เพราะฉันมองเห็นเวลาตายที่นับถอยหลังเหนือศีรษะของญาติพี่น้อง ครอบครัวจึงมองว่าฉันเป็นตัวโชคร้าย ฉันบอกเวลาตายของคุณปู่ พ่อ และแม่ พวกเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุต่างๆ ภายในวันเดียวกัน พี่ชายทั้งสามคนเชื่อว่าเพราะคำสาปแช่งจากปากของฉัน เป็นสาเหตุทำให้พวกเขาตาย จึงเกลียดชังฉันอย่างที่สุด ส่วนน้องสาวที่แม่ตายระหว่างคลอด กลับเติบโตมาท่ามกลางความรักและการเอาใจใส่ พี่ชายบอกว่าน้องสาวเป็นดาวดวงน้อยที่นำโชค ตั้งแต่เธอเกิดมาทุกอย่างในบ้านก็ราบรื่น แต่แม่ก็ตายเพราะคลอดน้องนี่นา ในวันเกิดอายุสิบแปดของฉัน ฉันมองเห็นการเวลาตายของตัวเองผ่านกระจก ฉันซื้อโกศใส่อัฐิที่ชอบให้ตัวเอง แล้วทำอาหารเตรียมไว้เต็มโต๊ะ หวังจะกินมื้อสุดท้ายร่วมกับพี่น้อง แต่จนกระทั่งเวลานับถอยหลังสิ้นสุด ก็ไม่มีใครโผล่มาสักคน...
View Moreวันถัดมาพวกเขาส่งร่างของฉันเข้าเมรุเผาศพตามที่ฉันต้องการ แถมยังเป็นเตาเผาแบบหรูหราด้วยฉันตามร่างของตัวเองเข้าไปในเตาเผา มองดูร่างกายถูกเปลวไฟโอบล้อม ค่อยๆ มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านระหว่างการเผา ฉันเหมือนได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากด้านนอกฉันไม่ได้สนใจมากนัก แค่คิดว่าในที่สุดก็จะได้อยู่ในโกศที่ตัวเองเลือกไว้ฉันคิดว่าถ้าพวกเขาไม่เข้าใจความต้องการของฉัน ฉันก็จะเข้าฝันไปหลอกหลอนพวกเขาสักหน่อยโชคดีที่ทุกอย่างราบรื่น เพราะฉันเองก็ไม่อยากมีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้วเจียงเฉิ่งอุ้มโกศของฉันเดินไปที่สุสาน ฉันมองไปรอบๆ ไม่เลวเลย เป็นสถานที่ที่มีภูเขาและแม่น้ำสวยงามเขาลูบรูปถ่ายของฉัน ริมฝีปากขยับ เมื่อฉันเข้าไปใกล้ถึงได้ยินคำพูดเบาๆ ว่า "ขอโทษ"คำขอโทษจะมีประโยชน์อะไร? ในเมื่อฉันไม่รู้สึกอะไรกับคนพวกนี้แล้วอีกอย่าง ฉันก็ตายไปแล้ว ถ้าอยากขอโทษจริงๆ เอาไว้พวกเขาตายแล้วค่อยตามมาขอโทษแล้วกันไม่รู้ทำไม วิญญาณของฉันถึงยังคงล่องลอยอยู่ไม่ไกลจากครอบครัวเจียง วนเวียนจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งหรือว่าคนที่ตายไปแล้วจะเป็นแบบนี้หมด? ฉันไม่รู้อะไรเลยฉันเห็นเจียงเฉิ่งตั้งมูลนิธิในนามของฉั
เจียงอวี้ซุกหน้าในผ้าพันคอ ร่างกายสั่นเทาเบาๆเขาเห็นฉันเก็บเศษชิ้นส่วนเหล่านี้จากถังขยะ ตอนนั้นเขายืนอยู่ข้างหลังฉันพลางเยาะเย้ยถากถาง"พังแล้วก็คือพัง ต่อให้ประกอบกลับยังไง มันก็กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว"คำพูดของเขามีนัยยะแอบแฝง ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ มือที่กำผ้าพันคอค้างแข็งกลางอากาศ แต่สุดท้ายก็ดื้อดึงเอามันติดตัวไปเสียงร้องไห้ต่ำๆ ดังมาจากในห้องนอน เจียงเฉิ่งกับเจียงเช่อยืนพิงประตูมองเข้าไปในห้องพวกเขาดูเหมือนจะเห็นภายในห้องของฉันเป็นครั้งแรก มันทั้งแคบและมืดทึบเจียงเช่อดูจะตกตะลึง เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ของฉันมาก่อนเขาเดินมาที่ตู้เสื้อผ้าของฉัน ตู้เล็กๆ ที่ค่อนข้างเก่า ข้างในเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดของฉันทุกอย่างที่นี่ผ่านกาลเวลามาพอสมควร ยกเว้นเตียงเล็กๆ ตรงกลางห้องมันเป็นเตียงที่เปลี่ยนหลังจากที่ครั้งหนึ่งเตียงพังตอนกลางดึก มีเศษไม้แหลมทะลุผ่านผ้าปูที่นอนและเบาะที่ขาดจนทิ่มเข้าร่างกายฉันจนถึงตอนนี้ ที่เอวฉันอาจจะยังมีเศษไม้ที่ไม่ได้เอาออกหลงเหลืออยู่ก็ได้"สิบกว่าปีเลยนะ พวกเราเข้าใจเธอผิดมาสิบกว่าปี""เธอน่าจะได้เติบโตอย่างมีความสุขและแข็งแรงในฐานะคุณหนูตระ
คุณหมอสาวที่ใจดี พนักงานต้อนรับที่ร้านถ่ายรูป และเจ้าของร้านขายซาลาเปาพวกเขาเคยปลอบประโลมจิตใจของฉันขณะที่ฉันกำลังเหม่อลอย สมาชิกที่เหลือของตระกูลเจียงก็ทยอยเดินทางมาถึงเจียงเฉิ่งที่ได้ยินเสียงก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาเหมือนปกติเจียงฝูเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ไม่นานน้ำตาก็เอ่อล้นขอบตา"พี่สาว... พี่สาว ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"เสียงสั่นเครือที่แฝงด้วยการสะอื้นทำให้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บปวดเจียงเช่อโอบเธอเข้าไปในอ้อมกอดพลางปลอบเบาๆ "ฝูฝู อย่าร้องไห้ ทุกคนต่างมีชะตากรรมของตัวเอง"ชะตากรรมบ้าบออะไร!ฉันไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม แต่บางครั้งชะตากรรมก็ชอบเล่นตลกกับฉัน ทำให้ฉันกลายเป็นตัวอัปมงคลฉันเห็นรอยยิ้มแอบแฝงที่มุมปากของเจียงเช่อ เขากำลังยิ้ม ดูเหมือนจะดีใจที่ฉันตายร่างของฉันถูกพวกเขาล้อมไว้ บางทีอาจเป็นเพราะเห็นรูปถ่ายและโกศอัฐิของฉัน พวกเขาจึงเงียบไปพักใหญ่เจียงเฉิ่งพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง "ตอนบ่าย เจียงหว่านโทรมาคุยกับฉัน""เธอบอกว่าตัวเองกำลังจะตาย อยากให้พวกเรากลับมากินข้าวมื้อสุดท้ายด้วยกัน"เขามองไปที่เจียงอวี้ "เธอได้บอกพวกนายไหม?"เจียงอวี้แสดงท่าทีประหม่าอย่างที่ไม่เค
ตอนที่จิตวิญญาณลอยขึ้นมาจากร่าง ฉันยังสงสัยว่าทำไมฉันมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เมื่อเห็นร่างของตัวเองที่นอนคว่ำอยู่บนโต๊ะและไม่มีลมหายใจแล้ว ฉันถึงได้ตระหนักว่า...อ๋อ ฉันตายแล้วนี่เองเสียงจากประตูดึงดูดความสนใจของฉัน พอหันไปมองจึงพบว่าคนรับใช้กลับมาแล้วความหวังสุดท้ายในใจมลายหายไป พวกเขาไม่ได้กลับมาคนรับใช้ตกใจเมื่อเห็นฉันนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ และมีรูปถ่ายงานศพตั้งอยู่ข้างๆเมื่อเห็นชัดเจนแล้ว เธอก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ยื่นมือสั่นเทาไปวางที่จมูกฉัน จากนั้นสีหน้าก็ซีดขาวแล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียงเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก น้ำเสียงที่สั่นเทาแสดงถึงวิตกกังวล"ฮัลโหล! สวัสดีค่ะ ที่นี่มีคนตาย... ใช่ค่ะๆ ที่อยู่คือ..."หลังจากวางสาย เธอก็ตบอกด้วยความโล่งใจ แอบมองฉันอีกครั้งแล้วหันหลังไปทันใดนั้น เธอดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าดูลำบากใจเล็กน้อยหลังจากลังเลสักครู่ เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกอีกครั้ง"คุณชายใหญ่..."เธอค่อยๆ เดินห่างออกไป ฉันไม่สนใจและไม่ได้ตามเธอไปไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอกลับเข้ามาอีกครั้ง พนมมือพึมพำอะไรบางอย่างตรงหน้าร่างของฉันมีเสียงแปลกๆ ดังมาจา
หลังจากที่พูดประโยคที่เก็บไว้ในใจออกมา ฉันก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแต่ก่อนคิดว่าตัวเองมองความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนนี้กลับอยากจะมองดูโลกใบนี้ให้เต็มตาอีกครั้งห้องเงียบลง เงียบจนได้ยินแต่เสียงหายใจอันกระชั้นชิดของตัวเองตอนที่ฉันคิดว่าเขาคงไม่พูดอะไรแล้ว เขากลับเอ่ยคำพูดที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น"เจียงหว่าน เธอคิดว่าการพูดโกหกแบบนี้จะทำให้พวกเราสงสารเธอเหรอ?""เพื่อให้พวกเรากลับไปหา เธอไม่คิดจะเลือกวิธีเลยสินะ คิดว่าพวกเรายังหลอกง่ายเหมือนตอนเธอเด็กๆ อยู่หรือไง?""อย่าลืมสิว่าพ่อแม่กับคุณปู่ตายได้ยังไง"หัวใจฉันเหมือนตกลงไปในเหวลึก ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ!ฉันตะโกนอย่างสิ้นหวังอยู่ในใจ แต่ปากกลับพูดอะไรไม่ออกน้ำตาสองสายไหลผ่านในหน้า หยดลงสู่พื้นฉันเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกควบคุม ได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า "ฉันไม่ได้โกหก ขอร้องล่ะ ได้โปรดเถอะค่ะ แค่ครั้งสุดท้ายเอง ได้ไหมคะ?”โทรศัพท์ถูกวางสาย ก่อนเสียงจะหายไป ฉันคล้ายได้ยินเจียงฝูหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่อีกฝั่ง เอ่ยเรียกพี่ชายเสียงดังความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าฉันนั่งแข็งทื่ออยู่ที่โต
ร่างกายของฉันแข็งค้างทันที เจียงฝูอีกแล้วเหรอฉันเดาได้แล้วว่าคนที่โทรมาเมื่อกี้คือใคร คงเป็นพี่ชายคนรอง เจียงอวี้ก็คงงั้น ฉันเป็นตัวอัปมงคลมาตั้งแต่เด็ก ไม่งั้นจะสาปให้ครอบครัวตัวเองตายได้ยังไงพอนึกถึงวิธีการของเจียงเช่อ ฉันก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ตอนที่แม่เพิ่งเสียชีวิตใหม่ๆ มีคุณหมอใจดีคนหนึ่งส่งฉันกลับบ้านฉันถูกเจียงเช่อขังเอาไว้ในห้องเก็บของเล็กๆ ของบ้านเป็นเวลาสามวันเต็มๆ แล้วยังต้องอดข้าวอดน้ำด้วยเรื่องนี้ยังคงเป็นบาดแผลในวัยเด็กของฉันจนถึงตอนนี้ในวันที่สาม ตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย พี่ใหญ่เจียงเฉิ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันราวกับเทพเจ้าเขาปล่อยฉันออกมาแม้จะไม่สนใจใยดีหรือดูแลอะไรฉัน แต่ตลอดหลายปีมานี้ เขาปฏิบัติกับฉันดีที่สุดแล้วคงจะได้ยินเรื่องที่ฉันพูดเมื่อเช้านี้แล้วสินะเจียงเช่อเห็นว่าฉันไม่พูดอะไรสักที คงคิดว่าการข่มขู่ของเขาทำให้ฉันกลัว เขาโน้มตัวมากระซิบข้างหู น้ำเสียงเบาหวิว"เธอรู้ดี ด้วยความสามารถของฉัน การจะทำให้ใครสักคนหายตัวไปน่ะง่ายนิดเดียว"ม่านตาฉันสั่นไหว มองเขาเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยร่างกายที่แข็งทื่อฉันค่อยๆ เดินไปยังจุดหมายเดิมที่ตั
ฉันมองพวกเขาค่อยๆ เดินห่างออกไป ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจก่อนหน้านี้พลันเย็นเฉียบถึงขีดสุด ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งเขามองฉันเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอดเลยเหรอ? เหมือนฉันเป็นคนชั่วร้ายหรือฆาตรกรทำนองนั้นหัวใจเจ็บแปลบ ขณะเดียวกันท้องก็หิวด้วย ฉันเข้าไปในครัวเพราะอยากหากินอะไรสักหน่อย แต่ในครัวกลับไม่มีอะไรเลย เหลือแค่หมั่นโถวแห้งๆ ครึ่งลูกบนโต๊ะฉันหยิบซาลาเปาขึ้นมา ทุบเปลือกวอลนัทสองลูกกิน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อิ่มท้องคนรับใช้เดินผ่านมา พอเห็นฉันก็กลอกตาใส่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นพอเห็นหมั่นโถวในมือฉัน เธอก็แกล้งทำเป็นอุทานด้วยความตกใจ"ตายจริง! คุณหนูกินอันนั้นเข้าไปแล้วเหรอคะ? นั่นมันของที่จะเอาไปทิ้งนะคะ""น่าเสียดายที่คุณชายกับคุณหนูฝูฝูตื่นเช้า พวกเราก็เลยทำอาหารเตรียมเอาไว้นานแล้ว ถ้าคุณหนูอยากทานอะไร เดี๋ยวดิฉันไปทำให้ใหม่ก็ได้นะคะ"สีหน้าท่าทางลำบากใจเสียเต็มประดาของคนรับใช้ทำให้ฉันขมวดคิ้วฉันทำหน้านิ่งแล้วปฏิเสธออกไป อดกลั้นความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาในท้อง แล้วกลับเข้าห้องไปอีกครั้งบ้านหลังนี้ไม่มีที่ของฉัน ขนาดพวกคนรับใช้ก็ยังพูดจาประชดประชันใส่ฉันความเจ็บปวดแสบร้อนในกระเพาะ
พี่ชายทั้งสามคนรักและดูแลน้องสาวคนเล็กอย่างดี แต่กลับหลีกเลี่ยงฉัน แม้แต่คนรับใช้ในบ้านก็ปฏิบัติต่อฉันแบบไม่ใส่ใจฉันมักจะต้องทนหิวจนนอนหลับไป แต่ก็ยังเติบโตจนอายุสิบแปดปีได้พี่ชายคนที่สามมักพูดว่าฉันเป็นตัวอัปมงคลที่จะสร้างความหายนะไปอีกพันปีฉันก็คิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะฉันเลวร้ายเกินไป ถึงได้ไม่ตายเสียทีฉันลุกจากเตียง สวมรองเท้าแตะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าผมแห้งกรอบเป็นสีซีด ใบหน้าผอมซูบ ไม่มีใครเดาได้หรอกว่านี่คือลูกสาวคนโตของตระกูลเจียงแต่ฉันไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เพราะฉันเห็นเลขนับถอยหลังบนศีรษะของตัวเองสะท้อนผ่านกระจก เลขนับถอยหลังสีแดงสดปรากฏชัดเจนเหนือศีรษะของฉันในที่สุดวันนี้ก็มาถึงฉันอยากจะหัวเราะ แต่ได้แค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยฉันวางแก้วน้ำในมือลงเงียบๆ มองตัวเองในกระจกพลางครุ่นคิดฉันไม่มีเพื่อน คนที่ติดต่อด้วยก็มีน้อยนิด วันสุดท้ายนี้ ควรจะใช้เวลาอย่างไรดีฉันคิดอยู่นาน ค่อยๆ จัดการตัวเองเสร็จแล้วลงมาจากห้องใต้หลังคาที่ฉันอาศัยอยู่ส่วนห้องเดิมของฉัน ถูกเปลี่ยนเป็นห้องแต่งตัวของน้องสาวตั้งแต่เธอเกิดมาแล้วฉันเคยมองผ่านหน้าต่างเล็กๆ ในห้องใต้หลังคา เห็นเด็
ตั้งแต่เด็กฉันมองเห็นเวลาตายที่นับถอยหลังเหนือศีรษะของคนอื่นเมื่อฉันเห็นตัวเลขเหนือศีรษะคุณปู่เป็นครั้งแรก ฉันก็เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่พวกเขาแค่ยิ้มๆ คิดว่าเป็นคำพูดไร้เดียงสาของเด็ก จึงไม่ได้ใส่ใจวันต่อมา เมื่อได้เจอกับคุณปู่อีกครั้ง ท่านก็นอนอยู่บนเตียงและมีผ้าขาวคลุมร่างแล้วหลายคนร้องไห้เสียใจ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรต่อมาฉันก็เห็นเวลานับถอยหลังบนศีรษะพ่อเมื่อฉันบอกพ่อ รอยยิ้มของท่านก็แข็งค้างไปชั่วครู่แล้วกลับมาเป็นปกติคืนนั้น ฉันไม่ได้เจอพ่อที่เลิกงานกลับจากบริษัทได้ยินแค่เสียงโทรศัพท์ดังสนั่นเหมือนมีเรื่องเร่งด่วนหลังจากแม่รับสาย สีหน้าของแม่ก็ซีดเผือดตอนนั้นท้องของแม่โตมากแล้ว แม่วิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดล้มที่บันไดหน้าประตูบ้านตอนนั้นเอง ฉันเห็นเวลานับถอยหลัง 24 ชั่วโมงอันแสนคุ้นตาปรากฏเหนือศีรษะแม่วันนั้น น้องสาวคลอดออกมา แม่เสียเลือดมากและช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ทัน ฉันยืนงงอยู่หน้าห้องผ่าตัดพี่ชายคนที่สามผลักฉันล้ม บอกว่าฉันเป็นปีศาจ ฉันเป็นคนที่สาปแช่งพวกเขาฉันทำให้พ่อกับแม่ตายฝ่ามือครูดไปกับพื้นเย็นเฉียบ มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อยฉันเจ็บ
ตั้งแต่เด็กฉันมองเห็นเวลาตายที่นับถอยหลังเหนือศีรษะของคนอื่นเมื่อฉันเห็นตัวเลขเหนือศีรษะคุณปู่เป็นครั้งแรก ฉันก็เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่พวกเขาแค่ยิ้มๆ คิดว่าเป็นคำพูดไร้เดียงสาของเด็ก จึงไม่ได้ใส่ใจวันต่อมา เมื่อได้เจอกับคุณปู่อีกครั้ง ท่านก็นอนอยู่บนเตียงและมีผ้าขาวคลุมร่างแล้วหลายคนร้องไห้เสียใจ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรต่อมาฉันก็เห็นเวลานับถอยหลังบนศีรษะพ่อเมื่อฉันบอกพ่อ รอยยิ้มของท่านก็แข็งค้างไปชั่วครู่แล้วกลับมาเป็นปกติคืนนั้น ฉันไม่ได้เจอพ่อที่เลิกงานกลับจากบริษัทได้ยินแค่เสียงโทรศัพท์ดังสนั่นเหมือนมีเรื่องเร่งด่วนหลังจากแม่รับสาย สีหน้าของแม่ก็ซีดเผือดตอนนั้นท้องของแม่โตมากแล้ว แม่วิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดล้มที่บันไดหน้าประตูบ้านตอนนั้นเอง ฉันเห็นเวลานับถอยหลัง 24 ชั่วโมงอันแสนคุ้นตาปรากฏเหนือศีรษะแม่วันนั้น น้องสาวคลอดออกมา แม่เสียเลือดมากและช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ทัน ฉันยืนงงอยู่หน้าห้องผ่าตัดพี่ชายคนที่สามผลักฉันล้ม บอกว่าฉันเป็นปีศาจ ฉันเป็นคนที่สาปแช่งพวกเขาฉันทำให้พ่อกับแม่ตายฝ่ามือครูดไปกับพื้นเย็นเฉียบ มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อยฉันเจ็บ...
Comments