แสงจันทร์ส่องผ่านเมฆบางเบา ทำให้คืนที่มืดมิดดูไม่มืดมนเท่าไรนัก ซาเอบะและหลินหลินยังคงวิ่งต่อไปบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่า พวกเขารู้ดีว่าเวลาของพวกเขามีน้อย เพราะเสียงสัญญาณเตือนจากคลังอาวุธของโทโมะได้ดังก้องไปทั่ว และไม่ช้าก็เร็วพวกของโทโมะจะตามมาถึง “เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่โดยเร็ว” ซาเอบะพูดขณะหันมามองหลินหลินที่วิ่งอยู่ข้างๆ เขา หลินหลินพยักหน้าแม้จะหอบเหนื่อย ทั้งสองรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถหยุดพักได้ในตอนนี้ ขณะที่วิ่ง หลินหลินก็เหลือบมองไปที่แฟลชไดร์ฟที่อยู่ในกระเป๋าของเธอ ภายในนั้นมีข้อมูลสำคัญที่อาจช่วยพวกเขาได้ในการโค่นโทโมะ แต่ยังไม่มีเวลาให้พวกเขาตรวจสอบหรือวางแผนใดๆ “ซาเอบะ เราจะไปทางไหนต่อ?” หลินหลินถามอย่างกังวล “ที่ปลอดภัยที่สุดตอนนี้คือที่สำนักงานของฉัน” ซาเอบะตอบ “แต่เส้นทางไปยังตัวเมืองยังอีกไกล และเราต้องผ่านพื้นที่ที่อาจมีคนของโทโมะซุ่มอยู่” หลินหลินถอนหายใจเบาๆ “ถ้าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับพวกมันอีก ฉันไม่มั่นใจว่าจะไหว…” ซาเอบะหยุดวิ่งและหันมามองหลินหลิน เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “เธอทำได้ดีมาก หลินหลิน ตอนนี้เราก็ต้องก้าวต่อไป เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ” “แต
เมื่อซาเอบะและหลินหลินเข้าใกล้สำนักงานนักสืบที่ตั้งอยู่ในย่านเงียบสงบของตัวเมือง บรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไปจากการเผชิญอันตรายกลางป่ามาเป็นความเงียบที่เย็นเยือก ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีความเคลื่อนไหวของผู้คนในบริเวณนั้น ทั้งสองคนเริ่มรู้สึกถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบงันนี้“รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปไหม?” หลินหลินถามพลางเหลือบมองไปรอบๆ หวาดระแวงถึงอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ซาเอบะยืนนิ่งครู่หนึ่ง ใช้สายตาสอดส่องทั่วบริเวณก่อนตอบ “ใช่ มันเงียบเกินไป… แต่เราไม่มีทางเลือก เราต้องไปต่อ”ทั้งสองค่อยๆ ย่องไปยังสำนักงานของซาเอบะที่ตั้งอยู่ในมุมของถนนเล็กๆ แสงไฟนีออนสีเหลืองจากร้านค้าในละแวกนั้นยังคงส่องสว่าง แต่ไม่มีร่องรอยของผู้คน ซาเอบะหยุดที่มุมตึกก่อนจะหันไปมองหลินหลิน “รออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปดูว่าในสำนักงานปลอดภัยหรือไม่”“นายแน่ใจนะ?” หลินหลินถามด้วยความกังวล“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเสี่ยงโดยไม่จำเป็น” ซาเอบะตอบก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปใกล้ประตูสำนักงาน นักสืบหนุ่มใช้ทักษะที่เขาฝึกฝนมาหลายปีในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่มีร่องรอยที่บ่งบอกว่ามีใครแปลกปลอมเข้ามาในสำนักงาน เขาหันกลับไปพยั
ซาเอบะและหลินหลินพุ่งตัวขึ้นไปบนบันไดเหล็กแคบ ๆ ที่ทอดตัวสู่หลังคาตึกอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของคนไล่ล่าดังก้องอยู่เบื้องล่าง ในใจของทั้งคู่ไม่มีเวลาสำหรับความกลัวหรือลังเลใด ๆ พวกเขารู้ดีว่าหากพลาดเพียงเสี้ยววินาที ชีวิตของพวกเขาอาจจะจบลงได้ในที่แห่งนี้“ขึ้นไปเร็ว!” ซาเอบะหันมามองหลินหลินที่กำลังปีนตามหลังเขาอย่างไม่ลดละ เขาดึงมือเธอขึ้นมาเมื่อถึงจุดที่บันไดจบลงบนหลังคา ด้านบนเป็นพื้นที่แคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยท่อเหล็กและถังน้ำลมเย็นจากความสูงปะทะใบหน้าของทั้งสองคน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำหนาทึบ สถานการณ์เหมือนทุกอย่างกำลังจะระเบิดออกมาในไม่ช้า“เราจะไปทางไหนต่อ?” หลินหลินถามเสียงหอบ“ไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว เราต้องหาทางหนีออกไปให้ได้ก่อนที่พวกมันจะตามขึ้นมา” ซาเอบะตอบ เขากวาดสายตามองหาทางลงจากตึกนี้อย่างรวดเร็วเสียงฝีเท้าและคำสั่งตะโกนดังก้องขึ้นมาจากบันได เสียงปืนดังสนั่นจากด้านล่าง เหล่ามือปืนของโทโมะเริ่มกราดยิงขึ้นมาเพื่อบีบให้ทั้งสองคนจนมุม ซาเอบะพาหลินหลินหมอบลงหลังถังน้ำเพื่อหลบกระสุนที่บินว่อนไปทั่ว“ซาเอบะ!” หลินหลินเรียกเสียงสั่นเล็กน้อย“ใจเย็น ๆ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรแน่
ซาเอบะและหลินหลินพยายามเร่งฝีเท้าลงบันไดหนีไฟอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม เสียงฝีเท้าของคนไล่ล่าดังไม่ไกลจากพวกเขา แต่ทุกก้าวที่ทั้งคู่ก้าวลงไปก็หมายถึงการเข้าใกล้ทางรอดมากขึ้นหลินหลินพยายามรวบรวมสติ มือเธอกำราวบันไดแน่น ขณะที่ซาเอบะคอยระวังข้างหลังตลอดเวลา เมื่อถึงชั้นล่างสุด เขาผลักประตูเหล็กที่เปิดออกไปสู่ตรอกมืด ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอับของความชื้น“ออกมาได้แล้ว!” ซาเอบะเร่ง พร้อมกับจับมือหลินหลินออกไปจากบันไดหนีไฟ ข้างนอกเป็นตรอกแคบ ๆ ที่ถูกล้อมด้วยตึกสูง พวกเขาพยายามหาทางมุดออกไปจากตรอกนี้ให้ได้เร็วที่สุดแสงไฟจากหน้าต่างด้านบนส่องสลัว ๆ พอให้มองเห็นทางเดิน แต่ก็มีความเงียบสงัดที่แฝงด้วยความอันตราย“เราจะไปที่ไหนต่อ?” หลินหลินถาม ขณะที่วิ่งตามซาเอบะไป พยายามหาทางหลบซ่อนซาเอบะคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจ “เราไปที่พักของเธอเถอะ มันน่าจะปลอดภัยกว่าที่อื่น ถ้าเราอยู่ในที่ที่คนรู้จักเรา อาจจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการถูกจับได้”หลินหลินหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “ฉันมีที่ซ่อนตัวที่ค่อนข้างปลอดภัย ซึ่งไม่น่าจะมีใครรู้จัก นั่นคือห้องที่แม่ของฉันให้เช่าอยู่ในแถบชานเมือง”
เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงค่ำ หลังจากที่ทั้งสองได้วางแผนในห้องพักของหลินหลินมาหลายชั่วโมง สภาพอากาศที่อบอ้าวทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า ซาเอบะหันไปมองหลินหลินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน แต่แฝงไปด้วยความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม“เราควรพักบ้างนะ หลินหลิน” เขาพูดเบา ๆ ขณะที่ยิ้มให้กับเธอ “อาจจะอาบน้ำและผ่อนคลายสักหน่อย”“ใช่ค่ะ ฉันก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี” หลินหลินตอบ และเธอก็ลุกขึ้นยืนเพื่อไปที่ห้องน้ำซาเอบะมองตามหลินหลินไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจ เขารู้สึกตื่นเต้นและประหม่าในเวลาเดียวกัน ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาเริ่มทำให้เขาตระหนักถึงความรู้สึกที่มากกว่ามิตรภาพหลังจากที่หลินหลินอาบน้ำเสร็จ เธอออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันตัวอยู่ และผมยังเปียกอยู่ที่ปลาย กำลังเช็ดมันให้แห้งก่อนจะรวบขึ้นเป็นทรงง่าย ๆ ดูมีเสน่ห์ในความเรียบง่ายนั้น ซาเอบะรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นเธอ“ต่อไปเป็นทีของฉัน” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้หลินหลิน และเข้าไปในห้องน้ำในขณะที่อาบน้ำ ซาเอบะรู้สึกคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ตั้งแต่แรกที่ได้รู้จักกัน เขาไม่คิดว่าความสัมพันธ์จะพั
หลังจากช่วงเวลาที่พวกเขาได้พักผ่อนในห้องพักของหลินหลินและความรู้สึกที่เริ่มผลิบานในหัวใจของทั้งคู่ ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองต้องเผชิญกับความจริงอีกครั้ง เสียงเคาะเบาๆ ที่หน้าประตูห้องทำให้พวกเขาตื่นตัว หลินหลินขมวดคิ้ว ขณะที่ซาเอบะรีบลุกขึ้นยืน พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครมาเยี่ยมเยือน“ใครกันนะ?” หลินหลินถามอย่างสงสัยซาเอบะส่งสัญญาณให้เธอเงียบ และเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง เขายืนนิ่งอยู่สักครู่ ก่อนจะค่อย ๆ แง้มประตูออกมาดู แต่เมื่อมองผ่านรูเล็ก ๆ เขาก็พบว่าทางเดินนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่ที่นั่น“ไม่มีใครอยู่” เขากระซิบกลับมา“แปลกนะ ฉันได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะชัดเจน” หลินหลินพูดด้วยความงุนงงซาเอบะไม่ปล่อยให้ความประหลาดใจครอบงำความคิดของเขา เขาตัดสินใจเปิดประตูออกมาเต็มที่ และก้าวออกไปยังทางเดินหน้าห้องเพื่อดูรอบ ๆ ทันทีที่เขาออกไป กลิ่นอับของลมหนาวในตอนกลางคืนพัดเข้ามาทันที ทางเดินว่างเปล่า แต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็เริ่มแผ่กระจายอยู่ในอากาศ“ไม่มีอะไรผิดปกติ” ซาเอบะบอกขณะปิดประตูและกลับเข้ามาในห้อง“คุณคิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า?” หลินหลินถาม น้ำเสียงของเธอยังแฝงไปด้วยความกังวล“อ
หลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมงผ่านตรอกซอยต่างๆ ที่เงียบสงัด ทั้งสองคนก็หยุดพักใต้สะพานเล็กๆ ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำ พวกเขานั่งลงบนม้านั่งไม้เก่าๆ หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ในความเหนื่อยนั้นก็แฝงไปด้วยความโล่งใจ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ถูกตามเจอซาเอบะนั่งพิงหลังกับผนังสะพาน ขณะที่หลินหลินนั่งข้างๆ เขา เธอห่อไหล่เพราะความหนาวจากลมเย็นที่พัดผ่าน ซาเอบะสังเกตเห็น เธอดึงเสื้อโค้ทเข้าหาตัวเพื่อสร้างความอบอุ่นมากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมาก“คุณหนาวหรือเปล่า?” ซาเอบะถาม พลางลุกขึ้นถอดแจ็กเก็ตของเขาออกแล้วคลุมให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ คุณใส่ไว้เถอะ” หลินหลินตอบ แต่ซาเอบะไม่ยอม เขาดันแจ็กเก็ตนั้นเข้ามาให้เธอจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ หลินหลินรับมันมาแล้วคลุมตัวไว้ ความอบอุ่นจากเสื้อของซาเอบะค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวเสียงเบา ขณะที่หันไปมองซาเอบะที่กำลังพิงหัวกับผนังและหลับตา“พักซะหน่อยเถอะ” เขาพูดพลางยิ้มบางๆ “เราอาจต้องเดินทางต่ออีกนาน”หลินหลินพยักหน้า แม้เธอจะไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าที่ควร เพราะหัวใจของเธอยังคงเต้นแรงจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา การหลบหนีจากกลุ่มขอ
ซาเอบะกับหลินหลินยืนอยู่หน้าประตูไม้เก่าๆ ที่ค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นชายวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดลายเก่าที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมายาวนาน ใบหน้าของเขายับย่นและมีแผลเป็นหลายจุดที่บ่งบอกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ เขามองซาเอบะด้วยสายตาที่ระแวดระวัง ก่อนจะก้าวออกมาเพื่อทักทาย“ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่านายจะมาหาฉันในสักวัน” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ขณะที่ดวงตาของเขากวาดไปมองหลินหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ ซาเอบะ “แต่ฉันไม่คิดว่านายจะมีเพื่อนร่วมทางมาด้วย”“นี่คือหลินหลิน” ซาเอบะแนะนำ “เธอเป็นคนสำคัญที่ฉันต้องดูแล และตอนนี้เราต้องการความช่วยเหลือจากนาย”ชายคนนั้นพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน “เข้ามาข้างในก่อน” เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ที่นี่ปลอดภัยพอสมควรสำหรับตอนนี้”ซาเอบะกับหลินหลินเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน ห้องที่พวกเขาเข้ามาเป็นห้องรับแขกที่มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ เพียงไม่กี่ชิ้น โต๊ะไม้ตรงกลางเต็มไปด้วยเอกสารและหนังสือกองพะเนิน ซาเอบะมองไปรอบๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ขณะที่หลินหลินนั่งลงข้างๆ เขา“ชื่อของคุณคืออะไรคะ?” หลินหลินถามด้วยความอยากรู้ ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ