น้ำเสียงปนหยันที่จับได้ ทำให้ภควัฒน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเดียว “ภคิน บริรักษ์” บุตรชายเพียงคนเดียวที่ขณะนี้อำนาจการบริหารงานในบริษัททั้งหมดเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะนับตั้งแต่วางมือ เขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในบริษัทหรือในโรงงานอีกเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ภคินจะไม่มายุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของเขาด้วย
“คิน.. ทำไมถึงพูดอย่างนั้น โอกาสของคินและของพ่อมันไม่ได้แตกต่างกันนะ โอกาสในเชิงธุรกิจกับโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน”
“พ่อครับ!”
“อย่ามาคุยกันเรื่องนี้เลย แค่พ่อยอมให้เจ้ายอดมันขับรถรับส่งให้ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่คินต้องการแล้วไม่ใช่รึ ถ้าคินรู้แล้วก็อย่าถาม นอกเสียจากคินอยากรู้ความจริงจากปากพ่อ”
แววตาที่มองสบมาเขารู้ว่าพ่อทำจริง สิ่งที่เขารู้พ่อจะทำจริงๆ แต่จะให้เขายอมรับคงไม่มีทาง ผู้หญิงดีๆ มีถมเถและทำไมต้องเป็นผู้หญิงพรรค์นั้น ผู้หญิงที่บินสูงเกินตัว
“คิน.. กินข้าวมาหรือยัง พ่อให้ยายนุ่มเตรียมอาหารไว้ให้ คงจะยังร้อนๆ อยู่”
ภคินหันหลังก้าวเดินทว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยบอกขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องมองฝูงปลาในน้ำอยู่เช่นเคยทำให้ภคินชะงักฝีเท้าอีกหน ใบหน้าหล่อคมสลดวูบก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมดังเดิม
“ขอบคุณครับ”
เรือนหลังเล็ก หรือ บ้านหลังน้อย บ้านที่ภคินตั้งใจสร้างให้คุณนิ่มภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว แม่ลูกที่ช่วยกันตั้งชื่อบ้านและก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้ใช้ชื่อไหน แต่สุดท้ายคุณนิ่มเองกลับไม่มีโอกาสได้อยู่ ภควัฒน์มองตามเบื้องหลังแกร่งที่เดินลับไปตามแนวกกบาหลีที่ปลูกเรียงรายไว้ตามสะพานไม้ที่ทอดยาวสู่ตัวบ้าน ดวงตาคมเข้มที่ทอดแบบให้ลูกชายได้ไม่ผิดเพี้ยนมีแววยิ้มในสีหน้า
“ปัญหาเล็กน้อยต้องฝ่าไปให้ได้”
ภควัฒน์ยิ้มเมื่อนึกไปถึงชายหนุ่มที่เขาอุ้มชูไม่ต่างจากลูกชายอีกคน “นุติ” จะต้องช่วยได้ หากภคินหัวดื้อไม่ยอม เขาก็จะใช้เจ้านุตินี่แหละให้เป็นประโยชน์ ภคินจะต้องรู้และยอมรับลินลดาไม่ต่างจากเขา เพราะปัญหาอันดับแรกของเขาก็คือ ลินลดาไม่ยอมรับในข้อเสนอนั้นต่างหาก
.
.
“ยายจ๋า.. นะจ๊ะยาย ลิลอยากไปฝึกงานกับแม่”
เสียงหวานออดอ้อนพลางคลอเคลียใบหน้าไปมาบนหน้าอกอุ่นยวบของผู้เป็นยาย เสียงเว้าวอนน่าสงสารเพราะไม่ว่าอย่างไร ยายมุกดาก็ไม่อนุญาตให้เธอลงไปฝึกงานที่ร้านอาหารของมารดา
“ลิล ไม่ได้หรอก ลิลรู้หรือลูกว่าร้านของแม่เขาน่ะอยู่ตรงไหน ถ้ายายปล่อยให้ลิลไปแล้วไปหลง หรือมีใครมาฉุดไปขาย ยายจะทำยังไง”
เสียงแหบชราเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ทั้งห่วงและหวง ห่วงทั้งร่างกายและห่วงทั้งความรู้สึกถ้าลลิลได้รู้ความจริงว่าร้านอาหารที่ลินจงบอกนั้นไม่ใช่แบบที่วาดฝันไว้หลานสาวจะมีสภาพเป็นอย่างไร
“โธ่! ยายจ๋า ลิลน่ะอายุ 20 แล้วนะ อีกไม่กี่เดือนก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว แค่สมุทรปราการลิลไปถูก มีแค่ที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ของแม่ก็พอแล้ว ไม่มีใครเคยบอกยายเลยหรือจ๊ะว่าหลานยายมุกดาน่ะฉลาดเป็นกรด ฉลาดมาก..”
“และก็ฉลาดแกมโกงด้วย”
“โธ่! ยายจ๋า นะนะ..ให้ลิลไปนะ ลิลอยากลองไปอยู่ที่อื่นบ้าง ลิลต้องฝึกงานก่อนจบนะจ๊ะ”
“โรงงานแถวบ้านเราก็มีนี่ลูก ฝึกแถวนี้ก็ได้ เดี๋ยวยายจะไปคุยกับผู้ใหญ่ให้เขาช่วยฝากเข้า เงินเดือนเราไม่เอาก็ได้ แค่ได้ฝึกงานก็พอ นะลูกนะ ฝึกที่บ้านเรานี่แหละ ไม่ต้องไปไกลถึงที่นั่นหรอก”
มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะหลานสาวไปมา ทำไมแกจะไม่รู้ว่าที่ลลิลต้องการจะไปฝึกงานนั้นเป็นเพราะว่า “คิดถึง” 3 ปีแล้วที่ลินจงไม่กลับมาบ้าน “ฉันงานยุ่งนะแม่” สิ่งที่มักจะบอกออกมาเสมอ แต่คนเป็นแม่เหมือนกันทำไมจะไม่รู้ เพราะว่าลลิลโตเป็นสาวแล้วน่ะซิ สิ่งที่เห็นอาจจะทำให้เข้าใจในงานของลินจงได้ไม่ยาก เสียงร้องไห้ของลูกสาวที่ส่งผ่านตามสายโทรศัพท์มันสะท้อนใจแกอย่างแรง
“แล้วเมื่อไรแกถึงจะเลิก เมื่อไร เงินทองเราก็พอมีพอกินแล้วนี่ ลิลเองมันก็จะเรียนจบแล้ว มันจะเลี้ยงแม่เลี้ยงยายได้แล้ว เลิกเถอะลินจง อย่าให้ลิลมันรู้เลยว่าแม่ของมันทำงานอะไร”
คำที่แกบอกลูกสาวมีเพียงเสียงร้องไห้ที่ตอบกลับมา ยายมุกดาโอบกอดหลานสาวไว้แนบอก หัวอกคนเป็นแม่คนเป็นยายสั่นสะท้านเพราะแกเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ลินจงไม่ยอมเลิกกิจการทั้งที่ก็กลัวลูกจะรู้
“เชื่อยายนะลิล ฝึกงานที่บ้านเรานี่แหละลูก ว่าแต่จะเริ่มฝึกกันเดือนไหนล่ะ ยายจะได้ไปคุยกับผู้ใหญ่เขาไว้เนิ่นๆ”
“เอ่อ..อีก 2 เดือนจ้ะยาย”
“เอ..แต่เห็นผู้ใหญ่แกบอกว่านังผึ้งมันจะฝึกสิ้นเดือนนี้แล้วนะ”
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่จ๊ะ ผึ้งเขาเลือกคนละคณะกับลิล ก็เลยฝึกไม่เหมือนกันจ้ะ”
ลลิลซบใบหน้าลงกับอกอุ่นของยาย น้ำเสียงอู้อี้เอ่ยบอกขณะที่หัวใจเต้นรัวเร็ว “โกหก” เพราะเธอโกหก ยังไงเธอก็ต้องลงไปหาแม่ให้ได้ เสียงยายที่พูดโทรศัพท์กับแม่ไปร้องไห้ไปยังก้องอยู่ในหู อะไรคือสิ่งที่แม่ต้องเลิก เธอจะต้องรู้ให้ได้และงานที่แม่ทำมันคืออะไร เธอยังมีเวลากว่าครึ่งเดือนที่จะแจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาถึงสถานที่ฝึกงาน ไปดูก่อนคงไม่เป็นไร
เสียงเพลงเคล้าคลอบาดอารมณ์เหมือนวันก่อนจนดูคล้ายจะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว ทั้งแสง สี เสียง ล้วนถูกจัดสรรให้สำหรับปลุกเร้าอารมณ์ฝ่ายต่ำให้กระเจิงไปกับแรงยั่วเย้าทั้งจากน้องนางข้างเคียง ทั้งจากนักร้องและแดนเซอร์บนเวที ดวงตาคมเข้มกวาดมองทั่วทั้งคาเฟ่ทว่าไม่เห็นเจ้าของคนงามออกมาเยื้องกายด้วยมาดนางพญาเหมือนเช่นเคย“พี่คะ มีใครเคยบอกพี่หรือเปล่าคะ ว่า..พี่หล่อม๊ากมาก.. พี่หล่อที่สุดในบรรดาแขก..ที่หนูเคยรับ”สาวน้อยวัยไม่น่าเกิน 20 เบียดกระแซะหน้าอกอวบกับท่อนแขนเขา ขณะที่นิ้วมือกรีดกรายอยู่บริเวณเรียวปากและไล่เรื่อยลงมาตามลำคอแกร่งจนถึงแผงอก ความหยุ่นนุ่มสัมผัสรุกเร้าและพยายามอย่างยิ่งที่จะเสนอในสิ่งที่เขาอยากจะสนองเสียรู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรอคอย“คะ..คุณคิน ขอโทษครับที่ผมมาช้า”นุติในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์รีบกระหืดกระหอบเข้ามาเพราะถูกโทรจิกให้มาเจอที่สถานที่แห่งนี้โดยด่วน! ภายใน 10 นาที แค่บึ่งรถออกจากบ้านมาถึงที่นี่ก็ 15 นาทีเข้าไปแล้ว แถมยังต้องขับรถไปคิดถึงหน้าบึ้งๆ นี้ไป แล้วเขาจะทำได้ไงภคินโน้มร่างระหงลงมาหาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ใบหน้างามเหมือนจะเง้า
เจ้าของรองเท้าผ้าใบสีชมพูบอบบางค่อยๆ ก้าวเท้าลงที่บันไดอย่างเบาที่สุด เพราะตลอดทางเดินออกจากห้องนอนมาจนถึงบันไดด้านหน้า เจ้าตัวก็ทั้งหมอบคลานทั้งเดินย่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงซึ่งอาจทำให้คนที่คิดว่าหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นได้ ในมือประคองกระเป๋าสะพายใบย่อม ใบหน้านวลหันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ กระเถิดลงบันไดทีละขั้นๆ “ยายจ๋า ลิลขอโทษนะจ๊ะ ลิลอยากไปดูให้แน่ใจว่าแม่.. ยังอยู่ดีหรือเปล่า ลิลขอโทษ” ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนเรือนที่ยังมืดมิดไร้แสงไฟ สองมือพนมไหว้ ดวงตาหวานสั่นเครือไปด้วยหยาดน้ำตา ลลิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดใจมุ่งสู่ทางออก สองเท้าพาก้าวไปแต่หัวใจกลับรู้สึกเบาโหวง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะจากบ้านไปไหนไกลๆ แม้สมุทรปราการจะไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าจะไปไหนห่างบ้านเกินกว่า 3 วัน เว้นเสียแต่เวลาโรงเรียนพาไปเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีเท่านั้น แต่สถานที่ที่คิดจะไปอยู่นั้นอาจต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคนที่จะไปหานั้นจะเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกที่เหมือนจะทิ้งขว้างนี้หรือไม่ลลิลหยุดเดินพลางหันมองเรือนไม้อีกครั้ง แสงไฟที่ถูกตามขึ้นในห้องทำให้รู้ว่
ขอบตาหวานและปลายจมูกรั้นๆ แดงระเรื่อที่เห็น ทำไมนะเขาถึงคิดว่าเธอเหมือนพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ทว่าเพราะแก้มเปล่งที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขานี้ สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างตะลึงมองเขาเช่นกันนั้นมันน่าจูบเสียจนทำให้เขาอดใจไม่ได้ “อุ๊บ!..อื้อ..” ความอุ่นวาบฉกทาบประทับที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้นในทันที ลลิลเบิกตาโตอย่างตกใจ ใบหน้าส่ายไปมาไม่ยอมขณะที่ฝ่ามือยันแผงอกเขาและดิ้นรนให้อ้อมแขนรัดนั้นคลายออก ทว่ายิ่งดิ้นเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุกเร้ามากยิ่งขึ้น ลิ้นชำนาญงานชอกชอนดันดูดความอ่อนเดียงสาอย่างจาบจ้วง ลลิลรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่กลางอากาศเมื่อรับรู้ได้ว่าการหายใจกับอากาศที่ได้รับเริ่มจะไม่สัมพันธ์กัน “หึหึหึ.. ไก่ยังบินไม่เป็นเลยนี่ ท่าทางจะต้องสอนกันอีกนาน” ภคินรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อประสบการณ์สอนสั่งให้รู้ว่า “ไก่หลง” ตัวนี้ช่างอ่อนเดียงสานัก “จูบแรก” ของเธอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นรางวัลยามเช้า ดวงตาคมเข้มทอดมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะเป็นลมจนมือเท้าอ่อ
ใบหน้าอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึงยิ่งทำให้ภคินถูกใจเธอมากขึ้น ใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาแบบนี้ให้ความรู้สึกเร้าอารมณ์เขาอย่างแรง หากต้องปล่อยให้เธอกร้านโลกไปตามลำพังสู้เขาเลี้ยงเธอไว้เองจะดีกว่า เสียงหัวเราะในลำคอนั้นเพราะขำขันกับความคิดของตัวเอง มันจะแปลกไหมนะที่ชายโสดอย่างเขาอยากจะเลี้ยงสาวๆ ไว้ใช้งานส่วนตัวสักครั้ง “บ้า! คุณมันบ้า คุณคิดว่าฉันมาฝึกงานอะไร คุณมัน..” “แล้วในเล้านี้เธอคิดว่าจะมาฝึกอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...” ร่างสูงคุกคามถึงตัวภายในพริบตายิ่งทำให้ลลิลสะดุ้งชิดผนังตัวลีบ หัวใจเต้นรัวทั้งตื่นกลัวทั้งตกใจกับคำนั้น “เล้า” เล้าอะไร อย่างนั้น “ไก่” ที่เขาพูดถึงก็คงคือ... “เล้า..ไก่..” “อือฮึ!..”แววคมเข้มล้อๆ ที่โค้งกายคร่อมอยู่ด้านบนทำเอาลลิลสั่นไปทั้งตัว ใบหน้างามหันรีหันขวางหาทางหนีหรือคนช่วย และโชคก็เข้าข้างแม้สภาพของคนที่เห็นจะดูเหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ร่างอวบอัดเต็มตึงไปทุกสัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดและกำลังจ้องมองมาที่เธอและเขา ทั่วทั้งกา
หลอดไฟสีแดงนวลที่ติดประดับไว้ตามจุดทำให้บรรยากาศที่มองเห็นสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี บวกกับเสียงเพลงขับร้องและท่วงทำนองเครือคลอเหมือนจะปลุกเร้าอารมณ์ดิบๆ ของคนออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะเลี้ยวเข้าไปจับจองในมุมประจำที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ เพียงแค่สัมผัสเบาะนุ่ม สิ่งยั่วยวนที่จับต้องได้ก็แทบจะถลาขึ้นมาเกยอยู่บนตัก แสงไฟสลัวแดงระเรื่อส่งผลให้ความอวบอิ่มหยาดเยิ้มดูจะเพิ่มมากขึ้น เอวคอดส่ายสะบัดตามท่วงทำนองและบทเพลงปลุกเร้า ประกอบกับความหยุ่นนุ่มที่เสิร์ฟให้ถึงมือและปาก ก็แทบทำให้เขาไม่สามารถเก็บกดความเป็นชายไว้ได้อีกต่อไป “ขึ้นห้องกันเถอะ พะ..พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” หญิงสาวที่ยึดตักแกร่งของเขาเป็นที่นั่ง แหงนหน้าหัวเราะอย่างใส่จริตพลางบดเบียดบั้นท้ายสัมผัสสิ่งเร้าที่อยู่ด้านล่างอย่างเย้ายั่ว ก่อนจะเคลื่อนกายยักย้ายส่ายสะโพกตรงไปยังจุดที่เขาคิดจะปีนไปให้ถึง ทว่าดวงตาหวานที่แต่งแต้มงดงามก็ยังไม่วายหันมาเชิญชวนและกระดิกนิ้วเรียก ก่อนจะเคลื่อนย้ายนิ้วน้อยๆ นั้นเข้าสู่อุ้งปาก และดูดดึงราวเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา ชายหนุ่มนั่งมองตาค้
“แล้วไงครับ วันนี้แขกคนสำคัญของดาไม่มาเหรอ ดาถึงได้เจียดเวลามาคุยกับผมได้” คำพูดเหมือนจะงอนๆ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยอกเย้า “เอ..ผู้กำกับไปราชการต่างจังหวัดคะ ส่วนเฮียกรยังไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มานะคะ” เสียงตอบรวนๆ ปนงอน เมื่อคนถามไม่ได้แสดงความหึงหวงแถมยังมาหยอกเย้าถึงแขกขาประจำของเธอเสียอีก แขกประจำของเธอ รู้กันดีว่ามีเพียง 3 คน เพราะนอกนั้นลินลดาลาขาดที่จะรับคนอื่นเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่าเธอแก่แล้ว ทว่าก็ยังมีแขกขาจรและขาประจำอีกมากที่ยินดีจะทุ่มให้ถ้าเธอยอม แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครๆ ก็คงสู้แรงทุ่มของภควัฒน์ไม่ไหว สุดท้ายแขกขาประจำของเธอก็คงเหลือ 3 คนเหมือนเดิมสำหรับผู้กำกับบัญชาและเสี่ยพงศกรเป็นแขกที่เธอขอไม่ให้ภควัฒน์เข้ามาก้าวก่าย เพราะว่ากิจการของเธอต้องการคนมีสีมาคุ้มครอง และเสี่ยพงศกรก็ยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทางด้านการเงินจนทำให้เธอมีทุกวันนี้ ซึ่งภควัฒน์ก็เข้าใจและจะไม่ยุ่งหาก 1 ตำรวจและ 1 เสี่ยนี้จะมา แต่จะว่าไม่ยุ่งก็ไม่ได้เพราะหาก 2 หนุ่มเหลือน้อยทั้งสองคนนั้นเปิดศึกชิงเธอกันเมื่อไร สุดท้ายแล้วภควัฒน์ก็จะได้ไปทุกครั้ง“งั้น.. คืนนี้ ดาไ
เสียงเพลงปลุกเร้าอารมณ์ที่ดังลอดออกมาจนถึงบานประตูใหญ่ดั่งใครกำลังครวญครางกับกิจกรรมหฤหรรษ์ในยามค่ำคืน ส่งผลชายหนุ่มมากหน้าหลายตาต้องชะงักหยุดเดินก่อนที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านใน ชายร่างใหญ่สองนายยืนคุมอยู่บริเวณประตูทำหน้าที่ตรวจบัตรประจำตัวเพื่อไม่ให้เดือดร้อนหากมีการจับกุมของเจ้าหน้าที่“นายอายุถึง 18 หรือเปล่า”แววตาใสซื่อหันมาถาม นุติถึงกับสะอึกรับมุขดอกนี้ของเจ้านายไม่ทันมือเกาศีรษะตัวเองไปมาเพราะไม่ทันที่จะตอบและก็ไม่ทันที่จะรั้งเจ้านายไว้ได้ทัน เมื่อคนที่ทำให้งงนั้นเปิดประตูรถและเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในทิศทางของเสียงเพลง โดยไม่รอเขาสักนิด แถมฝ่ามือนั้นยังเหวี่ยงมาข้างหลังทำท่าจะกดรีโมตล็อครถ นุติรีบถลาลงจากรถตาหูเหลือกก่อนจะรีบถลันตามเจ้านายที่ถึงจะหล่อจนสาวละลายแต่ก็เอาแต่ใจ “ฉิบ” อย่างฉุดไม่อยู่“จับมือฉันไว้ถ้ากลัวหลง”นุติถลึงตามองภคินที่ยังเล่นไม่เลิกอย่างงอนๆ ยามอยู่ในบริษัท เขาเห็นภคินเป็นเจ้านายที่ดีพร้อม ทั้งเก่งทั้งฉลาดรอบรู้เรื่องราวได้สารพัด แต่ในยามหน้าที่หมดไป ภคินก็คือเพื่อนที่ยังติดต่อกันอยู่จนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขากับภคินนั้นเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต
“เดี๋ยวซิครับคุณดา จะให้เกียรตินั่งคุยกันสักครู่ได้ไหมครับ”“ขอเป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะ วันนี้ดาไม่สะดวกแล้วน่ะค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ”“ครับ..ผมเข้าใจ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะเป็นของผม”ดวงตาคมเข้มที่ส่งมามันฉายแววปรารถนาไว้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เธอเห็น ทว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 5 ปี ในฐานะที่เป็นแม่เล้า และ 4 ปีก่อนหน้านั้นในฐานะของลูกเล้า มันทำให้เธอแยกแยะออกว่า แววตาที่ปรารถนากับแววตาที่อยากลองของยากๆ สักครั้งมันเป็นอย่างไร และทั้งสองอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในแววคมเข้มนั้นเลยสักนิด สิ่งที่เธอเห็นมันกลับเป็นแววถือดีอยากเอาชนะเสียมากกว่าร่างอวบอิ่มที่เดินจากไปทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้เขาฉุกคิด เพราะความไม่สะดวกของเธอนั้นเหมือนจะยิ้มรอท่าอยู่ในมุมหนึ่ง มุมประจำของบิดาคือสิ่งที่นุติกระซิบบอก ผู้หญิงคนนั้นทิ้งผู้ชายอย่างเขาเพื่อยอมรับความไม่สะดวกในสิ่งที่บิดาเขาหยิบยื่นอย่างนั้นหรือ มุมปากยกยิ้มอย่างถือดี เมื่อฉุกคิดได้ว่า“ลินลดา เธอบินได้สูงดีทีเดียว”...“ลิล..ลิล..ลิลลี่ เอ๊ย! อยู่ข้างบนหรือเปล่าลูก”เสียงยายเรียกดังมาจากใต้ถุนเรือนทำให้ลลิลละสายตาขึ้นจากหนังสือเรียน ก่อนจะลุกขึ้นยืดแขนยืดขาเ