แสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องผ่านตึกสูงในเขตใจกลางเมือง ซาเอบะมองกระจกหลังขณะขับรถอยู่บนถนน สายตาเขายังติดอยู่กับภาพของกลุ่มที่เขาเพิ่งจากมา โดยเฉพาะโจ ชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าการร่วมมือกันของพวกเขาจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ความผูกพันที่เกิดขึ้นนั้นกลับลึกซึ้งเกินกว่าที่จะลืมได้ในเวลาอันสั้น“นายแน่ใจแล้วเหรอว่าจะไปคนเดียว?” หลินหลินถามเสียงเบา ขณะที่เธอนั่งข้างๆ เขาในรถ ความสงสัยและกังวลยังคงแฝงอยู่ในน้ำเสียง เธอไม่เคยเห็นซาเอบะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตมากนัก และการที่เขาตัดสินใจจะไปเผชิญหน้าคนเดียวในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจซาเอบะพยักหน้าพลางยิ้มเล็กๆ “มันอันตรายเกินไป ฉันไม่อยากให้เธอและคนอื่นๆ เข้ามาเสี่ยงอีก” น้ำเสียงของเขามีความมุ่งมั่น แต่ในสายตาของหลินหลินกลับมองเห็นความห่วงใยที่แฝงอยู่ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับซาเอบะเช่นกันความทรงจำถึงการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังคงชัดเจน โจและพรรคพวกของเขาเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ซาเอบะผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แม้ว่าทั้งคู่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่พวก
ซาเอบะยืนคุมปืนในมืออย่างมั่นคง สายตาเขาจับจ้องกลุ่มชายชุดดำที่ล้อมรอบเข้ามาอย่างเงียบงัน แม้ความเงียบจะครอบงำพื้นที่โดยรอบ แต่ในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนมีพายุหมุนวนอยู่ในนั้น กลิ่นควันจากรถที่พลิกคว่ำยังลอยคลุ้ง ราวกับเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่จบง่ายๆ “ซาเอบะ ฉันไม่คิดว่านายจะทำให้มันง่ายขนาดนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนในชุดดำ ชายที่ก้าวออกมาจากกลุ่มนั้นเป็นคนที่ซาเอบะรู้จักดี คนที่เขาเคยต่อสู้เคียงข้างในอดีต และคนที่ตอนนี้กลายมาเป็นศัตรูอย่างเต็มตัว ชายคนนั้นคือ โทโมะ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่เคยมีชื่อเสียงในวงการใต้ดิน “โทโมะ…” ซาเอบะเอ่ยชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับปล่อยให้สายตาสำรวจหาช่องทางที่จะหลบหนีออกจากการล้อมนี้ แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มของโทโมะจะเตรียมการมาอย่างดี ทั้งทางซ้ายและขวาต่างมีคนของเขาคอยเฝ้าระวังอยู่ “นายไม่คิดจะพูดอะไรเลยเหรอ? หลังจากทุกสิ่งที่เราผ่านมาด้วยกัน” โทโมะยิ้มเยาะ น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนคนที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับซาเอบะ แต่ซาเอบะรู้ดีว่าทุกคำพูดนั้นเต็มไปด้วยการเสียดสีและความเกลียดชังที่สะสมอยู่ในใจของโทโมะมานาน “ฉันไม่มีอะไรจะพูด นายเลือกเ
ลมจากใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ที่โทโมะยืนอยู่ฟาดแรงจนเสื้อผ้าของซาเอบะสะบัดอย่างรุนแรง เขาจ้องมองศัตรูเก่าของเขาอย่างแน่วแน่ ขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะของโทโมะดังขึ้นกลบเสียงลม เสียงนั้นแสดงถึงความเหนือกว่าที่ชัดเจน ซึ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น“นายคิดจริงๆ เหรอว่าหนีไปจากฉันได้?” โทโมะพูดพร้อมกับหยิบปืนสไนเปอร์จากลูกน้องของเขา โทโมะไม่ใช่คนที่มักจะลงมือเองบ่อยๆ แต่เมื่อถึงคราวสำคัญ เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำซาเอบะกวาดตามองหาช่องทางหนี แม้เขาจะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจและมีประสบการณ์ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในภารกิจที่ยากที่สุดในชีวิต เขาไม่เพียงแต่ต้องปกป้องตัวเอง แต่ยังต้องปกป้องหลินหลินด้วย“นายควรจะยอมแพ้ได้แล้ว ซาเอบะ!” โทโมะตะโกนสั่ง น้ำเสียงที่แฝงด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในมือเขา“ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกโทโมะ” ซาเอบะพูดเสียงต่ำ ขณะที่เขาขยับเท้าอย่างระมัดระวัง รอจังหวะเหมาะๆหลินหลินที่อยู่ใกล้เขาพยายามจะช่วยเหลือ แต่ซาเอบะรีบยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เธอหยุด “อย่าเข้ามาเกี่ยว ฉันจัดการเอง” เขากล่าวอย่างเด็ดขาด สายตาของเขามองไปยังเฮลิคอปเตอร์อย่างแน่วแน่โทโมะยิงปืนสไนเปอร์ลงมาด้วย
ภายในห้องมืด ซาเอบะและโทโมะยังคงยืนประจันหน้ากัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน โทโมะเป็นคู่ปรับที่เก่งกาจ ไม่ใช่แค่ในเรื่องการต่อสู้ แต่ยังในแง่จิตวิทยา เขามักจะใช้คำพูดเพื่อบีบให้ศัตรูเสียสมาธิ“คิดเหรอว่าแผนการของนายจะสำเร็จได้ง่ายๆ” โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ขณะที่เขายิ้มอย่างมั่นใจ “นายประเมินฉันต่ำไปนะ ซาเอบะ”ซาเอบะจ้องโทโมะด้วยสายตาที่นิ่งสงบ แม้ภายนอกจะดูไม่หวั่นไหว แต่ในใจเขารู้ดีว่าโทโมะเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายกว่าที่ใครหลายคนคิด ซาเอบะพยายามรวบรวมสมาธิ เขาต้องคิดหาทางออกโดยไม่ให้ตกอยู่ในแผนของโทโมะ“แผนของฉันไม่ต้องการการยอมรับจากนายหรอก” ซาเอบะตอบกลับสั้นๆ “ฉันมาเพื่อหยุดนาย และฉันจะทำให้สำเร็จ”การสนทนาจบลงทันทีที่โทโมะเริ่มเคลื่อนไหว เขาพุ่งเข้าหาซาเอบะอย่างรวดเร็ว การโจมตีของเขาเฉียบคมและหนักหน่วง ซาเอบะพยายามหลบหลีกและตอบโต้กลับ แต่ก็พบว่าโทโมะสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเขาได้เกือบหมดการต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ทั้งสองแลกหมัดและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในห้องที่แคบ แต่แล้วโทโมะก็พลิกแผนอย่างฉับพลัน เขาดึงมีดเล่มเล็กออกมาจากเสื้อด้านหลัง และฟาดฟันไปทางซาเอบ
เสียงฝีเท้าของพวกสมุนโทโมะที่ใกล้เข้ามาทำให้ซาเอบะรู้ว่าเขามีเวลาไม่มากนัก โทโมะยังคงนอนทรุดอยู่ที่พื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้จากแรงกระแทกที่ซาเอบะพุ่งเข้าหาเมื่อครู่ แม้ว่าโทโมะจะพยายามคว้าปืนของตัวเองขึ้นมา แต่แรงเจ็บจากกระดูกซี่โครงที่ถูกถีบจนหักก็ทำให้มันไม่มีแรงสู้ต่อ ซาเอบะใช้โอกาสนี้ประเมินสถานการณ์รอบตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อหาทางหนี ก่อนจะนึกถึงหลินหลินที่ยังซ่อนตัวอยู่ในอีกมุมของอาคาร“ต้องพาหลินหลินออกไปจากที่นี่ด้วย…” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มือหนึ่งคว้าปืนของโทโมะที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปืนของโทโมะยังมีลูกกระสุนอีกไม่กี่นัดพอให้เขาใช้ป้องกันตัวในสถานการณ์นี้เสียงปืนที่ดังมาจากนอกอาคารทำให้ซาเอบะรู้ว่าเวลาเขาสั้นมากแล้ว เขารีบตรงไปที่ซอกหนึ่งในมุมห้องที่หลินหลินแอบอยู่ เธอตัวสั่นเล็กน้อย แต่สายตาของเธอยังคงเด็ดเดี่ยว พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ซาเอบะยื่นมือไปหาเธอ พร้อมพูดเสียงหนักแน่น“หลินหลิน เราต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ พวกมันมาแล้ว”หลินหลินพยักหน้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอก้าวออกจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว ราวกับเข้าใจถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ ซาเอบะพยายามท
ซาเอบะและหลินหลินนั่งอยู่ในรถเก่า หมุนพวงมาลัยด้วยมือที่สั่นระริก ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปจากที่เกิดเหตุ รถที่พวกเขาขโมยมานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอับและเสียงของเครื่องยนต์ที่เก่าและไม่แน่นอน แต่อิสระภาพที่ได้รับกลับมานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสะดวกสบายใดๆ“เราต้องหาที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยก่อน” ซาเอบะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เขามองไปยังหลินหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ สภาพของเธอดูตึงเครียดและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล“แล้วเราจะไปที่ไหน?” หลินหลินถามขึ้น ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟของเมืองที่ค่อยๆ เลือนลางไป“มีที่หนึ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะปลอดภัย” เขาตอบ “มันอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก แต่เราต้องไปอย่างระมัดระวัง”เมื่อรถเคลื่อนตัวไป ซาเอบะตั้งใจขับไปยังห้องเช่าขนาดเล็กในย่านที่เงียบสงบ สถานที่ที่เขาเคยใช้เป็นที่หลบภัยเมื่อหลายปีก่อน เขารู้ว่าที่นั่นมีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันอาจจะไม่ปลอดภัยตลอดไป“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” หลินหลินถามอย่างสงสัย ขณะเธอมองไปที่ซาเอบะที่มีสีหน้าเคร่งเครียด“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ฉันเคยซ่อนตัวจากผู้ที่ตามล่าฉันในอดีต” เขาอธิบาย “มันเป็นที่ที่ไม่มีใครค
ขณะที่ซาเอบะและหลินหลินซ่อนตัวในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ซาเอบะรู้ดีว่าการหนีจากกลุ่มคนที่ไล่ล่าพวกเขายังไม่จบลง หลินหลินที่ดูเงียบไปบ้างหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงจับมือของเขาแน่น ดวงตาของเธอแสดงความตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีความเชื่อมั่นในตัวเขา “เราต้องวางแผนขั้นต่อไปแล้ว” ซาเอบะกระซิบเบาๆ ขณะที่ตรวจสอบอาวุธของเขา ปืนขนาดกลางที่ยังมีกระสุนพอจะใช้งานได้ไม่กี่นัด สิ่งนี้ทำให้เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้งอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหากไม่มีการเตรียมตัวอย่างดี หลินหลินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราจะทำยังไงต่อดี? พวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่ไหนตลอดเวลา มันเหมือนมีคนตามทุกฝีก้าว” ซาเอบะนิ่งคิด เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คนของโทโมะไม่ใช่แค่กลุ่มนักฆ่าทั่วไป แต่เหมือนมีสายข่าวที่บอกพวกเขาได้ว่าทั้งสองอยู่ที่ไหนตลอดเวลา การถูกติดตามโดยไม่รู้ตัวนี้ทำให้เขานึกถึงอุปกรณ์ที่เขาและหลินหลินใช้อยู่ อาจจะมีสิ่งที่ติดตามพวกเขามาโดยไม่รู้ตัว “เราต้องหาวิธีที่จะลบเงาของเราออกจากสายตาของพวกนั้น” ซาเอบะกล่าวก่อนจะยิ้มให้หลินหลิน “เธอเก่งเรื่องเทคโนโลยีมาก ฉันว่าเธอช่วยได้” หลินหลินที่ดูตึงเครี
หลังจากที่ซาเอบะและหลินหลินหนีออกจากบ้านร้าง ทั้งสองต้องหาทางหลบหนีจากการไล่ล่าของกลุ่มคนที่ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ เวลานี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทิ้งแสงสุดท้ายของวันไว้ พวกเขาทั้งสองเหนื่อยล้า แต่การหยุดพักหมายถึงความตาย พวกเขารู้ดีว่าศัตรูจะตามมาติดๆ ในไม่ช้าซาเอบะพยายามหาทางออกจากตรอกซอยเล็กๆ ที่แคบและมืดสลัวขณะที่หลินหลินคอยสังเกตและฟังเสียงจากด้านหลัง แม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกอ่อนล้า แต่ความกลัวและความตื่นตัวก็ทำให้เธอต้องสู้ต่อ“เราต้องหาทางออกไปจากย่านนี้ก่อน” ซาเอบะพูดขณะมองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีที่ปลอดภัยที่สุด “ฉันคิดว่าเราควรหารถสักคันเพื่อจะหนีไปไกลๆ แต่แถวนี้ไม่ค่อยมีรถที่ใช้ได้เลย”หลินหลินมองไปทางถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก แต่การเดินไปถึงนั้นดูเหมือนจะเสี่ยงเกินไป เพราะมีคนเฝ้ารออยู่ในซอกมุมต่างๆ เธอพยักหน้า “ฉันเห็นด้วย แต่เราต้องระวัง พวกเขาอาจจะคอยดักเราอยู่”ทั้งคู่หลบไปทางถนนซึ่งเป็นทางแยกที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน ซาเอบะสังเกตเห็นรถเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล รถดูทรุดโทรม แต่ก็ดูเหมือนยังใช้งานได้อยู่“นั่นล่ะ รถคันนั้นน่าจะพอช่วยเราได้” ซาเอบะเอ่ยขณะกวาดสายตาดูรอบๆ เพื่อแ