ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง
“บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..”
“แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...”
ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ...
“เล้า..ไก่..”
“อือฮึ!..”
แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!”
ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกายเธอเห็นจะมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันไว้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้น ผมยาวหยิกฟูฟ่องเหมือนเพิ่งตื่นนอน ทว่าแววตาที่มองตรงมาที่เธอนั้น ลลิลสาบานได้ว่ามันเจือความไม่พอใจอย่างถึงที่สุดไว้ด้วย
“ยังไม่กลับหรือคะ หรือว่ายัง..อยากต่ออีกสักรอบ”
ร่างอวบเดินรี่มายื้อท่อนแขนที่คร่อมทาบร่างของลลิลไว้อย่างเบามือพลางบดเบียดทรวงอกกับกล้ามเนื้อแน่นนั้น ก่อนที่จะกวาดสายตาราวกับนางมารร้ายในละครมองมาที่เธออย่างเหยียดๆ
ลลิลยิ่งรู้สึกเหมือนหูจะอื้อตาจะลาย เธอไม่เคยเห็นกิริยาของผู้หญิงแบบนี้มาก่อน สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำมันเป็นการยั่วเย้าเชิญชวนและดูเหมือนเขาจะเพิ่งผละจากเธอมา
“แล้วมาหาใครล่ะเธอ จะมาสมัครงานน่ะเขาต้องมาตอนหัวค่ำนะไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ได้อ่านป้ายหน้าร้านรึไงว่ามันเปิดตอนหนึ่งทุ่มน่ะ”
ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้ารู้เลยว่าไม่พอใจ และไม่ต้องหาคำตอบลลิลรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเธอคนนี้ไม่ชอบหน้าเธอเพราะ..นายนั่น แล้วยังสายตาจิกกัดที่มองมาอีกล่ะมันฟ้องว่าแทบอยากจะฉีกเนื้อของเธอให้ได้
“เธอบอกว่าจะมาหาแม่.. เอ่อ..คุณดาน่ะ”
สีหน้าของเขามันแปลความหมายของคำว่าแม่ได้ออกชนิดทะลุปรุโปร่ง ลลิลกัดริมฝีปากแน่น หรือนี่คือบางสิ่งบางอย่างที่แม่ไม่อยากให้เธอมารับรู้ สิ่งนี้หรือเปล่า..
“งั้นผมไปก่อนละกัน ถ้าคืนนี้ว่างจะแวะมาหา และอย่าลืมเก็บข้อเสนอของฉันไปคิดละกัน”
ใบหน้าหล่อชะโงกไปจุ๊บแก้มแม่สาวอวบอึ๋มก่อนจะหันมาพูดถึงสิ่งที่ยังค้างคาอยู่กับเธอซึ่งมีผลให้แม่สาวร่างอวบนั้นต้องค้อนใส่เธอประหลักประเหลื่ออีกครั้ง
“นี่หล่อน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เด็กจะมาเดินเพ่นพ่านนะ”
เชอรี่กวาดสายตาไม่เป็นมิดไปตามเนื้อตัวของหญิงสาวแปลกหน้า ชุดเสื้อยืดสวมคลุมด้วยแจ็กเก็ตมีหมวกด้านหลังกับกางเกงขาจั้มยาวคลุมเข่า รองเท้าผ้าใบสีชมพูหวาน ผมดำยาวสยายที่หยกศกเป็นลอนใหญ่ตามธรรมชาติ เธอรู้นั่นมันไม่ใช่ผมดัดให้หยิกแต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มา เรือนผมหยิกฟูน้อยๆ เซอร์ๆ ยิ่งส่งให้ใบหน้าหวานดูงดงามมากยิ่งขึ้น แม้จะอยู่ในชุดออกจะทอมบอยทว่ากลับไม่สามารถลดเลือนความสวยงามนั้นได้เลย
“สวยจนน่าอิจฉา”
“ว่าไงล่ะ เธอมาหาใคร หรือว่าจะมาสมัครงาน แต่ถ้าจะสมัครโน่นมาใหม่ตอนหัวค่ำได้เลย มาคืนสองคืนแรกก็คงได้เป็นดาวเด่นของร้านนะ แต่ขอโทษถ้าเกินสัปดาห์ตำแหน่งก็จะตกอยู่ที่ฉันตามเดิมย่ะ ว่าไงมาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน.. เอ่อ.. ฉันมาหา..”
เสียงประตูด้านนอกที่เปิดเข้ามาอย่างรีบร้อนทำให้ลลิลชะงักคำพูดโดยอัตโนมัติ ดวงตาหวานเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความรู้สึกทว่ากลับไม่รู้ว่ามันเป็นความสุข ความเศร้าหรือว่าความปวดร้าวกันแน่ รู้แต่ว่าทั้งหมดนั้นเกิดจากเรือนร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ทั้งสิ้น
“ลิลลี่..”
ลินลดาอยากจะถลาไปโอบกอดรับขวัญลูกน้อยที่รู้ดีว่าขวัญนั้นคงบินไปไกลโพ้น เพราะลูกเล้าของเธอที่ยืนเด่นอยู่ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวนี้คงบ่งบอกทุกอย่างอยู่แล้ว และแววตาเจ็บช้ำที่มองสบมานั้นก็ยิ่งบอกว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ผิด
“เชอรี่.. ขึ้นห้องไปซะ”
น้ำเสียงหวานเรียบแต่เชอรี่รู้ดีว่ามันเฉียบขาดขนาดไหน คำไหนที่สั่งแล้วไม่ทำตาม เจ๊ดาก็จะมีวิธีจัดการที่ทำเอาเด็กเข็ดหลาบไม่กล้ากำเริบอีกเลย ใบหน้าสวยๆ นี้มันแฝงไว้ด้วยความอำมหิตที่แม้แต่เธอเองก็เคยโดนมาแล้ว แต่นั่นมันแค่ถูกการ์ดคุมร้านตบซะฟันหักไปหนึ่งซี่เท่านั้นโทษฐานที่กล้าเถียงเจ๊ต่อหน้าคนอื่นแต่ก็ถือว่าโชคดีเพราะเจ๊ดาไม่เอาความอะไรต่อทั้งยังให้เงินเธอไปทำฟันซี่ที่หักจนกลายเป็นฟันเขี้ยวเก๋ไก๋ขึ้นมาแทน แต่บางคนไม่โชคดีอย่างเธอ บ้างก็ถูกกล้อนผม หรือไม่ถ้าหนักหน่อยก็อาจจะถูกลากไปเก็บที่เซฟเฮ้าท์สัก 2-3 วันก็เท่านั้น
“แล้วนังนี่”
“เจ๊จะดูเอง ขึ้นไปเถอะ และทีหลังอย่าใส่แบบนี้ลงมาข้างล่างอีก”
หลอดไฟสีแดงนวลที่ติดประดับไว้ตามจุดทำให้บรรยากาศที่มองเห็นสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี บวกกับเสียงเพลงขับร้องและท่วงทำนองเครือคลอเหมือนจะปลุกเร้าอารมณ์ดิบๆ ของคนออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไปจับจองในมุมประจำที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ เพียงแค่สัมผัสเบาะนุ่ม สิ่งยั่วยวนที่จับต้องได้ก็แทบจะถลาขึ้นมาเกยอยู่บนตัก แสงไฟสลัวแดงระเรื่อส่งผลให้ความอวบอิ่มหยาดเยิ้มดูจะเพิ่มมากขึ้น เอวคอดส่ายสะบัดตามท่วงทำนองและบทเพลงปลุกเร้า ประกอบกับความหยุ่นนุ่มที่เสิร์ฟให้ถึงมือและปาก ก็แทบทำให้เขาไม่สามารถเก็บกดความเป็นชายไว้ได้อีกต่อไป “ขึ้นห้องกันเถอะ พะ..พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” หญิงสาวที่ยึดตักแกร่งของเขาเป็นที่นั่ง แหงนหน้าหัวเราะอย่างใส่จริตพลางบดเบียดบั้นท้ายสัมผัสสิ่งเร้าที่อยู่ด้านล่างอย่างเย้ายั่ว ก่อนจะเคลื่อนกายยักย้ายส่ายสะโพกตรงไปยังจุดที่เขาคิดจะปีนไปให้ถึง ทว่าดวงตาหวานที่แต่งแต้มงดงามก็ยังไม่วายหันมาเชิญชวนและกระดิกนิ้วเรียก ก่อนจะเคลื่อนย้ายนิ้วน้อยๆ นั้นเข้าสู่อุ้งปาก และดูดดึงราวเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา ชายหนุ่มนั่งมองตาค้
“แล้วไงครับ วันนี้แขกคนสำคัญของดาไม่มาเหรอ ดาถึงได้เจียดเวลามาคุยกับผมได้” คำพูดเหมือนจะงอนๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยอกเย้า “เอ..ผู้กำกับไปราชการต่างจังหวัดคะ ส่วนเฮียกรยังไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มานะคะ” เสียงตอบรวนๆ ปนงอน เมื่อคนถามไม่ได้แสดงความหึงหวงแถมยังมาหยอกเย้าถึงแขกขาประจำของเธอเสียอีก แขกประจำของเธอ รู้กันดีว่ามีเพียง 3 คน เพราะนอกนั้นลินลดาลาขาดที่จะรับคนอื่นเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่าเธอแก่แล้ว ทว่าก็ยังมีแขกขาจรและขาประจำอีกมากที่ยินดีจะทุ่มให้ถ้าเธอยอม แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครๆ ก็คงสู้แรงทุ่มของภควัฒน์ไม่ไหว สุดท้ายแขกขาประจำของเธอก็คงเหลือ 3 คนเหมือนเดิมสำหรับผู้กำกับบัญชาและเสี่ยพงศกรเป็นแขกที่เธอขอไม่ให้ภควัฒน์เข้ามาก้าวก่าย เพราะว่ากิจการของเธอต้องการคนมีสีมาคุ้มครอง และเสี่ยพงศกรก็ยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทางด้านการเงินจนทำให้เธอมีทุกวันนี้ ซึ่งภควัฒน์ก็เข้าใจและจะไม่ยุ่งหาก 1 ตำรวจและ 1 เสี่ยนี้จะมา แต่จะว่าไม่ยุ่งก็ไม่ได้เพราะหาก 2 หนุ่มเหลือน้อยทั้งสองคนนั้นเปิดศึกชิงเธอกันเมื่อไร สุดท้ายแล้วภควัฒน์ก็จะได้ไปทุกครั้ง“งั้น.. คืนนี้ ดาไ
เสียงเพลงปลุกเร้าอารมณ์ที่ดังลอดออกมาจนถึงบานประตูใหญ่ดั่งใครกำลังครวญครางกับกิจกรรมหฤหรรษ์ในยามค่ำคืน ส่งผลชายหนุ่มมากหน้าหลายตาต้องชะงักหยุดเดินก่อนที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านใน ชายร่างใหญ่สองนายยืนคุมอยู่บริเวณประตูทำหน้าที่ตรวจบัตรประจำตัวเพื่อไม่ให้เดือดร้อนหากมีการจับกุมของเจ้าหน้าที่“นายอายุถึง 18 หรือเปล่า”แววตาใสซื่อหันมาถาม นุติถึงกับสะอึกรับมุขดอกนี้ของเจ้านายไม่ทันมือเกาศีรษะตัวเองไปมาเพราะไม่ทันที่จะตอบและก็ไม่ทันที่จะรั้งเจ้านายไว้ได้ทัน เมื่อคนที่ทำให้งงนั้นเปิดประตูรถและเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในทิศทางของเสียงเพลง โดยไม่รอเขาสักนิด แถมฝ่ามือนั้นยังเหวี่ยงมาข้างหลังทำท่าจะกดรีโมตล็อครถ นุติรีบถลาลงจากรถตาหูเหลือกก่อนจะรีบถลันตามเจ้านายที่ถึงจะหล่อจนสาวละลายแต่ก็เอาแต่ใจ “ฉิบ” อย่างฉุดไม่อยู่“จับมือฉันไว้ถ้ากลัวหลง”นุติถลึงตามองภคินที่ยังเล่นไม่เลิกอย่างงอนๆ ยามอยู่ในบริษัท เขาเห็นภคินเป็นเจ้านายที่ดีพร้อม ทั้งเก่งทั้งฉลาดรอบรู้เรื่องราวได้สารพัด แต่ในยามหน้าที่หมดไป ภคินก็คือเพื่อนที่ยังติดต่อกันอยู่จนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขากับภคินนั้นเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต
“เดี๋ยวซิครับคุณดา จะให้เกียรตินั่งคุยกันสักครู่ได้ไหมครับ”“ขอเป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะ วันนี้ดาไม่สะดวกแล้วน่ะค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ”“ครับ..ผมเข้าใจ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะเป็นของผม”ดวงตาคมเข้มที่ส่งมามันฉายแววปรารถนาไว้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เธอเห็น ทว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 5 ปี ในฐานะที่เป็นแม่เล้า และ 4 ปีก่อนหน้านั้นในฐานะของลูกเล้า มันทำให้เธอแยกแยะออกว่า แววตาที่ปรารถนากับแววตาที่อยากลองของยากๆ สักครั้งมันเป็นอย่างไร และทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในแววคมเข้มนั้นเลยสักนิด สิ่งที่เธอเห็นมันกลับเป็นแววถือดีอยากเอาชนะเสียมากกว่าร่างอวบอิ่มที่เดินจากไปทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้เขาฉุกคิด เพราะความไม่สะดวกของเธอนั้นเหมือนจะยิ้มรอท่าอยู่ในมุมหนึ่ง มุมประจำของบิดาคือสิ่งที่นุติกระซิบบอก ผู้หญิงคนนั้นทิ้งผู้ชายอย่างเขาเพื่อยอมรับความไม่สะดวกในสิ่งที่บิดาเขาหยิบยื่นอย่างนั้นหรือ มุมปากยกยิ้มอย่างถือดี เมื่อฉุกคิดได้ว่า“ลินลดา เธอบินได้สูงดีทีเดียว”...“ลิล..ลิล..ลิลลี่ เอ๊ย! อยู่ข้างบนหรือเปล่าลูก”เสียงยายเรียกดังมาจากใต้ถุนเรือนทำให้ลลิลละสายตาขึ้นจากหนังสือเรียน ก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขาเ
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ทว่าพุงพุ้ยที่ยื่นออกมานั้นทำให้ร่างสูงดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น บุคลิกนิ่งๆ ที่มีเพียงสายตาที่กวาดมองรอบด้านอย่างจะประเมินมองสถานการณ์ ภายใต้ชุดตำรวจครึ่งท่อนนั้นยิ่งทำให้คนของอีกฝ่ายต้องทำท่าแขยงๆ ไม่กล้าจะทำตามที่นายสั่ง “เฮ้ย! กูสั่งให้รุมมันไง ทำไมมึงถึงไม่ทำ” “ฮะ..เฮีย เอาจริงหรือครับ ผมกลัวปืนผู้กำกับ” ไอ้ลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าหันมาบอกปากคอสั่น ขณะที่ดวงตาหวาดๆ ของมันส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ล้อมรอบผู้กำกับบัญชาให้อยู่เฉยๆ อย่าได้ทำอะไรวู่วาม “โธ่โว๊ย! แค่ตำรวจแก่ๆ คนนึง พวกมึงก็ป๊อดซะแล้ว ต้องให้ถึงมือกูทุกที” เสียงพูดอย่างไม่เกรงกลัวใครเอ่ยบอกก่อนจะดันลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ให้พ้นทาง เสี่ยพงศกรมองดูผู้กำกับบัญชาที่อยู่ในวงล้อมลูกน้องเขาอย่างเป็นต่อ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนยกยิ้ม ดวงตาคมปานเหยี่ยวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อจ้องมองผู้กำกับวัยใกล้เกษียณที่จ้องประสานสายตาไม่หลบเช่นกัน “ผู้กำกับ วันนี้มันคิวผม ผู้กำกับจะมาชุบมือเปิบได้ไง โน่น! เด็กใหม่ๆ เยอะแยะ ทำไมต้
น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”“พ่อครับ!”“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะ
เสียงเพลงเคล้าคลอบาดอารมณ์เหมือนวันก่อนจนดูคล้ายจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว ทั้งแสง สี เสียง ล้วนถูกจัดสรรให้สำหรับปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำให้กระเจิงไปกับแรงยั่วเย้าทั้งจากน้องนางข้างเคียง ทั้งจากนักร้องและแดนเซอร์บนเวที ดวงตาคมเข้มกวาดมองทั่วทั้งคาเฟ่ทว่าไม่เห็นเจ้าของคนงามออกมาเยื้องกายด้วยมาดนางพญาเหมือนเช่นเคย“พี่คะ มีใครเคยบอกพี่หรือเปล่าคะ ว่า..พี่หล่อม๊ากมาก.. พี่หล่อที่สุดในบรรดาแขก..ที่หนูเคยรับ”สาวน้อยวัยไม่น่าเกิน 20 เบียดกระแซะหน้าอกอวบกับท่อนแขนเขา ขณะที่นิ้วมือกรีดกรายอยู่บริเวณเรียวปากและไล่เรื่อยลงมาตามลำคอแกร่งจนถึงแผงอก ความหยุ่นนุ่มสัมผัสรุกเร้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะเสนอในสิ่งที่เขาอยากจะสนองเสียรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรอคอย“คะ..คุณคิน ขอโทษครับที่ผมมาช้า”นุติในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รีบกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะถูกโทรจิกให้มาเจอที่สถานที่แห่งนี้โดยด่วน! ภายใน 10 นาที แค่บึ่งรถออกจากบ้านมาถึงที่นี่ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว แถมยังต้องขับรถไปคิดถึงหน้าบึ้งๆ นี้ไป แล้วเขาจะทำได้ไงภคินโน้มร่างระหงลงมาหาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ใบหน้างามเหมือนจะเง้า
เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ “ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ” ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่