หลังจากที่ซาเอบะและหลินหลินหนีออกจากบ้านร้าง ทั้งสองต้องหาทางหลบหนีจากการไล่ล่าของกลุ่มคนที่ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ เวลานี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทิ้งแสงสุดท้ายของวันไว้ พวกเขาทั้งสองเหนื่อยล้า แต่การหยุดพักหมายถึงความตาย พวกเขารู้ดีว่าศัตรูจะตามมาติดๆ ในไม่ช้าซาเอบะพยายามหาทางออกจากตรอกซอยเล็กๆ ที่แคบและมืดสลัวขณะที่หลินหลินคอยสังเกตและฟังเสียงจากด้านหลัง แม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกอ่อนล้า แต่ความกลัวและความตื่นตัวก็ทำให้เธอต้องสู้ต่อ“เราต้องหาทางออกไปจากย่านนี้ก่อน” ซาเอบะพูดขณะมองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีที่ปลอดภัยที่สุด “ฉันคิดว่าเราควรหารถสักคันเพื่อจะหนีไปไกลๆ แต่แถวนี้ไม่ค่อยมีรถที่ใช้ได้เลย”หลินหลินมองไปทางถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก แต่การเดินไปถึงนั้นดูเหมือนจะเสี่ยงเกินไป เพราะมีคนเฝ้ารออยู่ในซอกมุมต่างๆ เธอพยักหน้า “ฉันเห็นด้วย แต่เราต้องระวัง พวกเขาอาจจะคอยดักเราอยู่”ทั้งคู่หลบไปทางถนนซึ่งเป็นทางแยกที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน ซาเอบะสังเกตเห็นรถเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล รถดูทรุดโทรม แต่ก็ดูเหมือนยังใช้งานได้อยู่“นั่นล่ะ รถคันนั้นน่าจะพอช่วยเราได้” ซาเอบะเอ่ยขณะกวาดสายตาดูรอบๆ เพื่อแ
ซาเอบะและหลินหลินขับรถออกจากตรอกเล็กๆ ที่เกือบจะเป็นหลุมพรางของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย แต่ทั้งสองรู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น พวกเขายังคงถูกไล่ล่า และความตายยังอยู่ไม่ไกลนักดวงไฟข้างถนนสลัวทำให้บรรยากาศยิ่งดูน่าหวาดหวั่น ถนนเบื้องหน้าว่างเปล่าและไร้ผู้คน แต่ซาเอบะไม่อาจวางใจได้ เขารู้ว่าศัตรูของเขามีวิธีตามตัวได้ทุกเมื่อ“ซาเอบะ เราจะทำยังไงต่อไป?” หลินหลินถามเสียงสั่น เธอยังคงหวาดกลัว แม้ว่าจะพยายามควบคุมสติตนเองอยู่ก็ตาม“เราต้องออกจากเมืองนี้ให้ได้ก่อนที่พวกมันจะหาพวกเราเจออีก” ซาเอบะตอบ เขากำพวงมาลัยแน่น มือที่เคยมั่นใจเริ่มสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซาเอบะมองหน้าจอที่แสดงหมายเลขไม่รู้จัก เขารู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังมาถึง แต่ก็ไม่สามารถเมินมันได้ เขารับสาย“คิดว่าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหนล่ะ?” เสียงเย็นชาของโทโมะดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของสายซาเอบะกัดฟันกรอด เขารู้ทันทีว่าโทโมะคงมีแผนลับอยู่เบื้องหลัง “แกจะเอาอะไรอีก โทโมะ?”โทโมะหัวเราะในสาย “แกจะรู้เอง ซาเอบะ…แกไม่มีทางหนีพ้นหรอก ไม่ว่าจะแอบอยู่ที่ไหน ฉันจะเจอแกเสมอ”สายถูกตัดอย่างกระทันหัน
ซาเอบะยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมหนึ่งของห้อง แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวจะสงบเงียบไปแล้ว แต่ภายในใจของเขายังคงเต้นไม่หยุด เหตุการณ์ที่พวกเขาผ่านมานั้นช่างน่าหวาดหวั่นและเสี่ยงอันตราย แต่ในท่ามกลางความเครียดเหล่านั้น เขารู้สึกถึงบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไปเขาหันมองหลินหลินที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ใบหน้าเธอแม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่กลับดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด แสงจันทร์อ่อนๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างบ้านร้างเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าของหลินหลินอย่างชัดเจนมากขึ้น ซาเอบะจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน“เราเจอกับอะไรกันมามากเหลือเกิน” ซาเอบะคิดในใจ เขาพยายามย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาและหลินหลินได้ร่วมฝ่าฟันด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาตัดสินใจช่วยเธอ แม้เขาจะบอกตัวเองอยู่ตลอดว่าเธอเป็นเพียงแค่ภารกิจ แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้วในช่วงเวลานี้ ซาเอบะรู้สึกว่าหลินหลินไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่เขาต้องปกป้อง แต่เธอกลายเป็นคนสำคัญ ที่เขาไม่อาจปล่อยให้ห่างไกลได้เสียงลมหายใจเบาๆ ของหลินหลินทำให้ซาเอบะรู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย เขานั่งมองเธออยู่นาน จนในที่สุดความเหนื่อยล้าที่ก่
หลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาเต็มท้องฟ้าแล้ว ซาเอบะและหลินหลินยังคงพักอยู่ในบ้านร้างที่พวกเขาใช้หลบภัย ความสงบที่แสนหายากทำให้ทั้งสองรู้สึกสบายใจชั่วคราว มันเหมือนกับช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถวางใจได้บ้างหลังจากการไล่ล่าและอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญมานับไม่ถ้วนซาเอบะนั่งพิงกำแพงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาทอดมองออกไปไกล แต่ใจกลับจมอยู่ในความคิดเกี่ยวกับหลินหลิน เขาเฝ้าคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาระหว่างพวกเขา ทุกครั้งที่เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ มันไม่ใช่แค่ภารกิจอีกต่อไป แต่เป็นเพราะบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนหลินหลินนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอค่อยๆ ดึงเสื้อคลุมมาห่มเพื่อป้องกันความหนาว แม้ว่าบรรยากาศจะเงียบสงบ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าการไล่ล่าครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไรก็ตาม ในใจของเธอ เธอรู้สึกอุ่นใจที่ซาเอบะยังคงอยู่ข้างๆ เธอตลอดเวลา“ซาเอบะ คุณคิดว่าเราจะรอดไปได้ไหม?” หลินหลินถามเสียงแผ่ว เธอเงยหน้ามองเขาในขณะที่พยายามหาคำตอบที่ทำให้ใจเธอสงบซาเอบะหันกลับมามองเธอ ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น “เราจะต้องรอด ฉันสัญญา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แม้ว่าเขาจะไม่มั่
เวลาผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากสีส้มอ่อนๆ เป็นสีฟ้าสดใส หลินหลินที่นอนหลับอยู่พิงไหล่ซาเอบะเริ่มขยับตัวเบาๆ ดวงตาของเธอค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ หลังจากได้พักเต็มที่ ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้น แต่เมื่อสายตาหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เธอก็รู้ทันทีว่าซาเอบะไม่ได้นอนเลยตลอดคืน เขานั่งเงียบๆ จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเฝ้าระวังสิ่งที่อาจเกิดขึ้น “คุณไม่ได้นอนเลยเหรอ?” หลินหลินถามด้วยเสียงนุ่มๆ ราวกับเป็นห่วง ซาเอบะหันมาสบตาเธอและยิ้มบางๆ “ฉันไม่อยากให้ใครเข้ามาโจมตีเราโดยไม่ทันตั้งตัว” แม้ว่าเธอจะรู้สึกอุ่นใจที่ซาเอบะคอยปกป้อง แต่ก็รู้สึกผิดที่เขาไม่ได้พักเหมือนเธอ หลินหลินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นกัน บ้านร้างที่พวกเขาใช้เป็นที่หลบภัยนั้นเงียบสงบเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอกังวล “เราจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ดี?” หลินหลินถามขณะที่เธอเริ่มเก็บข้าวของของตัวเอง “อีกไม่นาน แต่ต้องแน่ใจก่อนว่าเส้นทางข้างหน้าไม่มีอันตราย” ซาเอบะตอบเสียงต่ำ เขายังคงระวังภัยที่อาจจะเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่พวกเขาเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจาก
หลังจากที่หนีรอดจากการไล่ล่ามาได้ ซาเอบะและหลินหลินยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกใต้เงาไม้ใหญ่ ความเหน็ดเหนื่อยจากการหนีการไล่ล่าทำให้พวกเขาจำเป็นต้องหยุดพัก หัวใจของทั้งสองเต้นแรงจากทั้งความตื่นเต้นและความระแวดระวัง หลินหลินนั่งเงียบๆ ข้างๆ ซาเอบะ จ้องมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่สับสน“พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” ซาเอบะเอ่ยเสียงเบา ขณะที่สายตาของเขามองไปไกลราวกับกำลังวางแผนบางอย่างในใจ“คุณคิดว่าเราจะรอดได้ไหม?” หลินหลินถามพลางมองไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งวิ่งผ่านเมื่อครู่ ดวงตาของเธอยังเต็มไปด้วยความกลัวและไม่แน่ใจซาเอบะมองหลินหลินก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “ตราบใดที่เราระวังตัวและไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ฉันเชื่อว่าเราจะรอดได้”แต่ภายในใจลึกๆ ซาเอบะรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลย ศัตรูที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นแข็งแกร่งและมีเครือข่ายที่กว้างขวาง พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้นานเกินไป การหยุดพักในจุดใดจุดหนึ่งนานเกินไปมีแต่จะทำให้ถูกพบเจอและตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นหลินหลินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดหม่น “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของฉันจะมาอยู่ในจุดนี้” เธอเอ่ยเสียงเบา “ฉันแค
เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ หลินหลินรู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างอย่างชัดเจน ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านเมฆหมอกบางเบา สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายที่เหนื่อยล้าของเธอ ขณะที่ซาเอบะเดินเคียงข้างเธอ สายตาของเขายังคงเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาหมู่บ้านนี้เงียบสงบ มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ตั้งเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความเงียบ ไม่มีเสียงผู้คนเดินทาง ไม่มีรถยนต์หรือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน หลินหลินเริ่มรู้สึกคลายกังวลลงเล็กน้อย“ที่นี่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย” หลินหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดี” ซาเอบะตอบขณะเดินนำหน้าไป เขาหยุดยืนมองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเก่าแก่และโดดเด่นกว่าเพื่อนบ้านหลังอื่น “เราอาจจะเข้าไปพักที่นั่นได้”หลินหลินมองตามนิ้วของซาเอบะไปที่บ้านหลังนั้น แม้ว่ามันจะดูเก่าคร่ำคร่า แต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงและเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยชั่วคราว ซาเอบะเดินตรงไปยังประตูบ้าน เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเคาะประตูอย่างเบาๆผ่านไปไม่กี่นาที ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยหญิงชราในชุดผ
รุ่งเช้าในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้เก่าๆ ของบ้านหญิงชรา หลินหลินค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการนอนหลับ เธอรู้สึกถึงความอ่อนเพลียที่บรรเทาลงเล็กน้อยจากการพักผ่อนเมื่อคืน แต่ในใจก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอนและมองออกไปทางหน้าต่าง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้รอบๆ หมู่บ้าน ท้องฟ้ากระจ่างใส ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีความวุ่นวาย หลินหลินรู้สึกว่าเวลาที่นี่ดูเหมือนจะเดินช้ากว่าที่อื่น ทำให้เธอมีเวลาทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่พบกับซาเอบะจนถึงตอนนี้เสียงฝีเท้าของซาเอบะขณะเดินกลับเข้ามาในบ้านเรียกความสนใจของเธอ เขาออกไปสำรวจหมู่บ้านรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครที่น่าสงสัยอยู่แถวนี้หรือไม่“ตื่นแล้วเหรอ?” ซาเอบะถามพลางวางข้าวของที่เขาถืออยู่ลงบนโต๊ะ “ฉันออกไปสำรวจรอบๆ หมู่บ้านแล้ว ที่นี่ปลอดภัยดีสำหรับตอนนี้”หลินหลินพยักหน้าอย่างเงียบๆ แม้เธอจะรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีอันตรายใกล้เข้ามาในขณะนี้ แต่ความจริงที่ว่าอันตรายยังคงมีอยู่ทุกที่ก็ยังทำให้เธอไม่สบายใจ“เราคงจะพักที่นี่ต่อไปไม่ได้นานนัก” ซาเอบะพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าต่าง “ถึงที่นี่