เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ
“ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ”
ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่
ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่าคนบนเรือนนั้นคงตื่นแล้ว แม้น้ำตาจะรินไหลแต่ก็เลือกแล้วที่จะไป
.
.
...กริ๊งงงงง...กริ๊งงงงง...
เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทำให้ลินลดาสะดุ้งตัวตื่นในทันที ดวงตาหวานทว่าแฝงไว้ด้วยความอิดโรยมีแววขุ่นเคืองชั่วครู่ แต่แล้วก็รีบปรับเป็นปกติโดยเร็ว คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ใครจะโทรมาแต่เช้า.. ในเมื่อก็รู้อยู่ว่าเรา..ทำงานกลางคืน”
คำสุดท้ายนั้นเพียงคิดไว้ในใจ ก่อนที่ร่างอวบอัดจะรีบเคลื่อนกายลงจากเตียงเพื่อไปรับเสียงที่ยังแผดลั่นอย่างคนต้นสายนั้นร้อนรนเสียกว่าใคร
“สวัสดีค่ะ..”
เสียงที่เปล่งออกมาตามสายนั้นมีผลทำให้มือไม้อ่อนแรง ลินลดาปล่อยเนื้อกายให้ลู่ลงสู่พื้นอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้ ดวงตาหวานเบิกโพลงพลางละล่ำละลักกรอกเสียงพูดลงไปทั้งที่ตัวเองก็แทบจะหัวใจแตกสลายอยู่แล้ว
“แม่..ใจเย็นๆ ไว้ หนูจะจัดการเองจ้ะ.. ไม่ต้องห่วง หนูจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องลำบาก แม่ไม่ต้องห่วง จ้ะ.. จ้ะ..”
น้ำตาที่ปริ่มจะไหลต้องรีบสะกดทิ้งก่อนจะรีบจัดการตัวเองให้พร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่คงมาถึงไม่เกิน 7 โมงเช้าของวันนี้ เธอต้องรีบเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนที่ลูกจะมาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น
.
.
“ลินลดาคาเฟ่” ป้ายชื่อที่บ่งบอกเหมือนกับสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษ ดวงตาหวานที่ทอประกายสีเขียวหม่นจ้องมองป้ายชื่อนั้นนิ่ง ไอร้อนผะผ่าวที่เกิดขึ้นเหมือนจะรู้สึกได้ที่ดวงตาและปลายจมูกรั้น ลลิลหลับตาชั่วครู่เรียกแรงฮึดให้กับตัวเองเมื่อความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นมันปะปนไปด้วยความประหม่าและไม่แน่ใจว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะยินดีต้อนรับเธอหรือไม่
“สู้! ไอ้ลิล สู้! อุตส่าห์นั่งรถมาถึงนี่แล้วจะกลัวอะไรอีก ลองสักตั้ง คิดซะว่าจะได้ไม่เสียเที่ยวรถ”
ลลิลทำท่าสู้ๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินสำรวจรอบๆ บริเวณหน้าร้าน ประตูทางเข้าที่ปิดมิดชิดพร้อมทั้งเขียนกำกับเวลาปิด-เปิดเอาไว้ทำให้ลลิลเกิดความไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยู่ที่นี่หรือเปล่า ร้านอาหารกึ่งสปาในความคิดของเธอช่างแตกต่างไปจากสิ่งที่เห็นอย่างสิ้นเชิง สภาพด้านนอกที่ปลูกต้นไม้ประดับไว้ตามรั้วพร้อมติดไฟสีต่างๆ ที่เห็นนั้น ทุกๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นจับจนหนาเตอะ รวมทั้งแผ่นป้ายไฟนีออนที่ประดิษฐ์อักษรไว้เป็นคำอ่านชวนวาบหวามนั้นด้วย มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่แม่และยายบ่งบอกว่าเป็น “ร้านอาหาร”
“สาว สวย ขาว อึ๋ม sexy”
ลลิลย้อนกลับมาที่ประตูด้านหน้าอีกครั้ง เมื่อสำรวจดูทุกทางก็ไม่เห็นว่าจะมีช่องทางใดที่จะเข้าไปข้างในได้นอกเสียจากประตูทางเข้านี้เท่านั้นก่อนที่จะแนบสายตากับบานประตูใหญ่ที่แม้จะมืดแต่ก็ยังมองเห็นสภาพด้านในได้อย่างรางเลือน โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดตามมุมต่างๆ รวมทั้งเวทีเล็กๆ ด้านใน ทำให้ลลิลต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ร้านอาหารจริงๆ” ความกังวลใจกับสภาพภายนอกแทบจะหมดไปในทันทีถ้าไม่เพราะ..
“โอ๊ะ! ว๊าย!..”
บานประตูที่ถูกดึงจากด้านในทำให้ลลิลเสียหลักเอนไปข้างหน้าด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เท่าที่ร่างบางนั้นกลับเอนไปซบแผงอกกว้างของใครบางคนที่กำลังรวบร่างของเธอไว้ทั้งตัว ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้ใบหน้าจึงแหงนขึ้นมองโดยอัตโนมัติ ทว่าสิ่งที่เห็นกลับทำให้เธอตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่า แก้มนวลเหมือนจะมีสีระเรื่อขึ้นในทันทีเพราะเจ้าของดวงตาคมเข้มนั้นอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบจนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ นั้น
ภคินถึงกับชะงักไปชั่วครู่กับสิ่งที่เห็น เด็กสาวที่ล้มหน้าคะมำลงมาที่อกของเขา ความรีบทำให้เขากระชากบานประตูเปิดเร็วเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกำลังแนบร่างอยู่กับบานประตูนี้ แต่จากสภาพของเธอก็คงจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะเล่นถลามาตามแรงกระชากถึงขนาดนั้น ทว่าดวงตากลมโตที่นัยน์ตานั้นให้สีเขียวหม่นๆ ที่มองเห็นอยู่ห่างไม่ถึงคืบนี้กลับทำให้เขาต้องขอบคุณความเพลียที่ทำให้เขาเผลอหลับไปจนเช้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นของสวยๆ งามๆ ยามเช้าแบบนี้
ขอบตาหวานและปลายจมูกรั้นๆ แดงระเรื่อที่เห็น ทำไมนะเขาถึงคิดว่าเธอเหมือนพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ทว่าเพราะแก้มเปล่งที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขานี้ สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างตะลึงมองเขาเช่นกันนั้นมันน่าจูบเสียจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ “อุ๊บ!..อื้อ..” ความอุ่นวาบฉกทาบประทับที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นในทันที ลลิลเบิกตาโตอย่างตกใจ ใบหน้าส่ายไปมาไม่ยอมขณะที่ฝ่ามือยันแผงอกเขาและดิ้นรนให้อ้อมแขนรัดนั้นคลายออก ทว่ายิ่งดิ้นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุกเร้ามากยิ่งขึ้น ลิ้นชำนาญงานชอกชอนดันดูดความอ่อนเดียงสาอย่างจาบจ้วง ลลิลรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเมื่อรับรู้ได้ว่าการหายใจกับอากาศที่ได้รับเริ่มจะไม่สัมพันธ์กัน “หึหึหึ.. ไก่ยังบินไม่เป็นเลยนี่ ท่าทางจะต้องสอนกันอีกนาน” ภคินรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อประสบการณ์สอนสั่งให้รู้ว่า “ไก่หลง” ตัวนี้ช่างอ่อนเดียงสานัก “จูบแรก” ของเธอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นรางวัลยามเช้า ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะเป็นลมจนมือเท้าอ่อ
ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง “บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..” “แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...” ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ... “เล้า..ไก่..” “อือฮึ!..”แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกา
หลอดไฟสีแดงนวลที่ติดประดับไว้ตามจุดทำให้บรรยากาศที่มองเห็นสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี บวกกับเสียงเพลงขับร้องและท่วงทำนองเครือคลอเหมือนจะปลุกเร้าอารมณ์ดิบๆ ของคนออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไปจับจองในมุมประจำที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ เพียงแค่สัมผัสเบาะนุ่ม สิ่งยั่วยวนที่จับต้องได้ก็แทบจะถลาขึ้นมาเกยอยู่บนตัก แสงไฟสลัวแดงระเรื่อส่งผลให้ความอวบอิ่มหยาดเยิ้มดูจะเพิ่มมากขึ้น เอวคอดส่ายสะบัดตามท่วงทำนองและบทเพลงปลุกเร้า ประกอบกับความหยุ่นนุ่มที่เสิร์ฟให้ถึงมือและปาก ก็แทบทำให้เขาไม่สามารถเก็บกดความเป็นชายไว้ได้อีกต่อไป “ขึ้นห้องกันเถอะ พะ..พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” หญิงสาวที่ยึดตักแกร่งของเขาเป็นที่นั่ง แหงนหน้าหัวเราะอย่างใส่จริตพลางบดเบียดบั้นท้ายสัมผัสสิ่งเร้าที่อยู่ด้านล่างอย่างเย้ายั่ว ก่อนจะเคลื่อนกายยักย้ายส่ายสะโพกตรงไปยังจุดที่เขาคิดจะปีนไปให้ถึง ทว่าดวงตาหวานที่แต่งแต้มงดงามก็ยังไม่วายหันมาเชิญชวนและกระดิกนิ้วเรียก ก่อนจะเคลื่อนย้ายนิ้วน้อยๆ นั้นเข้าสู่อุ้งปาก และดูดดึงราวเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา ชายหนุ่มนั่งมองตาค้
“แล้วไงครับ วันนี้แขกคนสำคัญของดาไม่มาเหรอ ดาถึงได้เจียดเวลามาคุยกับผมได้” คำพูดเหมือนจะงอนๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยอกเย้า “เอ..ผู้กำกับไปราชการต่างจังหวัดคะ ส่วนเฮียกรยังไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มานะคะ” เสียงตอบรวนๆ ปนงอน เมื่อคนถามไม่ได้แสดงความหึงหวงแถมยังมาหยอกเย้าถึงแขกขาประจำของเธอเสียอีก แขกประจำของเธอ รู้กันดีว่ามีเพียง 3 คน เพราะนอกนั้นลินลดาลาขาดที่จะรับคนอื่นเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่าเธอแก่แล้ว ทว่าก็ยังมีแขกขาจรและขาประจำอีกมากที่ยินดีจะทุ่มให้ถ้าเธอยอม แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครๆ ก็คงสู้แรงทุ่มของภควัฒน์ไม่ไหว สุดท้ายแขกขาประจำของเธอก็คงเหลือ 3 คนเหมือนเดิมสำหรับผู้กำกับบัญชาและเสี่ยพงศกรเป็นแขกที่เธอขอไม่ให้ภควัฒน์เข้ามาก้าวก่าย เพราะว่ากิจการของเธอต้องการคนมีสีมาคุ้มครอง และเสี่ยพงศกรก็ยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทางด้านการเงินจนทำให้เธอมีทุกวันนี้ ซึ่งภควัฒน์ก็เข้าใจและจะไม่ยุ่งหาก 1 ตำรวจและ 1 เสี่ยนี้จะมา แต่จะว่าไม่ยุ่งก็ไม่ได้เพราะหาก 2 หนุ่มเหลือน้อยทั้งสองคนนั้นเปิดศึกชิงเธอกันเมื่อไร สุดท้ายแล้วภควัฒน์ก็จะได้ไปทุกครั้ง“งั้น.. คืนนี้ ดาไ
เสียงเพลงปลุกเร้าอารมณ์ที่ดังลอดออกมาจนถึงบานประตูใหญ่ดั่งใครกำลังครวญครางกับกิจกรรมหฤหรรษ์ในยามค่ำคืน ส่งผลชายหนุ่มมากหน้าหลายตาต้องชะงักหยุดเดินก่อนที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านใน ชายร่างใหญ่สองนายยืนคุมอยู่บริเวณประตูทำหน้าที่ตรวจบัตรประจำตัวเพื่อไม่ให้เดือดร้อนหากมีการจับกุมของเจ้าหน้าที่“นายอายุถึง 18 หรือเปล่า”แววตาใสซื่อหันมาถาม นุติถึงกับสะอึกรับมุขดอกนี้ของเจ้านายไม่ทันมือเกาศีรษะตัวเองไปมาเพราะไม่ทันที่จะตอบและก็ไม่ทันที่จะรั้งเจ้านายไว้ได้ทัน เมื่อคนที่ทำให้งงนั้นเปิดประตูรถและเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในทิศทางของเสียงเพลง โดยไม่รอเขาสักนิด แถมฝ่ามือนั้นยังเหวี่ยงมาข้างหลังทำท่าจะกดรีโมตล็อครถ นุติรีบถลาลงจากรถตาหูเหลือกก่อนจะรีบถลันตามเจ้านายที่ถึงจะหล่อจนสาวละลายแต่ก็เอาแต่ใจ “ฉิบ” อย่างฉุดไม่อยู่“จับมือฉันไว้ถ้ากลัวหลง”นุติถลึงตามองภคินที่ยังเล่นไม่เลิกอย่างงอนๆ ยามอยู่ในบริษัท เขาเห็นภคินเป็นเจ้านายที่ดีพร้อม ทั้งเก่งทั้งฉลาดรอบรู้เรื่องราวได้สารพัด แต่ในยามหน้าที่หมดไป ภคินก็คือเพื่อนที่ยังติดต่อกันอยู่จนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขากับภคินนั้นเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต
“เดี๋ยวซิครับคุณดา จะให้เกียรตินั่งคุยกันสักครู่ได้ไหมครับ”“ขอเป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะ วันนี้ดาไม่สะดวกแล้วน่ะค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ”“ครับ..ผมเข้าใจ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะเป็นของผม”ดวงตาคมเข้มที่ส่งมามันฉายแววปรารถนาไว้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เธอเห็น ทว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 5 ปี ในฐานะที่เป็นแม่เล้า และ 4 ปีก่อนหน้านั้นในฐานะของลูกเล้า มันทำให้เธอแยกแยะออกว่า แววตาที่ปรารถนากับแววตาที่อยากลองของยากๆ สักครั้งมันเป็นอย่างไร และทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในแววคมเข้มนั้นเลยสักนิด สิ่งที่เธอเห็นมันกลับเป็นแววถือดีอยากเอาชนะเสียมากกว่าร่างอวบอิ่มที่เดินจากไปทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้เขาฉุกคิด เพราะความไม่สะดวกของเธอนั้นเหมือนจะยิ้มรอท่าอยู่ในมุมหนึ่ง มุมประจำของบิดาคือสิ่งที่นุติกระซิบบอก ผู้หญิงคนนั้นทิ้งผู้ชายอย่างเขาเพื่อยอมรับความไม่สะดวกในสิ่งที่บิดาเขาหยิบยื่นอย่างนั้นหรือ มุมปากยกยิ้มอย่างถือดี เมื่อฉุกคิดได้ว่า“ลินลดา เธอบินได้สูงดีทีเดียว”...“ลิล..ลิล..ลิลลี่ เอ๊ย! อยู่ข้างบนหรือเปล่าลูก”เสียงยายเรียกดังมาจากใต้ถุนเรือนทำให้ลลิลละสายตาขึ้นจากหนังสือเรียน ก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขาเ
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ทว่าพุงพุ้ยที่ยื่นออกมานั้นทำให้ร่างสูงดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น บุคลิกนิ่งๆ ที่มีเพียงสายตาที่กวาดมองรอบด้านอย่างจะประเมินมองสถานการณ์ ภายใต้ชุดตำรวจครึ่งท่อนนั้นยิ่งทำให้คนของอีกฝ่ายต้องทำท่าแขยงๆ ไม่กล้าจะทำตามที่นายสั่ง “เฮ้ย! กูสั่งให้รุมมันไง ทำไมมึงถึงไม่ทำ” “ฮะ..เฮีย เอาจริงหรือครับ ผมกลัวปืนผู้กำกับ” ไอ้ลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าหันมาบอกปากคอสั่น ขณะที่ดวงตาหวาดๆ ของมันส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ล้อมรอบผู้กำกับบัญชาให้อยู่เฉยๆ อย่าได้ทำอะไรวู่วาม “โธ่โว๊ย! แค่ตำรวจแก่ๆ คนนึง พวกมึงก็ป๊อดซะแล้ว ต้องให้ถึงมือกูทุกที” เสียงพูดอย่างไม่เกรงกลัวใครเอ่ยบอกก่อนจะดันลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ให้พ้นทาง เสี่ยพงศกรมองดูผู้กำกับบัญชาที่อยู่ในวงล้อมลูกน้องเขาอย่างเป็นต่อ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนยกยิ้ม ดวงตาคมปานเหยี่ยวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อจ้องมองผู้กำกับวัยใกล้เกษียณที่จ้องประสานสายตาไม่หลบเช่นกัน “ผู้กำกับ วันนี้มันคิวผม ผู้กำกับจะมาชุบมือเปิบได้ไง โน่น! เด็กใหม่ๆ เยอะแยะ ทำไมต้
น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”“พ่อครับ!”“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะ