“เดี๋ยวซิครับคุณดา จะให้เกียรตินั่งคุยกันสักครู่ได้ไหมครับ”
“ขอเป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะ วันนี้ดาไม่สะดวกแล้วน่ะค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ”
“ครับ..ผมเข้าใจ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะเป็นของผม”
ดวงตาคมเข้มที่ส่งมามันฉายแววปรารถนาไว้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เธอเห็น ทว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 5 ปี ในฐานะที่เป็นแม่เล้า และ 4 ปีก่อนหน้านั้นในฐานะของลูกเล้า มันทำให้เธอแยกแยะออกว่า แววตาที่ปรารถนากับแววตาที่อยากลองของยากๆ สักครั้งมันเป็นอย่างไร และทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในแววคมเข้มนั้นเลยสักนิด สิ่งที่เธอเห็นมันกลับเป็นแววถือดีอยากเอาชนะเสียมากกว่า
ร่างอวบอิ่มที่เดินจากไปทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้เขาฉุกคิด เพราะความไม่สะดวกของเธอนั้นเหมือนจะยิ้มรอท่าอยู่ในมุมหนึ่ง มุมประจำของบิดาคือสิ่งที่นุติกระซิบบอก ผู้หญิงคนนั้นทิ้งผู้ชายอย่างเขาเพื่อยอมรับความไม่สะดวกในสิ่งที่บิดาเขาหยิบยื่นอย่างนั้นหรือ มุมปากยกยิ้มอย่างถือดี เมื่อฉุกคิดได้ว่า
“ลินลดา เธอบินได้สูงดีทีเดียว”
.
.
.
“ลิล..ลิล..ลิลลี่ เอ๊ย! อยู่ข้างบนหรือเปล่าลูก”
เสียงยายเรียกดังมาจากใต้ถุนเรือนทำให้ลลิลละสายตาขึ้นจากหนังสือเรียน ก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขาเพราะคร่ำเคร่งนั่งอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้า เรือนไม้ยกพื้นสูงที่ไม้กระดานตีห่างไว้ให้ลมระบายได้จากด้านล่างและเผื่อเนื้อไม้ยืดตัวหดตัวยามฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ทำให้เธอสามารถมองลอดลงไปเพื่อตรวจดูว่าเจ้าของเสียงปราณีที่เอ่ยเรียกนั้น ตอนนี้อยู่ตรงจุดไหน
“ลิล..อยู่หรือเปล่าลูก”
“อยู่จ้ะยาย กำลังรีบแล้วจ้า..” เสียงหวานขานรับก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“ไม่ต้องรีบลูก เดี๋ยวได้ตกบ้านขาแข้งหักกันบ้างหรอก เดินดีๆ”
สายตาฝ้าฟางตามวันเวลามองลอดขึ้นไปบนขั้นบันไดที่คาดคิดว่าหลานสาวเพียงคนเดียวของแกกำลังจะรีบเดินหรือไม่ก็อาจจะวิ่งลงมาเลยก็ได้ และก็เป็นไปตามคาด ช่วงขาเรียวยาวที่มองเห็นทำให้แกอดที่จะร้องปรามอีกครั้งไม่ได้
“ลิลลี่ เดินช้าๆ ลูก ไม่ต้องวิ่งลงมา วิ่งลงบันไดผีบ้านผีเรือนจะหักขาเอานะลูก”
“จ๊ะจ้า.. ไม่วิ่งแล้วจ้า เดินช้าแล้วจ้า”
สาวรุ่นใบหน้าสะสวยที่มองเห็น ไม่ได้แตกต่างไปจากลูกสาวเพียงคนเดียวของแกเลยสักนิด ยิ่งโตยิ่งเหมือนกัน คำโบราณที่ว่า “ลูกผู้หญิงเหมือนแม่มักจะอาภัพ” นั่นคือสิ่งที่ใครๆ ก็มักจะย้ำเตือนเสมอในยามเจ้าตัวน้อยนี้ยังอยู่ในวัยเยาว์ ทว่าวันเวลาพ้นผ่านที่ลินจงสามารถทำงานส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวและตัวแกมาได้นั้น ก็ทำให้คำพูดของหลายๆ คนต้องหยุดลง เพราะนี่ก็ปีสุดท้ายแล้วที่ลลิลจะเรียนจบปริญญาตรี
“ยายเรียกลิลมีอะไรหรือจ๊ะ”
“ช่วยยายกำผักหน่อยลูก ประเดี๋ยวลุงชดเขาจะมารับเอาไปตลาดนัด ยายเก็บช้าไปหน่อยกลัวจะกำได้ไม่ทันเวลา”
ลลิลมองมือเหี่ยวย่นที่กำลังกำใบกระเพรา โหระพา และมะกรูดตะไคร้ แยกไว้เป็นกำๆ ก่อนที่ฝ่ามือขาวนวลที่ดูบอบบางนั้นจะรีบหยิบจับในสิ่งที่ยายบอกอย่างทะมัดทะแมง ผักสวนครัวต่างๆ ที่ปลูกอยู่ในสวนหลังบ้าน แม้จะมีพื้นที่ไม่มากนักแต่รายได้ก็เพียงพอสำหรับที่สองยายหลานจะประทังชีวิตไปได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไร ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำมองสิ่งอยู่ในมือ พืชผักเหล่านี้ยายสอนว่าเธอต้องรู้จักกินรู้จักใช้อย่างประหยัด เพราะถ้าไม่ใช่เพราะผักเหล่านี้ยายก็คงจะไม่มีกำลังที่จะเลี้ยงเธอมาจนโตได้ และลูกสาวของยายล่ะทำอะไรอยู่..
ลลิลหรือลิลลี่ ชื่อที่ผู้เป็นแม่ตั้งให้เพื่อให้คล้องจองกับชื่อลินจงหรือลินลดา ชื่อใหม่ที่แม่ตั้งเองสำหรับเอาฤกษ์เอาชัยกับธุรกิจร้านอาหารที่ไปได้ดี จนทำให้มีเงินส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวและมารดาให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่น่าแปลกที่ยายเพียงนำเงินเหล่านั้นมาสำหรับจ่ายค่าเทอมและอุปกรณ์การเรียนของเธอเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายภายในบ้านรวมทั้งค่ากินอยู่ล้วนแต่มาจากรายได้ของพืชผักสวนครัวที่ยายและเธอช่วยกันปลูกทั้งสิ้น เพราะอะไรเธอไม่รู้ คำถามที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ยายจะตอบ จนสุดท้ายเธอต้องเป็นฝ่ายเลิกถามไปเสียเอง
ฝ่ามือที่สอดเข้าในช่วงเอวและแนบใบหน้าลงที่อกอุ่นของยาย ทำให้ดวงตาของยายมุกดาเริ่มจะฝ้าฟางเพราะม่านน้ำตาอีกครั้ง มือเหี่ยวย่นกอดรัดหลานสาวเพียงคนเดียวไว้แนบอก เจ้าตัวน้อยแสนซนที่ทำกิริยาแบบนี้จะเป็นเรื่องใดไปได้ถ้าไม่ได้คิดถึงคนเป็นแม่ ยายมุกดากระชับฝ่ามือที่อาจจะคิดว่าบอบบางนักทว่ามันกลับกร้านไปเพราะหยิบจอบหยิบเสียมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อ้อมกอดของผู้เป็นยายกระชับแน่นขึ้นเมื่อคิดได้ว่า
“ความลำบากเพียงนี้ลลิลต้องผ่านมันไปให้ได้ หากแม้ลำบากกายยังทนได้ ต่อไปในภายภาคหน้าเรื่องลำบากใจก็จะทานทนได้เช่นกัน ลินจง เอ๊ย.. เมื่อไรแกถึงจะเลิก..แกจะต้องรอจนลูกแกรู้อย่างนั้นรึ”
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ทว่าพุงพุ้ยที่ยื่นออกมานั้นทำให้ร่างสูงดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น บุคลิกนิ่งๆ ที่มีเพียงสายตาที่กวาดมองรอบด้านอย่างจะประเมินมองสถานการณ์ ภายใต้ชุดตำรวจครึ่งท่อนนั้นยิ่งทำให้คนของอีกฝ่ายต้องทำท่าแขยงๆ ไม่กล้าจะทำตามที่นายสั่ง “เฮ้ย! กูสั่งให้รุมมันไง ทำไมมึงถึงไม่ทำ” “ฮะ..เฮีย เอาจริงหรือครับ ผมกลัวปืนผู้กำกับ” ไอ้ลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าหันมาบอกปากคอสั่น ขณะที่ดวงตาหวาดๆ ของมันส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ล้อมรอบผู้กำกับบัญชาให้อยู่เฉยๆ อย่าได้ทำอะไรวู่วาม “โธ่โว๊ย! แค่ตำรวจแก่ๆ คนนึง พวกมึงก็ป๊อดซะแล้ว ต้องให้ถึงมือกูทุกที” เสียงพูดอย่างไม่เกรงกลัวใครเอ่ยบอกก่อนจะดันลูกน้องที่ยืนขวางอยู่ให้พ้นทาง เสี่ยพงศกรมองดูผู้กำกับบัญชาที่อยู่ในวงล้อมลูกน้องเขาอย่างเป็นต่อ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนยกยิ้ม ดวงตาคมปานเหยี่ยวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อจ้องมองผู้กำกับวัยใกล้เกษียณที่จ้องประสานสายตาไม่หลบเช่นกัน “ผู้กำกับ วันนี้มันคิวผม ผู้กำกับจะมาชุบมือเปิบได้ไง โน่น! เด็กใหม่ๆ เยอะแยะ ทำไมต้
น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”“พ่อครับ!”“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะ
เสียงเพลงเคล้าคลอบาดอารมณ์เหมือนวันก่อนจนดูคล้ายจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว ทั้งแสง สี เสียง ล้วนถูกจัดสรรให้สำหรับปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำให้กระเจิงไปกับแรงยั่วเย้าทั้งจากน้องนางข้างเคียง ทั้งจากนักร้องและแดนเซอร์บนเวที ดวงตาคมเข้มกวาดมองทั่วทั้งคาเฟ่ทว่าไม่เห็นเจ้าของคนงามออกมาเยื้องกายด้วยมาดนางพญาเหมือนเช่นเคย“พี่คะ มีใครเคยบอกพี่หรือเปล่าคะ ว่า..พี่หล่อม๊ากมาก.. พี่หล่อที่สุดในบรรดาแขก..ที่หนูเคยรับ”สาวน้อยวัยไม่น่าเกิน 20 เบียดกระแซะหน้าอกอวบกับท่อนแขนเขา ขณะที่นิ้วมือกรีดกรายอยู่บริเวณเรียวปากและไล่เรื่อยลงมาตามลำคอแกร่งจนถึงแผงอก ความหยุ่นนุ่มสัมผัสรุกเร้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะเสนอในสิ่งที่เขาอยากจะสนองเสียรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรอคอย“คะ..คุณคิน ขอโทษครับที่ผมมาช้า”นุติในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รีบกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะถูกโทรจิกให้มาเจอที่สถานที่แห่งนี้โดยด่วน! ภายใน 10 นาที แค่บึ่งรถออกจากบ้านมาถึงที่นี่ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว แถมยังต้องขับรถไปคิดถึงหน้าบึ้งๆ นี้ไป แล้วเขาจะทำได้ไงภคินโน้มร่างระหงลงมาหาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ใบหน้างามเหมือนจะเง้า
เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ “ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ” ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่
ขอบตาหวานและปลายจมูกรั้นๆ แดงระเรื่อที่เห็น ทำไมนะเขาถึงคิดว่าเธอเหมือนพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ทว่าเพราะแก้มเปล่งที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขานี้ สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างตะลึงมองเขาเช่นกันนั้นมันน่าจูบเสียจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ “อุ๊บ!..อื้อ..” ความอุ่นวาบฉกทาบประทับที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นในทันที ลลิลเบิกตาโตอย่างตกใจ ใบหน้าส่ายไปมาไม่ยอมขณะที่ฝ่ามือยันแผงอกเขาและดิ้นรนให้อ้อมแขนรัดนั้นคลายออก ทว่ายิ่งดิ้นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุกเร้ามากยิ่งขึ้น ลิ้นชำนาญงานชอกชอนดันดูดความอ่อนเดียงสาอย่างจาบจ้วง ลลิลรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเมื่อรับรู้ได้ว่าการหายใจกับอากาศที่ได้รับเริ่มจะไม่สัมพันธ์กัน “หึหึหึ.. ไก่ยังบินไม่เป็นเลยนี่ ท่าทางจะต้องสอนกันอีกนาน” ภคินรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อประสบการณ์สอนสั่งให้รู้ว่า “ไก่หลง” ตัวนี้ช่างอ่อนเดียงสานัก “จูบแรก” ของเธอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นรางวัลยามเช้า ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะเป็นลมจนมือเท้าอ่อ
ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง “บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..” “แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...” ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ... “เล้า..ไก่..” “อือฮึ!..”แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกา
หลอดไฟสีแดงนวลที่ติดประดับไว้ตามจุดทำให้บรรยากาศที่มองเห็นสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี บวกกับเสียงเพลงขับร้องและท่วงทำนองเครือคลอเหมือนจะปลุกเร้าอารมณ์ดิบๆ ของคนออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไปจับจองในมุมประจำที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ เพียงแค่สัมผัสเบาะนุ่ม สิ่งยั่วยวนที่จับต้องได้ก็แทบจะถลาขึ้นมาเกยอยู่บนตัก แสงไฟสลัวแดงระเรื่อส่งผลให้ความอวบอิ่มหยาดเยิ้มดูจะเพิ่มมากขึ้น เอวคอดส่ายสะบัดตามท่วงทำนองและบทเพลงปลุกเร้า ประกอบกับความหยุ่นนุ่มที่เสิร์ฟให้ถึงมือและปาก ก็แทบทำให้เขาไม่สามารถเก็บกดความเป็นชายไว้ได้อีกต่อไป “ขึ้นห้องกันเถอะ พะ..พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” หญิงสาวที่ยึดตักแกร่งของเขาเป็นที่นั่ง แหงนหน้าหัวเราะอย่างใส่จริตพลางบดเบียดบั้นท้ายสัมผัสสิ่งเร้าที่อยู่ด้านล่างอย่างเย้ายั่ว ก่อนจะเคลื่อนกายยักย้ายส่ายสะโพกตรงไปยังจุดที่เขาคิดจะปีนไปให้ถึง ทว่าดวงตาหวานที่แต่งแต้มงดงามก็ยังไม่วายหันมาเชิญชวนและกระดิกนิ้วเรียก ก่อนจะเคลื่อนย้ายนิ้วน้อยๆ นั้นเข้าสู่อุ้งปาก และดูดดึงราวเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา ชายหนุ่มนั่งมองตาค้
“แล้วไงครับ วันนี้แขกคนสำคัญของดาไม่มาเหรอ ดาถึงได้เจียดเวลามาคุยกับผมได้” คำพูดเหมือนจะงอนๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยอกเย้า “เอ..ผู้กำกับไปราชการต่างจังหวัดคะ ส่วนเฮียกรยังไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มานะคะ” เสียงตอบรวนๆ ปนงอน เมื่อคนถามไม่ได้แสดงความหึงหวงแถมยังมาหยอกเย้าถึงแขกขาประจำของเธอเสียอีก แขกประจำของเธอ รู้กันดีว่ามีเพียง 3 คน เพราะนอกนั้นลินลดาลาขาดที่จะรับคนอื่นเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่าเธอแก่แล้ว ทว่าก็ยังมีแขกขาจรและขาประจำอีกมากที่ยินดีจะทุ่มให้ถ้าเธอยอม แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครๆ ก็คงสู้แรงทุ่มของภควัฒน์ไม่ไหว สุดท้ายแขกขาประจำของเธอก็คงเหลือ 3 คนเหมือนเดิมสำหรับผู้กำกับบัญชาและเสี่ยพงศกรเป็นแขกที่เธอขอไม่ให้ภควัฒน์เข้ามาก้าวก่าย เพราะว่ากิจการของเธอต้องการคนมีสีมาคุ้มครอง และเสี่ยพงศกรก็ยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทางด้านการเงินจนทำให้เธอมีทุกวันนี้ ซึ่งภควัฒน์ก็เข้าใจและจะไม่ยุ่งหาก 1 ตำรวจและ 1 เสี่ยนี้จะมา แต่จะว่าไม่ยุ่งก็ไม่ได้เพราะหาก 2 หนุ่มเหลือน้อยทั้งสองคนนั้นเปิดศึกชิงเธอกันเมื่อไร สุดท้ายแล้วภควัฒน์ก็จะได้ไปทุกครั้ง“งั้น.. คืนนี้ ดาไ