่ายหัวทันทีโดยไม่ต้องคิด
"อันตรายเกินไปวันนี้สายเดินไปแล้ว ไว้วันหน้าแม่จะพาเจ้าไปด้วย อยู่บ้านเป็นเด็กดีนะลูก" นางลูบหัวหนิงเฉิงอย่างปลอบใจ หนิงอันเห็นเช่นนั้นจึงยื่นหัวให้นางลูบด้วย
"วันนี้ข้าจะไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดขึ้น
"ไม่ได้ แล้วท่านจะปล่อยให้เด็กอยู่บ้านกันสองคนได้อย่างไร"
"เอาไปด้วย" จ้าวหนิงหลงพูดอย่างหน้าตาย ซูหนี่อยากจะกรีดร้อง วันนี้มันเป็นวันอะไรของนาง
"ข้าไม่ไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยไป ยังไงก็ไม่ทันลงจากเขาก่อนมืดแน่" นางเก็บจานชามเข้าไปล้างในครัวอย่างหัวเสีย
จ้าวหนิงหลงมองตามไปอย่างได้ใจ เขารู้ว่านางต้องไปเจอของดีแน่ ไม่เช่นนั้นนางไม่กระตือรือร้นที่จะขึ้นเขาให้ได้ในวันนี้ ถึงจะสายขนาดนี้แล้วนางยังรั้นที่จะขึ้นให้ได้
ซูหนี่เปลี่ยนความคิด นางจะลองนำถั่งเช่าที่มีไปขายเสียก่อน หากได้ราคาดีค่อยไปขุดมาขายใหม่ หากเอาไปขายครั้งละน้อยๆน่าจะได้ราคาที่ดีกว่า นางจึงเดินไปดูถั่งเช่าที่ตากไว้ แดดดีๆพรุ่งนี้ก็คงจะแห้ง
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
"คุณซูหนี่ คิดยังไงคะที่รับบทบาทนี้" นักข่าวสัมภาษณ์เธอ"ยินดีมากเลยค่ะ ที่คุณหม่า เลือกฉัน ถึงบทจะออกมาได้กี่ตอน แต่ฉันอยากให้ทุกคนได้ติดตามนะคะ ครั้งนี้ฉันร้ายมากเลยค่ะ" เธอสัมภาษณ์ไปหัวเราะยิ้มแย้มไป รอยยิ้มของเธอไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตรึงใจทุกคนได้ชีวิตในวงการของเธอ เธอแสดงมาทุกบทแล้ว แต่ที่ยอมมาเล่นเพียงไม่กี่ตอนในเรื่องนี้เพราะคุณหม่าผู้กำกับมือทองที่ยื่นโอกาสในครั้งแรกให้เธอจนมีทุกวันนี้ เมื่อเขาส่งบทมาให้เธอจึงตอบรับทันที ซูหนี่เป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้าหรือคนดูแลล้วนชื่นชอบเธอทั้งนั้น วันไหนเธอว่างมักจะออกไปเดินที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาทำอาหาร นี่คืออีกอย่างที่เธอทำได้ดีรองลงมาจากการแสดงเธอเรียนจบด้านเชฟมาโดยตรง ตอนแรกเธอเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารของเธอนั้นขายดีจนมีชื่อเสียง ดารา อินฟลูเอนเซอร์ล้วนแล้วแต่เข้ามาถ่ายทำ เธอจึงมักได้ออกหน้าโซเซียลเป็นประจำ จนไปเข้าตาผู้กำกับเม่า เขาเรียกเธอมาลองแสดงให้ดู หลังจากนั้นมาเธอจึงได้รับโอกาสอีกมากมายและวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอมาเลือกซื้อของเพื่อนำกลับไปทำอาหารเอง อีกอย่างเธออยากจะลองเช็คความนิยมจากบทบาทล่าสุดที่เธอได้ร
เธอกอดเข่าก้มหน้าลงร้องไห้อย่างหมดหวัง หากทะลุมิติมาจริงเธอจะใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไร ซูหนี่ไม่รู้เลยว่าการกระทำทุกอย่างของเธออยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งซูหนี่ร้องไห้จนหลับไป เธอตื่นขึ้นอีกครั้งก็ดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน มองผ้าห่มหมอนอย่างนึกรังเกียจ ชีวิตดั่งเจ้าหญิงที่แสนสุขสบายต้องมาอยู่ในห้องนี้เธอได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่เล็กจนโตไปเรียนมีคนรถส่งตลอด มีพี่เลี้ยงดูแลทุกอย่างจนไปเรียนเป็นเชฟก็ไม่เคยลำบาก พอเป็นนักแสดงแม้จะเคยได้รับบทที่ต้องใช้ชีวิตในชนบท ทุกอย่างมีทีมงานจัดฉากขึ้นมาทั้งหมดจึงไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากจริงๆ ต่อให้เข้าร่วมเกมโชว์ก็ไม่ได้เป็นถึงขั้นที่อยู่ในตอนนี้ร่างนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ชื่ออะไร รู้เพียง ร่างกายที่ผอมบาง หากไปยืนที่ลมแรงๆคงจะปลิวไปตามลมเป็นแน่ มือขาวราวหยกแม้ไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นเช่นไรก็คงจะพอดูได้อยู่ มือข้างที่โดนแก้วบาดเมื่อคืนยังเจ็บอยู่ดีที่แผลไม่ลึกนัก ทำให้เธอรู้อีกอย่างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริง"นางตายหรือยังท่านพ่อ" เสียงเด็กถามแบบนี้อีกแล้วหรือคนพวกนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตนางไว้"นางยังไม่ตาย" "ถ้า ถ้าเช่นนั้น นางจะตีพวกข้าหร
ระหว่างทางไปริมแม่น้ำนางพบต้นตั๊กแตนผึ้งจีน ฝักของมันใช้ซักผ้าได้ นางรู้มาจากการไปถ่ายรายการหนึ่งในชนบท นางเด็กฝักแห้งติดมือมาหลายฝัก ชาวบ้านมาซักผ้าริมแม่น้ำกันหลายคน นางเพียงแค่ยิ้มตอบเมื่อคนเหล่านั้นมองมาที่นางซูหนี่นำฝักจ้าวเจียวมาทุบแล้วลอกออกให้เหลือแต่ด้านในสีขาว นำมาขยี้กับผ้า นางซักอยู่หลายรอบเมื่อดมจนหมดกลิ่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ชาวบ้านมองนางแล้วกระซิบกระซาบกัน ซูหนี่ไม่มีเวลาที่จะสนใจ หากนางมาอยู่ในร่างของซูหนี่นางร้ายจริงก็คงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นนางยิ้มแล้วตกใจซูหนี่กลับมาถึงนางก็จากผ้าจนเสร็จแล้วเริ่มทำความสะอาดในบ้าน เจ้าของร่างเดิมคงไม่เคยทำอะไรเลยในบ้านจึงสกปรกและรกไปหมด ในครัวนางก็ล้างและขัดหม้อใหม่ทั้งหมด นางอยากต้มน้ำเพื่อล้างจานแต่นางจุดไฟไม่เป็น เด็กทั้งสองมองการกระทำของนางอยู่ตลอด ถึงจะอายุแค่สามขวบพวกเขาก็รู้เรื่องมากนัก"จุดไฟเป็นหรือไม่" อาจจะดูแปลกที่ถามเด็กสามขวบว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ แต่เพราะนางทำไม่เป็นไง นางจึงต้องถามไปก่อน คนพี่เดินมาส่งตะบันไฟให้นาง "ใช้เช่นไร" นางเกาจมูกอย่างเขินอาย แต่ก่อนที่เด็กชายจะตอบนางก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น"เจ้าจะทำอันใด" เขาดึงเด็กท
เมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่นางก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่นั่งบีบมืออย่างรอคอยคำตอบ "ความหมายของเจ้าคือ ต้องการจะหย่าใช่หรือไม่" เสียงของเขาทำให้คนหวาดกลัวจนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว"เป็นเช่นนั้น แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย หากท่านไม่วางใจจะเขียนหนังสือหย่าไว้เลยก็ย่อมได้" นางมองเขาอย่างคาดหวัง หากเขาเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกไปเลย นางจะไปอยู่ที่ไหน นางยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออก"ได้ หากเจ้าอยากอยู่ก็ต้องทำตัวให้ดี หากเจ้าทุบตีเฉิงเออร์กับอันเออร์อีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย" นางรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่แต่เขาสามารถลงมือฆ่านางได้จริงๆ"ได้ ข้าจะทำดีกับเด็กทั้งสองคน" นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนี้ค่อยคิดเรื่องหาเงินต่อ"เช่นนั้นท่านจะเขียนหนังสือหย่าเลยหรือไม่" หากนางมีเงินมากพอเมื่อมีหนังสือหย่าอยู่ในมือนางจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "ได้" เขาลุกขึ้นหายไปไม่นานก็กับมาพร้อมกระดาษสองแผ่น จ้าวหนิงหลงส่งหนังสือหย่าให้นาง เขาลงชื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองใบ นางก้มหน้าลงอ่าน เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกันเด็กทั้งสองจะอยู่กับจ้าวหนิงหลงและนางไม่สามารถกลับมายุ่งกับพวกเขาสามคนได้อีก เมื่อเห็นไ
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื
เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนางหนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็วหากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้
ซูหนี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำ หัวเล็กๆสองหัวก็โผล่ออกมาจากประตูห้องครัว "หิวหรือไม่ มาสิข้าต้มปลาใส่หัวมันไว้มากินเร็ว" ซูหนี่ตักน้ำแกงที่มีเนื้อปลากับหัวมันจนเต็มถ้วยส่งให้เด็กทั้งสองคนละถ้วย"กินเองได้หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำก่อน" ทั้งสองนั่งลงพร้อมตักน้ำแกงเข้าปาก อาจจะเป็นเพราะได้ลิ้มรสฝีมือของซูหนี่สองมื้อแล้วให้พวกเขาไม่ปฏิเสธเมื่อนางตักให้กิน ทั้งสองบอกกินเองได้นางจึงไปอาบน้ำ เมื่อนางออกมาเด็กทั้งสองกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว นางตักน้ำเย็นผสมน้ำร้อนให้พวกเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขากลับไปที่หน้าห้องนอนของจ้าวหนิงหลง เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องเป็นเสียงของเด็กน้อยทั้งสองแย่งกันเล่าที่พวกตนได้กินน้ำแกงปลาที่แสนอร่อยซูหนี่เมื่อเช็ดผมจนแห้งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเปิดเข้ามาในห้องนอนของตน จ้าวหนิงหลงยืนมองนางที่ประตูห้อง ห้องของนางสะอาดเก็บของอย่างเป็นระเบียน เครื่องนอนก็ดูสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นอับดังเช่นที่ผ่านมา ซูหนี่ที่มีลมพัดเข้ามาในห้องนางก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว ตอนแรกจ้าวหนิงหลงก็ตกใจคิดว่านางจะตื่นแต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดเมื่อเห็นเช่นนั
เมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่นางก็ไม่กล้าจะพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่นั่งบีบมืออย่างรอคอยคำตอบ "ความหมายของเจ้าคือ ต้องการจะหย่าใช่หรือไม่" เสียงของเขาทำให้คนหวาดกลัวจนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว"เป็นเช่นนั้น แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย หากท่านไม่วางใจจะเขียนหนังสือหย่าไว้เลยก็ย่อมได้" นางมองเขาอย่างคาดหวัง หากเขาเขียนหนังสือหย่าแล้วไล่นางออกไปเลย นางจะไปอยู่ที่ไหน นางยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออก"ได้ หากเจ้าอยากอยู่ก็ต้องทำตัวให้ดี หากเจ้าทุบตีเฉิงเออร์กับอันเออร์อีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย" นางรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่แต่เขาสามารถลงมือฆ่านางได้จริงๆ"ได้ ข้าจะทำดีกับเด็กทั้งสองคน" นางถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนี้ค่อยคิดเรื่องหาเงินต่อ"เช่นนั้นท่านจะเขียนหนังสือหย่าเลยหรือไม่" หากนางมีเงินมากพอเมื่อมีหนังสือหย่าอยู่ในมือนางจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "ได้" เขาลุกขึ้นหายไปไม่นานก็กับมาพร้อมกระดาษสองแผ่น จ้าวหนิงหลงส่งหนังสือหย่าให้นาง เขาลงชื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองใบ นางก้มหน้าลงอ่าน เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกันเด็กทั้งสองจะอยู่กับจ้าวหนิงหลงและนางไม่สามารถกลับมายุ่งกับพวกเขาสามคนได้อีก เมื่อเห็นไ
ระหว่างทางไปริมแม่น้ำนางพบต้นตั๊กแตนผึ้งจีน ฝักของมันใช้ซักผ้าได้ นางรู้มาจากการไปถ่ายรายการหนึ่งในชนบท นางเด็กฝักแห้งติดมือมาหลายฝัก ชาวบ้านมาซักผ้าริมแม่น้ำกันหลายคน นางเพียงแค่ยิ้มตอบเมื่อคนเหล่านั้นมองมาที่นางซูหนี่นำฝักจ้าวเจียวมาทุบแล้วลอกออกให้เหลือแต่ด้านในสีขาว นำมาขยี้กับผ้า นางซักอยู่หลายรอบเมื่อดมจนหมดกลิ่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ชาวบ้านมองนางแล้วกระซิบกระซาบกัน ซูหนี่ไม่มีเวลาที่จะสนใจ หากนางมาอยู่ในร่างของซูหนี่นางร้ายจริงก็คงไม่แปลกหากพวกเขาจะเห็นนางยิ้มแล้วตกใจซูหนี่กลับมาถึงนางก็จากผ้าจนเสร็จแล้วเริ่มทำความสะอาดในบ้าน เจ้าของร่างเดิมคงไม่เคยทำอะไรเลยในบ้านจึงสกปรกและรกไปหมด ในครัวนางก็ล้างและขัดหม้อใหม่ทั้งหมด นางอยากต้มน้ำเพื่อล้างจานแต่นางจุดไฟไม่เป็น เด็กทั้งสองมองการกระทำของนางอยู่ตลอด ถึงจะอายุแค่สามขวบพวกเขาก็รู้เรื่องมากนัก"จุดไฟเป็นหรือไม่" อาจจะดูแปลกที่ถามเด็กสามขวบว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ แต่เพราะนางทำไม่เป็นไง นางจึงต้องถามไปก่อน คนพี่เดินมาส่งตะบันไฟให้นาง "ใช้เช่นไร" นางเกาจมูกอย่างเขินอาย แต่ก่อนที่เด็กชายจะตอบนางก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น"เจ้าจะทำอันใด" เขาดึงเด็กท