ภายในห้องมืด ซาเอบะและโทโมะยังคงยืนประจันหน้ากัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน โทโมะเป็นคู่ปรับที่เก่งกาจ ไม่ใช่แค่ในเรื่องการต่อสู้ แต่ยังในแง่จิตวิทยา เขามักจะใช้คำพูดเพื่อบีบให้ศัตรูเสียสมาธิ“คิดเหรอว่าแผนการของนายจะสำเร็จได้ง่ายๆ” โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ขณะที่เขายิ้มอย่างมั่นใจ “นายประเมินฉันต่ำไปนะ ซาเอบะ”ซาเอบะจ้องโทโมะด้วยสายตาที่นิ่งสงบ แม้ภายนอกจะดูไม่หวั่นไหว แต่ในใจเขารู้ดีว่าโทโมะเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายกว่าที่ใครหลายคนคิด ซาเอบะพยายามรวบรวมสมาธิ เขาต้องคิดหาทางออกโดยไม่ให้ตกอยู่ในแผนของโทโมะ“แผนของฉันไม่ต้องการการยอมรับจากนายหรอก” ซาเอบะตอบกลับสั้นๆ “ฉันมาเพื่อหยุดนาย และฉันจะทำให้สำเร็จ”การสนทนาจบลงทันทีที่โทโมะเริ่มเคลื่อนไหว เขาพุ่งเข้าหาซาเอบะอย่างรวดเร็ว การโจมตีของเขาเฉียบคมและหนักหน่วง ซาเอบะพยายามหลบหลีกและตอบโต้กลับ แต่ก็พบว่าโทโมะสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเขาได้เกือบหมดการต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ทั้งสองแลกหมัดและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในห้องที่แคบ แต่แล้วโทโมะก็พลิกแผนอย่างฉับพลัน เขาดึงมีดเล่มเล็กออกมาจากเสื้อด้านหลัง และฟาดฟันไปทางซาเอบ
เสียงฝีเท้าของพวกสมุนโทโมะที่ใกล้เข้ามาทำให้ซาเอบะรู้ว่าเขามีเวลาไม่มากนัก โทโมะยังคงนอนทรุดอยู่ที่พื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้จากแรงกระแทกที่ซาเอบะพุ่งเข้าหาเมื่อครู่ แม้ว่าโทโมะจะพยายามคว้าปืนของตัวเองขึ้นมา แต่แรงเจ็บจากกระดูกซี่โครงที่ถูกถีบจนหักก็ทำให้มันไม่มีแรงสู้ต่อ ซาเอบะใช้โอกาสนี้ประเมินสถานการณ์รอบตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อหาทางหนี ก่อนจะนึกถึงหลินหลินที่ยังซ่อนตัวอยู่ในอีกมุมของอาคาร“ต้องพาหลินหลินออกไปจากที่นี่ด้วย…” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มือหนึ่งคว้าปืนของโทโมะที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปืนของโทโมะยังมีลูกกระสุนอีกไม่กี่นัดพอให้เขาใช้ป้องกันตัวในสถานการณ์นี้เสียงปืนที่ดังมาจากนอกอาคารทำให้ซาเอบะรู้ว่าเวลาเขาสั้นมากแล้ว เขารีบตรงไปที่ซอกหนึ่งในมุมห้องที่หลินหลินแอบอยู่ เธอตัวสั่นเล็กน้อย แต่สายตาของเธอยังคงเด็ดเดี่ยว พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ซาเอบะยื่นมือไปหาเธอ พร้อมพูดเสียงหนักแน่น“หลินหลิน เราต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ พวกมันมาแล้ว”หลินหลินพยักหน้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอก้าวออกจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว ราวกับเข้าใจถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ ซาเอบะพยายามท
ซาเอบะและหลินหลินนั่งอยู่ในรถเก่า หมุนพวงมาลัยด้วยมือที่สั่นระริก ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปจากที่เกิดเหตุ รถที่พวกเขาขโมยมานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอับและเสียงของเครื่องยนต์ที่เก่าและไม่แน่นอน แต่อิสระภาพที่ได้รับกลับมานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสะดวกสบายใดๆ“เราต้องหาที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยก่อน” ซาเอบะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เขามองไปยังหลินหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ สภาพของเธอดูตึงเครียดและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล“แล้วเราจะไปที่ไหน?” หลินหลินถามขึ้น ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟของเมืองที่ค่อยๆ เลือนลางไป“มีที่หนึ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะปลอดภัย” เขาตอบ “มันอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก แต่เราต้องไปอย่างระมัดระวัง”เมื่อรถเคลื่อนตัวไป ซาเอบะตั้งใจขับไปยังห้องเช่าขนาดเล็กในย่านที่เงียบสงบ สถานที่ที่เขาเคยใช้เป็นที่หลบภัยเมื่อหลายปีก่อน เขารู้ว่าที่นั่นมีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันอาจจะไม่ปลอดภัยตลอดไป“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” หลินหลินถามอย่างสงสัย ขณะเธอมองไปที่ซาเอบะที่มีสีหน้าเคร่งเครียด“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ฉันเคยซ่อนตัวจากผู้ที่ตามล่าฉันในอดีต” เขาอธิบาย “มันเป็นที่ที่ไม่มีใครค
ขณะที่ซาเอบะและหลินหลินซ่อนตัวในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ซาเอบะรู้ดีว่าการหนีจากกลุ่มคนที่ไล่ล่าพวกเขายังไม่จบลง หลินหลินที่ดูเงียบไปบ้างหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงจับมือของเขาแน่น ดวงตาของเธอแสดงความตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีความเชื่อมั่นในตัวเขา “เราต้องวางแผนขั้นต่อไปแล้ว” ซาเอบะกระซิบเบาๆ ขณะที่ตรวจสอบอาวุธของเขา ปืนขนาดกลางที่ยังมีกระสุนพอจะใช้งานได้ไม่กี่นัด สิ่งนี้ทำให้เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้งอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหากไม่มีการเตรียมตัวอย่างดี หลินหลินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เราจะทำยังไงต่อดี? พวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่ไหนตลอดเวลา มันเหมือนมีคนตามทุกฝีก้าว” ซาเอบะนิ่งคิด เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คนของโทโมะไม่ใช่แค่กลุ่มนักฆ่าทั่วไป แต่เหมือนมีสายข่าวที่บอกพวกเขาได้ว่าทั้งสองอยู่ที่ไหนตลอดเวลา การถูกติดตามโดยไม่รู้ตัวนี้ทำให้เขานึกถึงอุปกรณ์ที่เขาและหลินหลินใช้อยู่ อาจจะมีสิ่งที่ติดตามพวกเขามาโดยไม่รู้ตัว “เราต้องหาวิธีที่จะลบเงาของเราออกจากสายตาของพวกนั้น” ซาเอบะกล่าวก่อนจะยิ้มให้หลินหลิน “เธอเก่งเรื่องเทคโนโลยีมาก ฉันว่าเธอช่วยได้” หลินหลินที่ดูตึงเครี
หลังจากที่ซาเอบะและหลินหลินหนีออกจากบ้านร้าง ทั้งสองต้องหาทางหลบหนีจากการไล่ล่าของกลุ่มคนที่ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ เวลานี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทิ้งแสงสุดท้ายของวันไว้ พวกเขาทั้งสองเหนื่อยล้า แต่การหยุดพักหมายถึงความตาย พวกเขารู้ดีว่าศัตรูจะตามมาติดๆ ในไม่ช้าซาเอบะพยายามหาทางออกจากตรอกซอยเล็กๆ ที่แคบและมืดสลัวขณะที่หลินหลินคอยสังเกตและฟังเสียงจากด้านหลัง แม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกอ่อนล้า แต่ความกลัวและความตื่นตัวก็ทำให้เธอต้องสู้ต่อ“เราต้องหาทางออกไปจากย่านนี้ก่อน” ซาเอบะพูดขณะมองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีที่ปลอดภัยที่สุด “ฉันคิดว่าเราควรหารถสักคันเพื่อจะหนีไปไกลๆ แต่แถวนี้ไม่ค่อยมีรถที่ใช้ได้เลย”หลินหลินมองไปทางถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก แต่การเดินไปถึงนั้นดูเหมือนจะเสี่ยงเกินไป เพราะมีคนเฝ้ารออยู่ในซอกมุมต่างๆ เธอพยักหน้า “ฉันเห็นด้วย แต่เราต้องระวัง พวกเขาอาจจะคอยดักเราอยู่”ทั้งคู่หลบไปทางถนนซึ่งเป็นทางแยกที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน ซาเอบะสังเกตเห็นรถเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล รถดูทรุดโทรม แต่ก็ดูเหมือนยังใช้งานได้อยู่“นั่นล่ะ รถคันนั้นน่าจะพอช่วยเราได้” ซาเอบะเอ่ยขณะกวาดสายตาดูรอบๆ เพื่อแ
ซาเอบะและหลินหลินขับรถออกจากตรอกเล็กๆ ที่เกือบจะเป็นหลุมพรางของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย แต่ทั้งสองรู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น พวกเขายังคงถูกไล่ล่า และความตายยังอยู่ไม่ไกลนักดวงไฟข้างถนนสลัวทำให้บรรยากาศยิ่งดูน่าหวาดหวั่น ถนนเบื้องหน้าว่างเปล่าและไร้ผู้คน แต่ซาเอบะไม่อาจวางใจได้ เขารู้ว่าศัตรูของเขามีวิธีตามตัวได้ทุกเมื่อ“ซาเอบะ เราจะทำยังไงต่อไป?” หลินหลินถามเสียงสั่น เธอยังคงหวาดกลัว แม้ว่าจะพยายามควบคุมสติตนเองอยู่ก็ตาม“เราต้องออกจากเมืองนี้ให้ได้ก่อนที่พวกมันจะหาพวกเราเจออีก” ซาเอบะตอบ เขากำพวงมาลัยแน่น มือที่เคยมั่นใจเริ่มสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซาเอบะมองหน้าจอที่แสดงหมายเลขไม่รู้จัก เขารู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังมาถึง แต่ก็ไม่สามารถเมินมันได้ เขารับสาย“คิดว่าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหนล่ะ?” เสียงเย็นชาของโทโมะดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของสายซาเอบะกัดฟันกรอด เขารู้ทันทีว่าโทโมะคงมีแผนลับอยู่เบื้องหลัง “แกจะเอาอะไรอีก โทโมะ?”โทโมะหัวเราะในสาย “แกจะรู้เอง ซาเอบะ…แกไม่มีทางหนีพ้นหรอก ไม่ว่าจะแอบอยู่ที่ไหน ฉันจะเจอแกเสมอ”สายถูกตัดอย่างกระทันหัน
ซาเอบะยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมหนึ่งของห้อง แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวจะสงบเงียบไปแล้ว แต่ภายในใจของเขายังคงเต้นไม่หยุด เหตุการณ์ที่พวกเขาผ่านมานั้นช่างน่าหวาดหวั่นและเสี่ยงอันตราย แต่ในท่ามกลางความเครียดเหล่านั้น เขารู้สึกถึงบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไปเขาหันมองหลินหลินที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ใบหน้าเธอแม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่กลับดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด แสงจันทร์อ่อนๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างบ้านร้างเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าของหลินหลินอย่างชัดเจนมากขึ้น ซาเอบะจ้องมองเธอด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน“เราเจอกับอะไรกันมามากเหลือเกิน” ซาเอบะคิดในใจ เขาพยายามย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาและหลินหลินได้ร่วมฝ่าฟันด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกที่เขาตัดสินใจช่วยเธอ แม้เขาจะบอกตัวเองอยู่ตลอดว่าเธอเป็นเพียงแค่ภารกิจ แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้วในช่วงเวลานี้ ซาเอบะรู้สึกว่าหลินหลินไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่เขาต้องปกป้อง แต่เธอกลายเป็นคนสำคัญ ที่เขาไม่อาจปล่อยให้ห่างไกลได้เสียงลมหายใจเบาๆ ของหลินหลินทำให้ซาเอบะรู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย เขานั่งมองเธออยู่นาน จนในที่สุดความเหนื่อยล้าที่ก่
หลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาเต็มท้องฟ้าแล้ว ซาเอบะและหลินหลินยังคงพักอยู่ในบ้านร้างที่พวกเขาใช้หลบภัย ความสงบที่แสนหายากทำให้ทั้งสองรู้สึกสบายใจชั่วคราว มันเหมือนกับช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถวางใจได้บ้างหลังจากการไล่ล่าและอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญมานับไม่ถ้วนซาเอบะนั่งพิงกำแพงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาทอดมองออกไปไกล แต่ใจกลับจมอยู่ในความคิดเกี่ยวกับหลินหลิน เขาเฝ้าคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาระหว่างพวกเขา ทุกครั้งที่เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ มันไม่ใช่แค่ภารกิจอีกต่อไป แต่เป็นเพราะบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนหลินหลินนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอค่อยๆ ดึงเสื้อคลุมมาห่มเพื่อป้องกันความหนาว แม้ว่าบรรยากาศจะเงียบสงบ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าการไล่ล่าครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไรก็ตาม ในใจของเธอ เธอรู้สึกอุ่นใจที่ซาเอบะยังคงอยู่ข้างๆ เธอตลอดเวลา“ซาเอบะ คุณคิดว่าเราจะรอดไปได้ไหม?” หลินหลินถามเสียงแผ่ว เธอเงยหน้ามองเขาในขณะที่พยายามหาคำตอบที่ทำให้ใจเธอสงบซาเอบะหันกลับมามองเธอ ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น “เราจะต้องรอด ฉันสัญญา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แม้ว่าเขาจะไม่มั่