ซูหนี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำ หัวเล็กๆสองหัวก็โผล่ออกมาจากประตูห้องครัว
"หิวหรือไม่ มาสิข้าต้มปลาใส่หัวมันไว้มากินเร็ว" ซูหนี่ตักน้ำแกงที่มีเนื้อปลากับหัวมันจนเต็มถ้วยส่งให้เด็กทั้งสองคนละถ้วย
"กินเองได้หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำก่อน" ทั้งสองนั่งลงพร้อมตักน้ำแกงเข้าปาก อาจจะเป็นเพราะได้ลิ้มรสฝีมือของซูหนี่สองมื้อแล้วให้พวกเขาไม่ปฏิเสธเมื่อนางตักให้กิน ทั้งสองบอกกินเองได้นางจึงไปอาบน้ำ
เมื่อนางออกมาเด็กทั้งสองกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว นางตักน้ำเย็นผสมน้ำร้อนให้พวกเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วส่งเขากลับไปที่หน้าห้องนอนของจ้าวหนิงหลง เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องเป็นเสียงของเด็กน้อยทั้งสองแย่งกันเล่าที่พวกตนได้กินน้ำแกงปลาที่แสนอร่อย
ซูหนี่เมื่อเช็ดผมจนแห้งแล้วนางก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเปิดเข้ามาในห้องนอนของตน จ้าวหนิงหลงยืนมองนางที่ประตูห้อง ห้องของนางสะอาดเก็บของอย่างเป็นระเบียน เครื่องนอนก็ดูสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็นอับดังเช่นที่ผ่านมา ซูหนี่ที่มีลมพัดเข้ามาในห้องนางก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว ตอนแรกจ้าวหนิงหลงก็ตกใจคิดว่านางจะตื่นแต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด
เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้าวหนิงหลงก็ปิดประตูแล้วออกไป ซูหนี่ยังคงขึ้นเขาอยู่ทุกวันนอกจากของที่ได้เช่นเดิมนางก็ยังไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ติดมือกลับมา วันนี้วันที่สามแล้วที่นางขึ้นเขาหลังจากที่ทำอาหารไว้ให้ทุกคนเช่นเดิม นางจะกลับลงมาอีกทีก็เมื่อต้องทำมื้อเย็น
ตอนนี้เด็กๆเริ่มที่จะยืนรอนางหน้าบ้านแล้ว เมื่อเห็นนางกลับมาก็จะเข้ามาช่วยถือของแล้วนั่งรอนางทำอาหารเย็นให้กิน เมื่อนางตั้งโต๊ะให้ทั้งสามแล้วนางยังคงหลบออกมากินในห้องครัวเช่นเดิม แม้เด็กๆจะให้นางนั่งกินด้วยกัน แต่ใครใช้ให้คนพ่อทำหน้าตาเช่นนั้น แล้วนางจะกินลงได้อย่างไง กินในครัวเช่นเดิมสบายใจกว่า
เมื่อเก็บของล้างจานแล้วนางก็จับเด็กๆอาบน้ำแปรงฟัน ตัวนางจึงจะไปอาบเป็นคนสุดท้าย ถึงแม้นางกับจ้าวหนิงหลงจะไม่ได้คุยกันแต่ทุกอย่างนางยังคงทำเช่นเคยน้ำก็ต้มเพื่อเขาเช่นกันเพียงแต่นางไม่ยกไปให้ก็เท่านั้น รับปากเพียงแค่จะดูบุตรให้เท่านั้นคงไม่ต้องถึงกับต้องดูแลตัวพ่อไปด้วย
วันนี้นางไม่ขึ้นเขาเพราะจะอยู่เก็บบ้าน แล้วซักผ้า ซักผ้าห่ม นางก็นำไปซักที่ริมแม่น้ำเช่นเดิมแต่เพียงตอนนี้เด็กทั้งสองตามไปเล่นใกล้ๆด้วย ชาวบ้านล้วนแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็นบางคนคิดว่านางเปลี่ยนนิสัย แต่บางคนก็คิดว่านางเสแสร้งคงทำเช่นนี้ได้อีกไม่นาน เรื่องเสื้อผ้าของจ้าวหนิงหลงครั้งนี้นางนำมาซักด้วย คิดซะว่าอาศัยเขาอยู่ช่วยเขาทำงานบ้านซักผ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน
เมื่อนางกลับถึงบ้านก็เห็นลี่อินนั่งคุยกับจ้าวหนิงหลงตรงแคร่ใต้ต้นไม้ นางเดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่สนใจ ลี่อินรีบหลบไปยืนด้านหลังจ้าวหนิงหลงทันทีคงกลัวว่านางจะพุ่งเข้าไปตบ สตรีที่ดีที่ไหนจะเข้ามาหาสามีชาวบ้านตอนภรรยาเขาไม่อยู่ นางสะดุ้งกับความคิดของตนเอง นางคงลืมไปว่าร่างนี่ไปแย่งของเขามา
จ้าวหนิงหลงมองตามไปเขาคิดว่าซูหนี่จะเข้ามาด่าทอหรือตบตีกับลี่อินเช่นเคยแต่นางไม่แม้แต่จะมองเขาทั้งสองคนเลย นางยังคงทำงานของตนเองคุยหัวเราะกับบุตรชายทั้งสอง เวลาที่นางหัวเราะจะปรากฏลักยิ้มสองข้างอย่างน่ามอง
ที่วันนี้เขาปล่อยให้ลี่อินเข้ามาเพราะเขาอยากรู้ว่าเรื่องที่นางจะไปจากเขาแล้วยอมหย่าง่ายๆ เป็นเพราะนางแสร้ง ปล่อยเพื่อจับหรือเปล่า แต่ที่เขาดูนางไม่แม้แต่จะสนใจคงอยากจะไปจากเขาจริงๆ เขาควรจะดีใจที่สลัดนางออกไปจากชีวิตได้ แต่ทำไมเขาต้องหงุดหงิดเช่นนี้ก็ไม่รู้
"พี่หลง พี่หลงเจ้าค่ะ" ลี่อินเรียกจ้าวหนิงหลงเสียงดัง
"เจ้ากลับไปได้แล้ว ออกมาเช่นนี้ชาวบ้านจะนินทาได้" ลี่อินรู้ว่าตั้งแต่เขาแต่งงานก็ไม่พบนางอีกเลย แม้นางจะมาหาแต่เขาก็จะคุยที่หน้าประตูเท่านั้น
นางไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้เขาจะให้นางเข้ามาในบ้าน เมื่อซูหนี่กลับมาเขายังพูดคุยกับนางอย่างสนิทสนมเช่นเคย แล้วตอนนี้เขาไล่นางให้กลับไป ลี่อินน้ำตาคลอจ้องมองหนิงหลงอย่างน่าสงสาร
นางมาพบเขาเพื่อขอให้เขาเลิกกับซูหนี่แล้วแต่งกับนางแทน เพราะมารดาของนางเริ่มจะรำคาญที่ชาวบ้านนินทาว่านางมายุ่งกับสามีชาวบ้าน มารดาของนางจึงหาลูกคหบดีที่อยู่ในเมืองให้นางแต่งออกไป
"พี่หลงท่านยังไม่ได้รับปากข้าเลยนะเจ้าค่ะ" ลี่อินน้ำตาไหล นางรักเขา นางไม่อยากแต่งกับคนอื่น ถึงเขาจะไม่ร่ำรวยแต่งมาต้องลำบากแต่หากปีนี้เขาสอบได้นางก็มีสิทธิ์ได้เป็นฮูหยินท่านใต้เท้าแน่นอน
"เจ้ากลับไปเสียแล้วไม่ต้องมาแล้ว ข้าแต่งงานแล้วมิ หากเจ้าทำเช่นนี้เจ้าจะเสียหายได้" เขาถอนหายใจ มองหญิงสาวที่เคยคิดจะแต่งงานด้วยอย่างสงสาร เพราะตอนนี้เขาเสียท่านย่าไปก็มีเพียงลี่อินที่ทำดีกับเขา เขาจึงคิดจะแต่งนางเพื่อดูแลนางบ้าง
ตอนนี้นางจะได้หมั้นหมายกับคุณชายเจียงแล้ว นางควรจะมีชีวิตที่ดี ด้วยหน้าตาของนางเมื่อคุณชายเจียงเห็นก็พึงใจทันที การหมั้นหมายครั้งนี้จึงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ลี่อินที่ได้ยินจ้าวหนิงหลงเอ่ยปากไล่อีกครั้งนางก็วิ่งร้องไห้ออกจากบ้านไป หากแต่งให้คุณชายเจียงถึงจะได้เป็นถึงภรรยาเอกแต่อนุและสาวใช้ข้างห้องที่คุณชายเจียงมีอยู่แล้วทำให้นางไม่อยากแต่งเข้าไป
ซูหนี่มองตามร่างของลี่อินไปอย่างไม่เข้าใจตอนแรกก็คุยหัวเราะกันอยู่ดีๆ แล้วนางร้องไห้วิ่งออกไปได้อย่างไร นางเลิกสนใจแล้วเดินเข้าครัวเพื่อทำมื้อเที่ยงให้เด็กๆ ช่วงนี้ยังคงเป็นปลาเช่นเคย นอกจากน้ำแกงปลาแล้ว นางยังนำหน่อไม้มาต้มให้หายขมแล้วหั่นให้เป็นเส้นผัดกับไข่อีกด้วย
จ้าวหนิงหลงซื้อข้าวสารกับแป้งมาเก็บไว้ให้นางจึงได้หุงข้าวสวยในวันนี้ ทั้งสามกินข้าวกันได้เยอะขึ้นนางจึงทำมากขึ้นในแต่ละมื้อ ต่อให้ทำมากแค่ไหนทั้งสามก็กินหมด นางยังคงตักเก็บไว้ในครัวถ้วยเดียวเช่นเคย ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้นางก็กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่กลัวน้ำหนักจะขึ้นจึงควบคุมอาหารการกินในทุกมื้อ
เมื่อเด็กทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว นางพาล้างหน้าบ้วนปากแล้วให้พวกเขามานอนกลางวันในห้องของนาง เด็กทั้งสองดีใจอย่างมากที่จะได้นอนกับนางหนิงเฉิงไม่ค่อยพูดเช่นเดียวกับบิดา แต่เขาก็แสดงออกให้นางเห็นว่าเขาพอใจที่นางทำให้เขาทุกอย่าง หนิงอันเป็นเด็กร่าเริงเขามักจะชวนนางพูดคุยทั้งยังออดอ้อนนางจนนางใจอ่อนยวบ นางนึกไปออกเลยหากวันใดที่นางต้องจากพวกเขาไปนางจะเสียใจแค่ไหน อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่คือสายเลือดของร่างนี้จึงทำให้ทั้งสามคนผูกพันกันอย่างรวดเร็วหากถึงวันนั้นจริงนางจะขอจ้าวหนิงหลงเพื่อดูแลเด็กทั้งสองคน เพราะเขาต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงอีก ยังไงเขาก็คือพระเอกของเรื่องเขาต้องสอบได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขาได้เป็นเสนาบดีนางก็ยินดีที่จะส่งเด็กทั้งสองกลับคืนเขาไป แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลารอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันระหว่างที่หนิงเฉิงกับหนิงอันนอนกลางวันนางก็ออกมาทำความสะอาดรอบบ้าน กว่าจะเสร็จก็ต้องทำอาหารเย็นพอดี เด็กๆตื่นมานางก็พามาล้างหน้าแล้วให้นั่งเล่นรอนางทำอาหารเย็น อาหารเย็นก็เหมือนกับอาหารกลางวันเพียงแต่เพิ่มไข่ตุ๋นให้เด็กทั้งสองเท่านั้น เมื่อมองอาหารพรุ่งนี้นางต้องขึ้นเขาอีกแล้ว ครั้งนี้
ซูหนี่กินข้าวเสร็จนางก็นำถั่งเช่าออกมาล้างน้ำจนสะอาดแล้วตากให้แห้ง พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขาไปเก็บอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าในยุคนี้จะหายากเพียงใด ที่ยุคที่นางจากมาราคาถือว่าแพงเช่นเดียวกับโสมและเห็ดหลินจือ หรืออาจมีราคามากกว่าด้วยเพราะโสมกับเห็ดหลินจือในยุคที่พัฒนาแล้วสามารถเพาะปลูกได้แต่ถั่งเช่าต่างกัน เพราะถั่งเช่าเกิดจากหนอนผีเสื้อที่จำศีลอยู่ใต้หิมะอาศัยกินสปอร์จากเห็ด จนเกิดเส้นใยงอกออกมาจากท้อง เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เห็ดก็จะงอกออกมาลักษณะคล้ายกิ่งไม้ ส่วนตัวหนอนก็จะค่อยๆแห้งตายไป จึงหาได้ยากกว่าโสมและเห็ดหลินจือ คงทำได้แต่เพียงนำไปให้โรงหมอประเมินราคาเท่านั้น ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเงินในมือเลย เพราะตอนนี้นางจะขยับตัวหรือออกไปสำรวจในตัวเมืองก็ยังทำไม่ได้เลย ค่าเข้าเมืองก็ต้องเสีย หากไม่นั่งเกวียนก็ต้องเดินเท้าเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)หมู่บ้านที่นางอยู่ในตอนนี้คือถงเหอ ห่างจากเมืองเซียงซาน สามสิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าคงใช้เวลาสองชั่วยาม นั่งเกวียนก็เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ค่าเกวียนเข้าเมืองก็คนละสองอิแปะ ต้องเสียค่าเข้าเมืองอีกสองอิแปะ เงินทั้งนั้นที่ต้องใช้เมื
เมื่อไม่ได้ขึ้นเขา แล้วงานที่ทำก็เสร็จหมดแล้ว ซูหนี่มานั่งเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ หากมีเก้าอี้โยกสักตัว นิยายสักเล่ม ก็คงจะดี เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งขุดดิน เล่นไปเรื่อยเปื่อย นางก็ปล่อยให้เขาเล่นกันไปแล้วก็เดินเข้าครัวไปเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเขาก่อนหน้านี้เด็กๆ จะได้กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น แต่ก็เฉพาะที่จ้าวหนิงหลงจะอยู่บ้าน หากเขาออกไปตั้งโต๊ะเขียนจดหมาย ซูหนี่คนเดิมแทบจะไม่หาอะไรให้เด็กๆกินเลย ทั้งๆที่เป็นลูกที่นางคลอดออกมา แต่นางคิดว่าจ้าวหนิงหลงต้องการแค่ลูกไม่ต้องการนาง นางจึงไม่สนใจเด็กทั้งสอง อาหารเที่ยงวันนี้ยังคงเป็นปลาทอด ซุปเห็ด ไข่ตุ๋น ข้าวสวยร้อนๆ ทั้งสามกินกันจนแทบจะลุกไม่ขึ้น เมื่อจ้าวหนิงหลงเห็นซูหนี่กินเพียงถ้วยเดียวก็อิ่ม เขามองหน้าหนิงเฉิงทันที บุตรชายก็ช่างรู้ความ"ท่านแม่กินน้อยเกินไปหรือไม่ขอรับ" ซูหนี่เลิกคิ้วขึ้น นางก็กินเท่าปกติทุกวัน แต่นางกินคนเดียวในห้องครัว บุตรชายสามขวบก็ช่างสังเกตเสียจริง"แม่อิ่มแล้ว เฉิงเออร์กับอันเออร์กินเยอะๆนะลูก จะได้โตเร็วๆ" ซูหนี่ยื่นมือใบลูบหัวเด็กทั้งสอง อันเออร์ที่ขี้อ้อนก็ดึงมือนางมาถูที่ข้างแก้มของตน นางเลยหอ
ซูหนี่ตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่างนางรับล้างหน้าแปรงฟันเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ทุกคนแล้วสะพายตะกร้าขึ้นเขาไป นางกำลังจะเดินออกจากประตูบ้านอยู่แล้วแต่ จ้าวหนิงหลงกับเด็กแฝดทั้งสองก็โผล่หน้าออกมาจากเรือนทันที"ทะ ท่าน ทำให้ข้าตกใจหมด" นางยกมือขึ้นลูบหน้าอก"แล้วทำไมถึงได้ตื่นเช้ากันเช่นนี้ เฉิงเออร์ อันเออร์ไปนอนต่อเถิดลูก" ซูหนี่เดินเข้าไปจูงมือเด็กน้อยจะพาเขากลับขึ้นเตียงนอน"ท่านแม่พวกข้าจะไปกับท่าน" หนิงเฉิงพูดขึ้น หนิงอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแม้เขาจะง่วงนอนแต่จะไม่ยอมเด็ดขาดวันนี้ต้องได้ไปกับท่านแม่"ใช่ พวกข้าจะไปด้วย" เมื่อจ้าวหนิงหลงพูดจบ ซูหนี่ก็หันไปถลึงตาใส่เขา"ท่านจะพาลูกไปทรมานเพื่อเหตุใด ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว" จ้าวหนิงหลงเดินเข้ามาดึงตะกร้าไปจากนางแล้วอุ้มเฉิงเออร์ขึ้นเดินออกไป"เดี๋ยวก่อน ข้าจะเตรียมอาหารไปด้วย" ซูหนี่รีบวิ่งเข้าไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเตรียมขึ้นเขา หนิงหลงเห็นว่านางต้องอุ้มหนิงอันด้วยเขาจึงนำอาหารไปใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังซูหนี่ถอนหายใจอย่างปลงตก นางอุ้มอันเออร์ขึ้นแนบอกให้เขาได้นอนต่ออีกหน่อย ทั้งสี่คนมุ่งหน้าขึ้นเขา โดยช่วงแรกเป็นหนิงหลงที่เดินนำ พอถึงทางแย
ซูหนี่กลับมาถึงก็จัดการทำอาหารทันที นางทำไก่ย่างสองตัวกับน้ำแกงไข่ให้เด็กแฝดทั้งสองด้วย เมื่อทั้งสี่กินกันจนอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าลงเขาทันทีระหว่างทางยังแวะเก็บผลไม้อีกด้วย เพราะครั้งที่แล้วนางเก็บไปฝากเด็กทั้งสองเพียงไม่นานผลไม้ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้องของเด็กแฝดแถมยังมาออดอ้อนให้นางะามาเก็บอีกด้วย ครั้งนี้จึงเก็บกลับไปมากหน่อยเมื่อถึงบ้านซูหนี่ยังมีเวลาเหลือที่จะจัดการกับถั่งเช่าก่อนที่จะทำอาหารเย็น นางล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแดด หนิงเฉิงกับหนิงอันจะเรียกว่าช่วยก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะตอนนี้ทั้งคู่เสื้อผ้าเปียกปอนกันเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซูหนี่อยากจะห้ามแต่เห็นแววตาที่มองมาก็กลืนคำพูดลงคอไป กว่าที่นางจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แล้วจับเด็กน้อยอาบน้ำเข้านอน นางก็แทบจะหมดแรงเสียแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้าเข้าเมืองอีก ซูหนี่หัวถึงหมอนนางก็หลับทันทีเช้านี้นางยังคงทำเช่นเหมือนเช่นเคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน ซูหนี่ลองค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเงินที่ร่างเดิมเก็บไว้ หากจะให้นางไปขอค่าเข้าเมืองจากจ้าวหนิงหลงนางก็ไม่กล้า ในตู้เสื้อผ้ามีถุงเงินซ่อนอยู่ นับดูก็พบว
จ้าวหนิงหลงนำตำราไปส่งที่ร้านก่อน ซูหนี่กับเด็กทั้งสองรออยู่ด้านนอกเพียงไม่นานเขาก็กลับออกมา พร้อมกับตำราชุดใหม่ที่จะต้องนำกลับไปคัด ซูหนี่มองจ้าวหนิงหลงอย่างเห็นใจ เขาต้องคัดตำราเพื่อหาค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่าเดินทางที่ต้องไปสอบ แล้วยังต้องทบทวนตำราที่จะต้องไปสอบด้วย หากให้นางลองเป็นตัวละครจ้าวหนิงหลงก็คงอยากจะฆ่าซูหนี่คนเดิมให้ตายเหมือนกัน เพราะนางไม่ทำงานก็แล้วไป ไม่ดูแลลูกแล้วยังจะทุบตีเด็กทั้งสอง ไหนจะวางแผนจับบัณฑิตคนอื่นอีก จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่เดินไปที่โรงหมอจือชาง เพราะเขาซื้อยาให้ท่านย่าของเขาเป็นประจำจนคุ้นเคยกับท่านหมอที่นั่นเป็นอย่างดี ระหว่างที่จ้าวหนิงหลงกำลังออกจากร้านตำรา กลุ่มบัณฑิตสามคนก็เดินมาที่ร้านตำรา"หนิงหลง สบายดีหรือไม่" บัณฑิตหนุ่มในชุดสีฟ้า ชุดที่เขาสวมใส่ล้วนเป็นผ้าไหมเนื้อดี"ข้าสบายดี" ซูหนี่สังเกตเห็นว่าจ้าวหนิงหลงมิค่อยอยากจะพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่นางกับเด็กๆเขาก็ไม่แนะนำให้รู้จัก"พวกข้ามาหาซื้อตำราอ่านเพิ่ม แล้วเจ้าเล่าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว" บัณฑิตหนุ่มท่าทางหยิ่งยะโส เอ่ยถามเหมือนอยากจะถากถางจ้าวหนิงหลงเสียมากกว่าทั้งสามคนล้วนแสดงท่าทีเหมือนถือต
เมื่อมีเงินในมือก็ต้องใช้ ทนอดมาได้หลายวัน วันนี้ขอซื้อของให้เต็มที่แล้วกัน ซูหนี่ก็ซื้อทุกอย่างเต็มที่อย่างที่ใจนางนึกจริงๆ ข้าวสาร แป้งขาว ธัญพืช เกลือ น้ำตาล เครื่องปรุงที่ในร้านมีนางซื้ออย่างละชั่ง เนื้อหมู กระดูกหมู เนื้อสามชั้น ผัก ผักดอง ฯลฯ คือนางซื้อเยอะมากจริงๆ ตอนแรกนางจะให้หนิงหลงพาเด็กๆไปนั่งรอที่โรงน้ำชา ทั้งคนโตและเด็กต่างไม่ยอม นางสงสารที่เด็กแฝดต้องเดินเยอะขนาดนี้จึงพาไปซื้อเสื้อผ้าเป็นอย่างสุดท้าย นางเลือกร้านธรรมดาเพราะร้านใหญ่ๆให้การต้อนรับที่ไม่ดี นางไม่อยากจะให้เด็กแฝดโดนขับไล่ออกจากร้านเพราะจะเกิดภาพจำที่ไม่ดีกับเด็กเล็ก ทั้งสี่ได้เสื้อผ้ากันคนละห้าชุด รองเท้าสองคู่ ผ้าห่มอีกสี่ผืน ตอนแรกจ้าวหนิงหลงจะไม่ยอมให้นางซื้อให้เพราะนางให้เงินเขามาแล้ว แต่นางคิดว่าซื้อให้ทุกคนจะไม่ซื้อให้เขาคนเดียวก็ดูจะใจดำเกินไป อีกอย่างหากวันใดที่นางจากไปแล้วเขาเกิดคิดแค้นเรื่องเก่าที่ร่างนี้ทำไว้ก็ยังมีเรื่องดีให้ได้นึกถึงจะได้ไม่ต้องตามฆ่านางจ้าวหนิงหลงต้องไปจ้างรถม้าเพื่อขนของกลับหมู่บ้าน ระหว่างที่รอรถม้าไปรับของซูหนี่ก็ชวนทุกคนไม่หาข้าวกลางวันกิน"เฉิงเออร์ อันเออร์พวกเจ้าอย
ซูหนี่เข้าไปอยู่ในห้องกับเด็กๆ เมื่อนางคิดได้แล้วก็นำของที่ซื้อออกมาจัดการ แยกเสื้อผ้ากับผ้าห่มของทุกคนออกแล้วเก็บส่วนของตนเองเรียบร้อย นางก็นำของไปให้จ้าวหนิงหลง เขายังคงนั่งคัดตำราที่ริมหน้าต่างในห้องเช่นที่ทำอยู่ทุกวัน นิ้วเรียวยาวที่จับพู่กันเขียนลงในตำรา กลิ่นน้ำหมึกที่อบอวลอยู่ภายในห้อง แสงแดดที่ส่องตกกระทบบนใบหน้า แม้นางจะเคยแสดงร่วมกับพระเอกระดับแนวหน้ามาหลายคนแต่ก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าเขามีใบหน้าที่ชวนให้หลงใหลจริงๆ นางเสียดายแทนเจ้าของร่างเดิมเสียจริง ได้ของดีมาแล้วแต่ไม่ดูแลให้ดีจนกลายเป็นว่าตนเองต้องตายด้วยมือของเขา แต่มือเรียวที่ดูดีคู่นั้นจะสามารถฆ่าคนได้จริงหรือ นางถอนหายใจแล้วเคาะประตู"ข้านำของที่ซื้อมาให้ ท่านจะเก็บเองหรือให้ข้าช่วย" "เจ้าทำได้เลย" นางพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดที่จะทำให้จริงเสียหน่อย เขาพูดโดยที่ไม่ได้ละสายตาหรือหยุดเขียนเลย แต่เขาก็ทำเช่นนี้กับนางตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ในร่างนี้แล้วซูหนี่เดินเข้าไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่เตียงของเขา เก็บเสื้อผ้าใส่ในตู้ให้ ทุกการกระทำของนางพยายามที่จะไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขาเกินไป แต่ที่นางไม่รู้คือ จ้าวหนิงหลงไม่ได้คัดตำราแล้
องค์รัชทายาทจ้องมองจ้าวหนิงหลงอย่างขอร้อง จ้าวหนิงหลงถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขารู้เรื่องเจ้าเมืองหานกับสิ่งที่บุตรสาวของเขาทำแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าองค์รัชทายาทจะทำอย่างไร แต่เรื่องที่บุตรสาวของตนเสียใจเป็นเรื่องจริง บิดาอย่างเขาทนเห็นไม่ได้เขาเลี้ยงนางมาแทบจะอมไว้ในปาก หากนางต้องเจ็บปวดเช่นนี้เขายอมให้นางแต่งออกไปกับคนธรรมดาเสียดีกว่าองค์รัชทายาทที่ได้รู้เจียวเจียวอยู่ที่ใดก็ไม่รั้งรออีก เขารีบออกจากวังไปพบนางทันที "เจ้ารอรับราชโองการได้เลยหนิงหลง ครั้งนี้เจิ้นยังยอมให้อวี่เออร์ไม่แต่งอนุเข้าตำหนัก เจ้าก็คงต้องยอมถอยก้าวหนึ่งได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จ้าวหนิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์ซูหนี่กับซูฉีมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม สุดท้ายก็ต้องยินยอมเช่นนี้ แล้วตาเฒ่าของตนจะดื้อด้านตั้งแต่แรกกันทำไมเซี่ยเฟยอวี่ที่ควบม้าเร็วโดยไม่หยุดพักตลอดสองชั่วยามก็มาถึงเรือนพักอากาศของตระกูลจ้าว เขาให้คนไปแจ้งจ้าวเหว่ยว่าบิดาเขาเรียกตัวกลับด่วน เพราะที่จวนเกิดปัญหา ส่วนตัวเขาได้รับอนุญาตให้มาแก้ไขเรื่องที่ซูเจียวเข้าใจผิดจ้าวเหว่ยแม้ไม่อยากจะเชื่อเซี่ยเฟยอวี่แต่ก็จับผิดเขาไม่ได้จึงรีบกลับจวน
เวลาสามปีที่ผ่านมา เซี่ยเฟยอวี่ส่งจดหมายมาไม่ได้ขาด จ้าวซูเจียวตอนนี้เป็นสาวสะพรั่ง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความสนใจ จนหลังๆนางเบื่อสายตาที่แทะโลมของบุรุษกักขฬะที่ไม่กลัวบิดาของนางควักลูกตาทั้งหลาย จึงเลือกที่จะอยู่ในจวนหรือไม่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักองค์หญิงฟางเซียนที่ตอนนี้แต่งราชบุตรเขยจนมีท่านชายน้อยแล้ว"เจ้ารู้หรือยังว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเมืองหลวงแล้ว" ฟางเซียนกล่าวกับซูเจียวที่หยอกล้อบุตรของตนอยู่ นางพยักหน้ารับรู้แต่มิได้พูดสิ่งใด เซี่ยเฟยอวี่ส่งข่าวให้นาง ตอนนี้เขาคงจะถึงกลางทางแล้ว แต่เรื่องคืนนั้นที่เขาลอบเข้ามาพบนางไม่มีใครรู้ และเรื่องที่นางติดต่อกับเขาก็มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้เท่านั้น นางจึงไม่พูดออกไปวันที่เซี่ยเฟยอวี่เสด็จกลับถึงเมืองหลวง นางไม่ได้ไปรอรับเขา แต่ข่าวลือที่องค์รัชทายาทพาสตรีแดนเหนือกลับมาด้วยเรื่องนี้นางย่อมได้ยิน จ้าวหนิงหลงแทงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่เขาอยากจะเข้าไปพังตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ก็ทำมิได้ บุตรชายทั้งสี่เช่นกัน งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาครั้งนี้จ้าวซูเจียวมิยอมไป จ้าวหนิงหลงกับซูหนี่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสา
องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของซูเจียวทุกวันแต่นางไม่ให้เขาเข้าพบ มีเพียงพี่ขายของนางที่หมุนเวียนออกมาต้อนรับเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่านางทำเช่นนี้กับเขาเพื่ออันใดจนบุกเข้าไปถึงเรือนของนางเพื่อคำตอบซูหนี่สั่งให้บุตรชายทั้งสี่ของตนหลบทางให้องค์รัชทายาทเข้าไปพบจ้าวซูเจียว นางรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นเช่นเดียวกับตนหากเรื่องใดที่ไม่สมควรดึงดัน จ้าวซูเจียวจะถอยห่างทันที"เจียวเจียวเหตุใดเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า" เซี่ยเฟยอวี่มองนางในดวงใจอย่างปวดใจ นางหายป่วยมาเกือบเดือนแล้ว มิใช่ว่านางสบายดีตั้งแต่อาทิตย์แรกหรือ ทำไมต้องหลบหน้าตน"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันกลัวนำโรคไปติดพระองค์จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับเพคะ" ท่าทีที่ห่างเหินทำให้เซี่ยเฟยอวี่ปวดใจจนแทบคลั่ง นางไม่เคยพูดเป็นทางการเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้งเมื่ออยู่เพียงลำพัง แต่วันนี้นางขีดเส้นชัดเจนมิให้เขาล่วงล้ำเข้าไป"เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้กับข้า" เขาทนไม่ได้หากนางหันหลังให้เขา นางคือความสดใสเดียวในชีวิตของเขา"พระองค์เลิกดึงดันเถิดเพคะ ตำแหน่งที่พระองค์ต้องการมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันรับไม่ไหวจริงๆ หากพระองค์ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ห
"เจียวเจียว" เสียงเด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาว ร้องเรียกจ้าวซูเจียวเสียงดังลั่นเมื่อเดินผ่านประตูจวนตระกูลจ้าวเข้ามา เซี่ยเฟยอวี่ องค์รัชทายาท แขกประจำจวนตระกูลจ้าว"พี่อวี่" เสียงเด็กน้อยวัยแปดหนาวร้องเรียกพร้อมวิ่งมาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยตากลมโต ความงามที่หากนางเป็นที่สองในเมืองหลวงคงหาที่หนึ่งมิได้ นอกจวนจะลือว่านางอ่อนแอเปาะบางเพียงใด แต่ความจริงแล้วนางแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั่นล้วนแล้วแต่น่ามองไปเสียทุกอย่างองค์รัชทายาทในปีนี้ก็เริ่มมองหาพระชายาเพื่อหมั้นหมายแล้ว แต่เสนาบดีจ้าวยังคงมิใจอ่อนยอมให้เขาได้เข้าใกล้เจียวเจียวมากเกินไป วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาแอบหนีออกจากวังมาพบนาง เพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ได้พูดคุย เรื่องต่างๆในวังที่แสนเบื่อหน่ายก็หายไปในพริบตาเพราะบิดาของนางไม่อยากให้บุตรสาวของตนโดนกักขังอยู่ในวังหลัง และไม่ต้องการให้ว่าที่บุตรเขยมีอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง เมื่อมองตนเองแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองตัวนางเมื่อจ้าวซูเจียวอายุได้สิบสามหนาว บิดาอย่างจ้าวหนิงหลงก็ขังนางไว้แต่ในจวนมิได้เสียแล้ว เจียวเจียวติดตามบิดามารดาและพี่ชายทั้งสี่เข้า
จ้าวหนิงหลงพาซูหนี่ไปบ้านพักตากอากาศนอกเมือง เขาทิ้งบุตรชายทั้งสี่ไว้ที่เรือน แม้เหว่ยเออร์จะโวยวายเพียงใด บิดาเช่นเขาก็ไม่ยอมใจอ่อนพามาด้วย อันเออร์มองน้องชายจอมโง่ที่ได้แต่ร้องไห้ ตัวเขาก็เคยผ่านมาแล้ว น้ำตาไม่ทำให้ท่านพ่อใจอ่อนเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ที่เขาได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี บ่อแช่น้ำร้อนมีกว้างขวางพอให้คนนับสิบลงไปแช่ได้ แต่ตอนนี้คนที่แช่มีเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้นจ้าวหนิงหลงที่แช่น้ำรอภรรยารักอยู่ก่อนแล้ว ซูหนี่แม้จะบอกว่านางคลอดบุตรออกมาแล้วสี่คน แต่เขายังคงหลงใหลในความงามของนางอยู่เช่นเดิม ร่างกายทรวดทรงส่วนเว้าสวนโค้งของนางงดงามดั่งภาพวาด ยิ่งนางเยื้องย่างก้าวเดินเข้ามา เหมือนกันทุกก้าวเดินของนางกระแทกลงไปที่ใจของเขาเพียงเห็นแค่นั้น จ้าวหนิงหลงก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำอุ้มซูหนี่ลงน้ำทันที ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากอนุญาตเขาที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวก็จู่โจมเสียแล้ว บทรักอันร้อนแรงใต้น้ำได้เริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ เสียงอันน่าอับอายที่ดังไปทั่วก็ไม่ต้องอดกลั้นกลัวใครได้ยิน บ่าวที่ติดตามมาก็เป็นคนเก่าที่รู้งานอย่างดีตอน
กว่าซูหนี่จะฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาสองวัน จ้าวหนิงหลงไม่ออกห่างจากนางเลย เขานั่งจับมือมองนางเช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าหากปล่อยมือนางเมื่อใดนางจะทิ้งเขาไปในที่ที่นางจากมา (ก็บอกแล้วว่ากลับไม่ได้แล้ว เห้อออ)เพียงลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น จ้าวหนิงหลงเริ่มมีหนวดขึ้นร่ำไร ดูดิบเถื่อนไปอีกแบบ "ท่านพี่" เสียงเบาราวยุงบินผ่านเรียกสติของจ้าวหนิงหลงให้กลับมาเขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด อยากจะหลอมนางให้อยู่ในกระดูกของเขา เมื่อซูหนี่บอกหิวน้ำ เขาถึงได้ปล่อยตัวนาง "ลูกละเจ้าคะ" "อยู่กับแม่นม เจ้าลุกไหวหรือไม่ กินอะไรเสียหน่อยแล้วข้าจะให้แม่นมพาลูกมาให้เจ้าดู" เขาเรียกให้คนยกอาหารมาให้ แล้วป้อนนางทีละคำ"ท่านต้องกินด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว" นางรู้ว่าเขาคงไม่ยอมกินอะไรหรือลุกไปไหน นางลูบหน้าเขาอย่างปวดใจ เพียงสองวันเท่านั้นเขาดูซูบผอมไปเยอะจ้าวหนิงหลงต้องยอมกินกับนาง เขาป้อนนางคำตักใส่ปากตนเองคำ ตอนนี้อีกห้องที่แม่นมดูแลเด็กน้อยอยู่ เฉิงเออร์กับอันเออร์นั่งจ้องน้องสามกับน้องสี่ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาต้องกำราบน้องชายตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่ออกมาก็ทำให้ท่านแม่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ"พี่ใหญ่ ดูเจ้าสามเ
องค์รัชทายาทและจ้าวหนิงหลงที่ยังคงแพ้ท้องแทนเมียจนกลายเป็นที่ขบขันของขุนนางทั้งหลาย องค์รัชทายาทอาเจียนแห้งทั้งวันจนทำให้เข้าประชุมขุนนางในท้องพระโรงไม่ได้ขุนนางที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายสาม องค์ชายห้าก็ถวายฎีการ้องเรียนองค์รัชทายาท กล่าวหาว่าพระองค์ใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยไม่ทำราชกิจ พระองค์เพียงรอดูว่าฝ่ายไหนหางจะโผล่ก่อนกันเท่านั้นมิได้โต้แย้งแต่อย่างใดตอนนี้ราชสำนักแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ด้วยโอรสสวรรค์มากความสามารถทุกคน ตอนนี้ก็รอดูเพียงใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน องค์ชายสามโจมตีขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาทโดยยัดข้อหาความผิดให้ เพราะตอนนี้องค์รัชทายาทไม่สามารถออกมาปกป้องพวกเขาได้ส่วนองค์ชายห้าที่ซ่องสุมกำลังไว้ รอให้องค์ชายทั้งสองสู้กันให้แล้วเสร็จตนจะนำกองกำลังเข้ายึดอำนาจทีหลัง แต่พวกเขาพลาดไปจุดหนึ่ง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงพลานามัยแข็งแรงดี พระองค์รอดูว่าบุตรของตนคนใดจะเคลื่อนไหวก่อนกันจ้าวหนิงหลงยังคงแอบออกไปพบองค์รัชทายาทและคนของเสนาบดีเพื่อวางแผนตลบหลังองค์ชายทั้งสอง"พระองค์ทรงรอดูองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเคลื่อนไหวเท่านั้น อย่าได้ทรงทำอะไรทั้งสิ้น เพราะฝ่าบาทกำลังจับตามองทุกพระองค์อยู่"
เรื่องมงคลของจวนตระกูลจ้าวมาพร้อมกันติดๆ จ้าวหนิงหลงสอบจิ้นชื่อหน้าพระที่พักตร์ได้เป็นจ้วงหยวนสมใจ ของที่ตระกูลสวีจะร่วมแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ของซูหนี่ต้องเพิ่มเข้าไปให้จ้วงหยวนคนใหม่ด้วยซูหนี่ที่แพ้ท้องก็ลุกขึ้นจัดการสิ่งใดไม่ได้เลยในช่วงนี้ นางยังแปลกใจที่ตอนแรกเพียงแค่ง่วงนอนอย่างเดียวเท่านั้น พอรู้ว่าตัวเองท้องก็แพ้ท้องทันที เหมือนเด็กในท้องจะกลั่นแกล้งมารดาของตน"ยินดีด้วยหนี่เออร์"สวีซูฉีมาเยี่ยมนางหลังจากที่ผ่านวันประกาศผลสอบมาได้สองวัน "เจ้าก็ต้องรีบตามข้ามาเร็วๆเสียแล้ว" ซูหนี่กล่าวเย้าซูฉี อีกไม่ถึงเดือนนางก็ต้องแต่งออกแล้วเช่นกันทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่นานซูฉีก็ขอตัวกลับไปนางออกมานานไม่ได้เพราะต้องเตรียมตัวเรื่องงานแต่ง จ้าวหนิงหลงช่วงนี้ก็ต้องเดินสายขอบคุณเหล่าอาจารย์ และยังต้องเตรียมตัวเข้ารายงานตัวอีกด้วยขบวนแห่จ้วงหยวนคนใหม่รอบเมืองหลวงนั้นซูหนี่ต่อให้มีใจอยากจะไปดูแค่ไหนสภาพของนางก็ไม่อำนวยให้ไป อีกอย่างจ้าวหนิงหลงก็ไม่ยินยอมให้นางไปเบียดกับคนอื่นด้วย ถึงนางจะเสียดายที่ไม่ได้ชมแต่อันเออร์กับเฉิงเออร์ก็นำกลับมาเล่าให้ฟังว่าบิดาสง่างามเพียงใดเมื่ออยู่บนหลังม้าเดิ
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่จ้าวหนิงหลงต้องเข้าสอบ ซูหนี่ก็จัดของให้เรียบร้อยอย่างดี"หนี่หนี่" เมื่ออยู่สองคนเขาจะเรียกนางเช่นนี้เสมอ ซูหนี่มองค้อนอย่างรู้ทัน "จะสอบอยู่แล้วท่านยังไม่ละเว้นข้าอีกหรือ" "ต้องห่างเจ้าหลายวัน ข้าปวดใจยิ่งนัก" คำพูดเช่นนี้นางได้ยินจนเบื่อ สุดท้ายก็ต้องยอมเขาอยู่ดี"วันนี้ท่านกินน้อยลงหน่อย พรุ่งนี้จะเข้าสอบไม่ไหวเสียก่อน" ถึงนางจะห้ามเขาเช่นไร หรือร้องขอให้เขาหยุด เนื้อที่เข้าปากเสือไปแล้วย่อมไม่คายออกมา จ้าวหนิงหลงก็เช่นกัน เขาเคี่ยวกลำนางเช่นเวลาปกติ คำพูดของคุณชายเสเพลถูกดึงมาใช้ทั้งคืน หากนางยังไม่ยอมชมเขา เขาจะลงโทษนางอย่างถึงพริกถึงขิง"หากข้าลุกไปส่งท่านไม่ไหวก็อย่าได้พูดว่าก็แล้วกัน" นางเริ่มโมโหเขาแล้วที่ไม่ยอมปล่อยให้นางนอนเสียที "เจ้าไม่ต้องลุกไปส่งข้า เจ้านอนพักให้นานขึ้นเสียหน่อย" ทุกครั้งเขาก็พูดเช่นนี้ นางจะไม่ลุกได้อย่างไร เจ้าเด็กแสบได้มาน้ำตาคลอข้างเตียงคิดว่ามารดาป่วยอีก"ข้าอยากจะผูกเจ้าไว้กับตัวแล้วพาไปสนามสอบด้วย" จ้าวหนิงหลงถึงจะหยุดรังแกนางแล้วแต่เขาก็ยังคลอเคลียนางไม่เลิก นางอยากจะให้คนที่มองสามีนางอย่างเทิดทูนมาเห็นตอนที่เขาเป็นหมาน้